Skip to content

King of Gods 463

King Of Gods

บทที่ 463 เหยื่อล่อ (2)

“…ข้าเป็นเพียงเหยื่อล่อ”

เจ้าสำนักหยุนไห่รู้สึกสบายใจ เขาไม่จำเป็นต้องกังวลถึงความปลอดภัยของตนเองอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นจ้าวตำหนักคนใดของพันธมิตรมังกรโลหะก็ล้วนแล้วแต่เป็นยักษ์ใหญ่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงแคว้นเมฆาได้

ไม่ต้องเอ่ยถึงยามนี้เลย

‘สามจ้าวตำหนัก’ เพียงพอที่จะครอบคลุมไปทั่วทั้งแคว้นเมฆา เรื่องเลวร้ายทั้งหมดก็สามารถแก้ไขได้

ทว่ายามที่เจ้าสำนักหยุนไห่รู้สึกยินดี ในใจก็ยิ่งปรากฏความหดหู่ขมขื่น

ไม่ว่าเขาจะวางแผนไว้มากมายเพียงใด สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียง ‘เหยื่อล่อ’ ในสถานการณ์นี้ ในใจของเจ้าสำนักหยุนไห่ปรากฏความสงสัยขึ้น

สามยักษ์ใหญ่จ้าวตำหนักต่างมารวมตัวกันที่สำนักจันทร์สลายเพียงเพื่อรับมือกับอัจฉริยะคนรุ่นหลังผู้หนึ่งเท่านั้นหรือ?

นี่มิใช่ว่าใช้คนมากเกินไป ขี่ช้างจับตั๊กแตนไปหน่อยหรือ?

ในยามนี้ ทั่วทั้งเทือกเขานภาจันทร์ตกลงสู่ความเงียบงัน

แรงกดดันของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั้งสามได้ทำให้ไอสวรรค์เคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาด ทุกชีวิตต่างสั่นสะท้านกระวนกระวาย สำนักจันทร์สลาย ตั้งแต่ผู้อาวุโสจนถึงศิษย์ต่างก็ตกอยู่ในความตื่นตะลึงและกระวนกระวายไม่สบายใจ

ไม่มีผู้ใดคาดคิด

การเผชิญหน้ากันระหว่างจ้าวเฟิงและเจ้าสำนักหยุนไห่ที่มีบุญคุณความแค้นต่อกันจะกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ ทว่าความหวาดวิตกยิ่งแผ่ซ่านไปทั่วใจของคนสำนักจันทร์สลาย

“จ้าวเฟิงผู้นี้มีพลังอันใดกัน ทำให้สามจ้าวตำหนักของพันธมิตรมังกรโลหะไม่ลังเลที่จะร่วมมือกันรุมจู่โจม กระทั่งลอบโจมตีเช่นนี้?”

คนระดับสูงถึงต่ำของสำนักจันทร์สลายตื่นตะลึงอย่างหนัก อดที่จะเคลือบแคลงสงสัยไม่ได้

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ

ในเวลาเดียวกัน ด้านนอกประตูทางเข้าหุบเขาได้ปรากฏเสียงแหวกอากาศขึ้น

กลิ่นอายทรงพลังมากกว่าสิบจุดได้มุ่งหน้าตรงมายังสำนักจันทร์สลายจากทุกทิศทาง ทุกกลิ่นอายที่ทะยานร่างมาได้ทำให้ยอดฝีมือระดับสูงของสำนักจันทร์สลายจิตใจสั่นสะท้าน

“ขั้นผู้วิเศษแท้ เป็นยอดฝีมือในสวรรค์ที่สองของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง”

“… สอง… สาม…”

“สวรรค์ ผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้สิบคน พันธมิตรมังกรโลหะจำต้องส่งผู้อาวุโสหลักมาถึงสิบคนเลยหรือ?” คนระดับสูงต่ำของสำนักจันทร์สลายอึ้งงัน

โดยปกติแล้ว ผู้อาวุโสหลักของพันธมิตรมังกรโลหะเหล่านี้ มาเพียงหนึ่งคนก็สามารถสั่นคลอนสำนักจันทร์สลายได้แล้ว ทว่าวันนี้กลับมีผู้อาวสุโสหลักมาถึงสิบคน

แน่นอน สิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัวย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปกครองแคว้นเมฆาอย่าง ‘สามจ้าวตำหนัก’

“เพื่อที่จะฆ่าจ้าวเฟิง พันธมิตรมังกรโลหะถึงกับสิ่งยอดฝีมือจำนวนมากมายเช่นนี้ออกมาเลยหรือ?”

เจ้าสำนักหยุนไห่ยากที่จะทำใจให้สงบได้

กระทั่งจะทำลายสำนักจันทร์สลายให้ราบคาบ เพียงส่งผู้อาวุโสหลักมา 1-2 คนที่นำกองกำลังของตำหนักมาก็มากเกินพอแล้ว

ลึกๆ ในใจ เจ้าสำนักหยุนไห่ รวมทั้งคนระดับสูงของสำนักจันทร์สลายต่างรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ หลังจากผ่านความตื่นตะลึงอย่างมากแล้ว สายตาจำนวนมากจึงไปหยุดลงที่จ้าวเฟิง ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี่

เรื่องน่าตื่นตะลึงทั้งหมดนี่อาจมีเหตุมาจากเด็กหนุ่มผู้นี้

อัจฉริยะอันดับหนึ่งของสิบสามแคว้นในอดีตดูราวกับเต็มไปด้วยความลึกลับ

สิ่งที่ทำให้บรรยากาศแปลกประหลาดคือ หลังจากที่สามจ้าวตำหนักล้อมจ้าวเฟิงเป็นสามเหลี่ยมแล้ว บนใบหน้ากลับไร้ซึ่งความผ่อนคลาย

ทั้งหมดนี่ แสงแหลมคมรูปพัดของพัดเหล็กของนายเหนือเซียวเหยาขยายออก ทว่ากลับหยุดห่างจากร่างของจ้าวเฟิงหนึ่งฟุต ในสายตาของผู้คน นายเหนือเซียวเหยาลำบากเพียงแค่สะบัดมือก็สามารถหั่นร่างของจ้าวเฟิงเป็นสองส่วนได้แล้ว

ทว่า ไม่ว่าจะเป็นนายเหนือเซียวเหยา โหยวหลง หรือปี้จี สามจ้าวตำหนักไม่มีผู้ใดผลีผลามลงมือ

จ้าวเฟิงที่ตกอยู่ในค่ายกลแปดมังกรสังหารมารและวงล้อมของสามจ้าวตำหนักยังคงยืนสองมือไพล่หลัง รอยยิ้มประดับบางเบาบนใบหน้าไม่จางหาย

“จ้าวเฟิง ความสามารถของเจ้าในงานชุมนุมเซียนมังกรได้ทำให้ทั่วทั้งทวีปต้องตื่นตะลึง เจ้าคือหนึ่งในราชาผู้ถูกเลือกที่โดดเด่นที่สุดในช่วงวัยนี้ นายเหนือผู้นี้ประทับใจในพรสวรรค์และความไม่ย่อท้อของเจ้ายิ่งนัก”

นายเหนือเซียวเหยาเปิดปากเอ่ยอย่างเชื่องช้า

“งานชุมนุมเซียนมังกร? งานชุมนุมเซียนมังกรในตำนานนั่นน่ะหรือ?”

“ฟังดูจากความนัยของนายเหนือเซียวเหยา ดูเหมือนว่าจ้าวเฟิงจะสร้างปรากฏการณ์ที่โดดเด่นขึ้นในงานชุมนุมเซียนมังกร?”

ไม่ว่าจะเป็นสำนักจันทร์สลาย หรือกระทั่งสิบสามแคว้น งานชุมนุมเซียนมังกรนับเป็นตำนานอันห่างไกล จ้าวตำหนักอีกสองคนไม่ได้ดูแคลนอีกฝ่าย จับจ้องไปยังจ้าวเฟิงอย่างไม่ละสายตา

“จ้าวเฟิง เจ้ายังเยาว์วัยทว่ากลับมีพลังเพียงนี้ ก่อนหน้านี้ยังทำให้จ้าวตำหนักศพโลหิตบาดเจ็บสาหัสได้ ควรรู้ว่าในสี่จ้าวตำหนัก นอกจากข้าแล้วไม่มีผู้ใดเหนือกว่าเขา อัจฉริยะเช่นเจ้า ข้าเชื่อว่าหากท่านเจ้าหอรู้จะต้องช่วยฝึกฝนให้ความดูแลเป็นอย่างดีแน่นอน”

น้ำเสียงว่างเปล่าอ่อนล้าของจ้าวตำหนักโหยวหลงดังก้องไปทั่วทั้งลานกว้าง

ในสี่จ้าวตำหนัก ตำแหน่งของ ‘จ้าวตำหนักโหยวหลง’ สูงที่สุด พลังลึกล้ำยากจะหยั่งถึง บนหน้าผากของจ้าวตำหนักโหยวหลงปรากฏเขาสีดำเขาหนึ่ง กลิ่นอายบนร่างกระทั่งทำให้ร่างกายของจ้าวเฟิงสั่นสะท้านเล็กๆ

ผู้ที่ไม่มีพลังสายเลือด แม้ว่าจะสามารถเข้าใกล้จ้าวตำหนักโหยวหลงได้ ร่างกายจะรู้สึกกระวนกระวายอย่างไม่อาจอธิบาย คล้ายกับแกะที่เผชิญหน้ากับปีศาจร้าย ความหวาดกลัวของสิ่งมีชีวิตต้อยต่ำต่อสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งกว่า

คำพูดของจ้าวตำหนักโหยวหลงำให้คนระดับสูงของสำนักจันทร์สลายในบริเวณนั้นเปลี่ยนแปลงสีหน้าไปอย่างพร้อมเพรียงกัน

“นี่จ้าวเฟิง… เอาชนะจ้าวตำหนักศพโลหิตได้?”

“หัวหน้าของจ้าวตำหนักอย่างโหยวหลงกระทั่งมอบกิ่งมะกอกให้แก่เขา”

เจ้าสำนักหยุนไห่ ผู้อาวุโสคุมกฎ และคนอื่นๆ ตาแทบจะถลนออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง พวกเขาลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ พวกเขากระทั่งพยายามจะรับมือกับตัวตนที่น่าพรั่นพรึงในระดับนี้ก่อนหน้านี้

สายตาจำนวนมากจับจ้องไปบนร่างของจ้าวเฟิง

รวมทั้งเป่ยม่อและหลินทงที่อยู่กลางอากาศ

“หากสามจ้าวตำหนักสามารถจัดการจ้าวเฟิงได้ เมล็ดใจทมิฬในร่างของข้าก็ย่อมถูกทำลาย”

หลินทงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

ทั้งฝ่ายเดียวกันและศัตรูต่างก็เฝ้ารอคำตอบของเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงิน

ทว่า จ้าวเฟิงยืนไพล่มืออยู่เบื้องหลัง รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนริมฝีปากเช่นก่อนหน้า สายตาที่มองไปยังเจ้าสำนักหยุนไห่เลื่อนไปยังเป่ยม่อ

สุดท้ายแล้วเด็กหนุ่มจึงเปิดปากเอ่ยอย่างเชื่องช้า

“ศิษย์พี่เป่ยม่อเยี่ยมมาก ยอดฝีมือของพันธมิตรมังกรโลหะมายังสำนักจันทร์สลายจริงๆ เจ้าสำนักหยุนไห่ ลำบากท่านแล้ว หากไม่ใช่เพราะความร่วมมือที่สมบูรณ์แบบของท่าน แผนของข้าก็คงไม่อาจสำเร็จได้เช่นนี้”

น้ำเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังก้องไปทั่วทั้งเทือกเขา

ในเสี้ยววินาทีที่เสียงนั้นเงียบลง

“ข้า… ข้า…”

เป่ยม่ออ้าปาก สีหน้าอึ้งตะลึง ดูราวกับกำลังจะร้องไห้ “ร่วมมือ? ข้าทำเมื่อไหร่…”

สีหน้าของเจ้าสำนักหยุนไห่พลันแข็งค้าง

ฟิ้ววว

ทั่วทั้งสำนักจันทร์สลายเหลือเพียงเสียงลมที่พัดหวิว

นายเหนือเซียวเหยาและจ้าวตำหนักปี้จีมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาว่างโล่ง

“อันใด… อันใดนะ?”

จ้าวตำหนักโหยวหลงแทบหาเสียงไม่เจอ สีหน้าพลันย่ำแย่ลง

ผู้คนในบริเวณนั้นพลันรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ทว่าเมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน หลายคนก็พลันตระหนักขึ้นได้

แต่เดิม คำพูดเหล่านั้นของจ้าวเฟิงแทบจะลอกเลียนแบบจ้าวตำหนักโหยวหลงที่ว่า “เป่ยม่อ ทำได้ดีมาก! จ้าวเฟิงกลับมายังสำนักจันทร์สลายแล้ว เจ้าสำนักหยุนไห่ ลำบากท่านแล้ว หากไม่ได้ท่าน เราคงไม่อาจลอบโจมตีเด็กนี่ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้”

ประโยคที่คล้ายคลึงกันได้ถูกจ้าวเฟิงเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ใช้โต้ตอบกลับมา

สามารถจินตนาการได้เลยว่าสีหน้าในยามนี้ของเป่ยม่อและเจ้าสำนักหยุนไห่โดดเด่นเพียงใด

นายเหนือเซียวเหยาและจ้าวตำหนักปี้จีกระทั่งใช้สายตาเคลือบแคลงมองไปยังอาจารย์และศิษย์ทั้งสอง ทว่าเมื่อมองไปยังสีหน้าของหยุนไห่และเป่ยม่อ ชัดเจนว่าทั้งสองไม่รู้เรื่องอันใด

“ได้อย่างไร… บัดซบ”

ด้วยสติปัญญาของเจ้าสำนักหยุนไห่ ในยามนี้มีหรือจะไม่เข้าใจความจริง ในยามนี้ ความรู้สึกอับอายขายหน้ารุนแรงเต็มไปทั้งใจ

“เจ้าสำนักหยุนไห่ผู้นี้ดวงซวยมากพอโดยแท้ ถูกใช้เป็นเหยื่อจากทั้งฝ่ายพันธมิตรมังกรโลหะและจ้าวเฟิง”

หลินทงที่อยู่กลางอากาศสีหน้านิ่งอึ้ง

การกลับมาสำนักจันทร์สลายอย่างใสซื่อเถรตรงของจ้าวเฟิงเพื่อที่จะ ‘ขออภัย’ เจ้าสำนัก เป้าหมายของเด็กหนุ่มไม่ใช่การฆ่าเจ้าสำนักหยุนไห่

อย่างน้อย การฆ่าเจ้าสำนักหยุนไห่ก็ไม่ใช่เป้าหมายหลัก

เจ้าสำนักหยุนไห่เป็นเพียงแค่ ‘เหยื่อล่อ’ ตัวหนึ่งเท่านั้น

พันธมิตรมังกรโลหะคาดว่าโอกาสที่จ้าวเฟิงจะกลับมายังสำนักจันทร์สลายมีมาก อย่างน้อยเจ้าสำนักหยุนไห่ก็คือคนที่อีกฝ่ายต้องฆ่า แล้วเหตุใดจ้าวเฟิงจะไม่ทำตาม ใช้เจ้าสำนักหยุนไห่เป็นจุดเปลี่ยน ดึงดูดยอดฝีมือระดับสูงของพันธมิตรมังกรโลหะมา

ก่อนหน้า ที่จ้าวเฟิงปล่อยจ้าวตำหนักศพโลหิตไป ผลที่ได้อาจไม่ใหญ่เพียงนี้

“ฮี่ฮี่ สามารถล่อสามจ้าวตำหนักกับสิบผู้อาวุโสหลักมาได้ พอแล้ว พอแล้ว”

สีหน้ายินดีของจ้าวเฟิงปรากฏขึ้นเจือจาง

สีหน้าของโหยวหลง ปี้จี และเซียวเหยา สามจ้าวตำหนักเย็นเยียบ รู้สึกกราดเกรี้ยวจากในใจ ตั้งแต่พันธมิตรมังกรโลหะถูกก่อตั้งขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นคนที่เย่อหยิ่งจองหองถึงที่สุดเช่นนี้

“ไอ้หนู แค่เจ้าคนเดียวอย่าได้จองหอง เข้าใจผิดคิดว่าจะสามารถรับมือกับพวกข้าที่มีพลังขั้นนายเหนือแท้ทั้งสามได้”

นายเหนือเซียวเหยาตวาด พัดเหล็กในมือวาดออก ประกายแสงเย็นเยียบรูปพัดสับตรงไปยังจ้าวเฟิงในเสี้ยววินาที

เคร้ง ติง

ม่านหมอกมืดหม่นปรากฏขึ้น สร้างเสียงแปลกประหลาดขึ้นก่อนจะจางหายไปอย่างช้าๆ

เคร้ง เปรี้ยง

ประกายไฟปรากฏวาบ แขนของนายเหนือเซียวเหยาชาหนึบ พัดเหล็กในมือแทบจะหลุดลอยไป

ผู้คนจ้องมอง

นายเหนือเซียวเหยาตื่นตะลึงจนใบหน้าขาวซีด ร่างกายกระเด็นถอยห่างออกไปหลายฟุต

“นั่น นั่นมัน”

ใบหน้าของนายเหนือเซียวเหยาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง มองไปยังร่างที่กระโจนออกมาจากกลุ่มหมอกข้างกายของจ้าวเฟิง

ฟู่ว ฟู่ว

ในม่านหมอกมืดหม่นได้เผยให้เห็นหุ่นเชิดศพสีดำลายเงินตัวใหญ่ขึ้นจางๆ มันส่งปราณศพที่น่าพรั่นพรึงแพร่กระจายออกมา หุ่นเชิดศพสีดำเงินนั้นเพียงส่งปราณศพออกมาเล็กน้อยก็แทบจะทำให้ศิษย์ของสำนักบางคนสำลักจนตายได้

“เป็น… ขั้นนายเหนือแท้จริงๆ”

“เป็นไปได้อย่างไร มีหุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้ถึงสองตน”

หัวใจของอีกสองจ้าวตำหนักที่เหลือสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ชัดเจนว่านายเหนือเซียวเหยาถูกสองหุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้ลงมือ แทบจะทำให้อาวุธหลุดมือ

ร่างกายสั่นสะท้านเกือบจะกระอักโลหิตออกมา ในด้านพลังฝึกตน นายเหนือเซียวเหยาอยู่ในขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองมีพลังแทบจะเทียบเคียงกับขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำได้ ทว่าที่เหนือกว่าโดยสิ้นเชิงคือร่างกาย

หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬขยับตามคำสั่งของจ้าวเฟิง พุ่งออกไปราวสายฟ้า

เปรี้ยง

ทันใดนั้น ‘ค่ายกลแปดมังกรสังหารมาร’ รอบกายของเด็กหนุ่มก็พังทลายลง

เจ้าสำนักหยุนไห่และคนอื่นๆ หวาดผวากับกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงของขั้นนายเหนือแท้จนแทบจะสิ้นสติ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจ้าวเฟิงจะมีไพ่ระดับนี้อยู่ในมือ หุ่นเชิดศพที่มีพลังต่อสู้ในขั้นนายเหนือแท้สองตน พลังในระดับนั้น การพังสำนักจันทร์สลายให้ราบก็เป็นเหมือนการละเล่นของเด็ก

ไม่สิ กระทั่งการทำลายสิบสามสำนักก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต

“จ้าวเฟิงยังมีการป้องกันที่แข็งแกร่งเช่นนี้…”

เป่ยม่อ และกระทั่งหลินทงราวกับถูกโจมตีอย่างรุนแรง สีหน้าว่างโล่ง มองไปยังหุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้ทั้งสองที่ยืนเคียงข้างคอยปกป้องจ้าวเฟิงอยู่

สามจ้าวสำนักกระทั่งลืมที่จะลงมือ

‘นายเหนือเซียวเหยา’ ที่มีพลังเหนือสิบสามสำนักในอดีตได้ถูกหุ่นเชิดศพทั้งสองตอบโต้จนร่างสั่นสะท้านกระเด็นถอย กระทั่งแทบจะได้รับบาดเจ็บ

โหยวหลงและปี้จี ใบหน้าของสองจ้าวตำหนักเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ไม่อาจทำใจให้ยอมรับความจริงได้ชั่วคราว

หุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้สองตนเพียงพอที่จะทำให้แนวโน้มของชัยชนะเปลี่ยนข้างได้แล้ว

เท่ากับกล่าวว่า จ้าวเฟิงร่วมมือกับสองหุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้จะมีพลังเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้สามคน อยู่ในระดับเดียวกับสามจ้าวตำหนัก

ทว่า จ้าวเฟิงกล้าที่จะวางเจ้าสำนักหยุนไห่เป็นเหยื่อล่อ ในสายตาของคนระดับสูงของพันธมิตรมังกรโลหะ มีหรือจะไม่มีไพ่ที่ทรงพลังอีก?

ในยามนี้ คนของสำนักจันทร์สลายอดที่จะสูดลมหายใจเย็นเยียบไม่ได้ สายตาที่มองไปยังร่างของเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างลึกล้ำ

“ถึงเวลารวบแหแล้ว แต่สำนักจันทร์สลายคือที่อยู่เดิมของข้า ควรจะต่อสู้ให้จบลงอย่างรวดเร็ว…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!