บทที่ 497 โชคร้ายมากกว่าดี
“… บางทีพวกมันอาจกำลังขับเคลื่อนกงล้อแห่งโชคชะตาอยู่ก็เป็นได้”
บนหอคอยลิ่วอู บุรุษเคราขาวทอดถอนใจ จ้องมองไปยังร่างที่ทะยานไปมาของแมวทั้งสอง เขาไม่เขาไปแทรกแซง คนผู้อื่นก็รู้สึกจนใจ
ความเร็วของแมวทั้งสองนั้นรวดเร็วจนเกินไป เส้นทางการเคลื่อนไหวของพวกมันนั้น เหล่าผู้ที่คอยป้องกันหอคอยยังยากที่จะมองเห็นได้ชัด ไม่ต้องเอ่ยถึงการเข้าไปแทรกแซงเลย
ยามที่แมวขโมยตัวน้อยกระตุ้นใช้เสวียนอ้าวและกลิ่นอายพลังของกริชลึกลับนั้นมันก็ได้เปรียบขึ้นมา ไล่ล่าโจมตีแมวขี้เกียจตัวใหญ่อย่างหนักหน่วง ทว่าแมวขโมยตัวใหญ่นี่ไม่ใช่พวกกระจอก แม้ว่าการลงมือจะเชื่องช้าลง ทว่าทุกครั้งที่มันวาดกรงเล็บออก มันจะป้องกันการโจมตีของแมวขโมยตัวน้อยได้อย่างแม่นยำเสมอ
“ไม่คิดว่าแมวขี้เกียจนี่จะมีวิชาสูงส่งนัก การป้องกันแข็งแกร่งยิ่ง”
จ้าวเฟิงเพ่งมอง แม้ว่าแมวขโมยตัวน้อยจะได้เปรียบ ทว่ากลับไม่สามารถกุมชัยเหนือกว่าอย่างสิ้นเชิงได้ในระยะเวลาสั้นๆ ร่างกายของแมวขี้เกียจตัวใหญ่และความอดทนของมันมากกว่าแมวขโมยตัวน้อยอย่างชัดเจน ทว่าแมวขโมยตัวน้อยได้กระตุ้นใช้พลังเสวียนอ้าวของกริชลึกลับ พลังที่ใช้ไปค่อนข้างมาก
เคร้ง ชิ้ง
ร่างเล็กและใหญ่ของแมวทั้งสองกระโจนขึ้นสูง ต่อสู้กันอย่างไม่หยุดยั้ง หอคอยลิ่วอูได้กลายไปเป็นสนามรบของพวกมัน
“ไม่ดีแล้ว พวกมันกำลังเข้าใกล้สถานที่ที่ท่านนักปราชญ์ปิดด่านฝึกตน”
บนหอคอยลิ่วอู นักบวชได้อุทานออกมา
“ขัดขวางแมวขโมยตัวนั้นไว้เร็วเข้า”
หอคอยลิ่วอูตกอยู่ในความวุ่นวาย
แมวขี้เกียจตัวใหญ่และแมวขโมยตัวน้อยร่างเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวจางหายที่บันไดของหอคอย การโจมตีที่พลาดเป้ามักจะสร้างความเสียหายให้กับหอคอยลิ่วอู
ผู้คุ้มกันบางคนพยายามที่จะขัดขวางแมวขโมยตัวน้อย ทว่าแมวทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง แทบจะไม่ผละออกจากกัน ทั้งการเคลื่อนไหวความเร็วยังยากจะคาดเดา
ใต้หอคอยลิ่วอู มุมปากของจ้าวเฟิงเหยียดออก เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
ผู้คุ้มกันและนักบวชเหล่านั้นเข้าร่วมการต่อสู้ ยิ่งทำให้สถานการณ์วุ่นวายยิ่งขึ้น
สมาชิกของหอคอยลิ่วอูบางคนถูกลูกหลงได้รับบาดเจ็บ ส่งเสียงร้องสบถอย่างโกรธเกรี้ยว สร้างความวุ่นวาย
ภาพนั้นได้ทำให้ผู้มาเยือนเบื้องล่างนิ่งอึ้ง
บางคนมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยสายตาลึกล้ำ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าสัตว์เลี้ยงของจ้าวเฟิงตัวนี้จะทำให้หอคอยลิ่วอูที่สงบสุขอยู่เสมอกลายเป็นเช่นนี้
ทว่าทั้งหมดนี่ หรือเป็นว่าจ้าวเฟิง ผู้เป็นนายได้ชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งหมด?
“จ้าวเฟิง เจ้ากล้าสร้างความวุ่นวายให้แก่หอคอยลิ่วอูหรือ? เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าการสร้างความขุ่นเคืองให้แก่ท่านนักปราชญ์จะทำให้เจ้าต้องเจอกันสิ่งใด”
น้ำเสียงของฉินหวางเฟยเย็นเยียบ ทว่ากลับเผยสีหน้ายินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่นออกมา
สร้างความขุ่นเคืองให้นักปราชญ์?
จ้าวเฟิงพลันตระหนักได้ถึงเรื่องบางอย่าง
บนหอคอยลิ่วอูไม่ได้มีคนที่แข็งแกร่งอยู่มากนัก อย่างมากก็มีผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้อยู่ 1-2 คนเท่านั้น ทั้งยังไม่เก่งกาจการต่อสู้เสียด้วย
ทว่าด้วยความแข็งแกร่งเพียงเท่านั้น เหตุใดจึงทำให้ในอาณาจักร หรือกระทั่งในทวีป เขาเป็นที่นับหน้าถือตาเช่นนี้?
มีคำเล่าขานว่า กระทั่งผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดของสิบยอดสำนักยังต้องมาเยือนปราชญ์ลิ่วอู
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นกลับมาเคยได้ยินว่ามีผู้ใดกล้าใช้ไม้แข็งกับหอคอยลิ่วอู
“จ้าวเฟิง… นักปราชญ์ผู้นี้ไม่อาจที่จะสร้างความขุ่นเคืองให้ได้”
สีหน้าของโม่เทียนอี้เลวร้ายลง ส่งเสียงผ่านจิตเอ่ย
“พูดมา”
จ้าวเฟิงยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม ความจริงแล้ว ทั้งหมดนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาจงใจ ทว่าเป็นการลงมือของแมวขโมยตัวน้อยเอง
“จากที่ท่านอาจารย์ของข้าพูด ก่อนหน้านี้ได้มีผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดผู้หนึ่งพึ่งพาพลังอำนาจอันมหาศาล ผลีผลามไปในหอคอยลิ่วอู ไม่เคารพท่านนักปราชญ์ กระทั่งเอ่ยพูดจาข่มขู่ สุดท้ายแล้ว ในเวลาน้อยกว่าสองปี ผู้สูงศักดิ์ที่มีนามสั่นคลอนแผ่นดินก็ได้สิ้นชีพลงในมรดกแดนโบราณ”
ผู้สูงศักดิ์ตาย?
หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุกวูบ อย่าได้บอกข้าเชียวว่าการตายของผู้สูงศักดิ์คนนี้เกี่ยวข้องกับนักปราชญ์?
“ท่านนักปราชญ์คือยอดฝีมือที่ฝึกฝนศาสตร์แห่งดวงชะตา ความสามารถอยู่ในจุดสุดยอด เขาไม่เพียงแค่สามารถทำนายดวงชะตาอนาคตได้ ทว่ายังสามารถปรับเปลี่ยนส่งผลต่อเส้นทางของดวงชะตา ท่านอาจารย์บอกว่าผู้สูงศักดิ์คนนั้นตายเพราะการปรับเปลี่ยนดวงชะตาของท่านนักปราชญ์”
โม่เทียนอี้เมื่อเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เมื่อได้ยินถึงยามนี้ หัวใจของจ้าวเฟิงก็หนาวเยือก
ในโลกใบนี้มีวิชามากมายหลายศาสตร์ ศาสตร์แห่งการต่อสู้ ศาสตร์แห่งดาบ ศาสตร์แห่งค่ายกล ศาสตร์แห่งการลอบสังหาร ศาสตร์แห่งกายา… ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด หากเข้าสู่จุดสูงสุดก็ล้วนมีพลังพอที่จะพลิกแผ่นดินได้
ไม่ต้องเอ่ยถึงนักปราชญ์ ผู้ที่ฝึกตน ‘ศาสตร์แห่งโชคชะตา’ จ้าวเฟิงไม่สงสัยในคำพูดของผู้เป็นอาจารย์ของโม่เทียนอี้เลยแม้แต่น้อย เพราะอาจารย์ของโม่เทียนอี้คือผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
สำนักเทียนหยวนคือหนึ่งในสิบยอดสำนักของทวีป ในฐานะของสำนักระดับหนึ่งดาวย่อมมีผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดอยู่ในสำนัก นี่คือหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญ
ในยามนี้
จ้าวเฟิงจึงเข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดฉินหวางเฟยจึงเผยสีหน้ายินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่นออกมา
“ศาสตร์แห่งดวงชะตา? หวังว่านักปราชญ์นั่นจะมีความรู้มากพอที่จะล่วงรู้ถึงความเป็นมาของดวงตาเทพเจ้า”
จ้าวเฟิงไร้ความรู้สึก ลอบเอ่ยขึ้นในใจ
ที่มาของแมวขโมยตัวน้อยเองก็ไม่ธรรมดา เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้ ทว่าแมวขโมยตัวน้อยที่แสนไม่ธรรมดานั้นกลับยินยอมจะติดตามจ้าวเฟิงด้วยตนเองเพราะกลิ่นอายของดวงตาเทพเจ้า
ดวงตาเทพเจ้าคือสิ่งที่อันตรายที่สุดในความคิดของจ้าวเฟิง
ในยามนี้
ฟึ่บ
แมวหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ย่างก้าวเข้าไปในชั้นที่สี่ของหอคอยลิ่วอู เข้าใกล้สถานที่ปิดด่านฝึกตนของนักปราชญ์
ครืนนน
หอคอยลิ่วอูที่สูงสง่าพลันส่องประกายเป็นค่ายกลดวงดาวขึ้น แรงสั่นกระเพื่อมที่ไม่อาจมองเห็นแพร่กระจายไปทั่วฟ้าดิน แรงสั่นกระเพื่อมลึกลับนั้น มีเพียงแค่ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงที่พอจะรับรู้ได้อยู่ส่วนสองส่วนอย่างยากลำบาก
แรงสั่นกระเพื่อมนั้นแตกต่างจากทุกพลังที่จ้าวเฟิงเคยเห็นมาก่อน
“มิใช่ว่าแมวขี้เกียจได้เชิญให้แขกผู้มีเกียรติขึ้นมาหรือ?”
น้ำเสียงเก่าแก่ลึกล้ำดังขึ้นจากบนยอดหอคอยลิ่วอู ในน้ำเสียงปรากฏความเหนื่อยอ่อนอย่างชัดเจน เสียงนั้นดูห่างไกลจากหอคอยลิ่วอูนัก แทบจะให้ความรู้สึกว่ามาอยู่ข้างกาย
จ้าวเฟิงเพ่งตามอง บนยอดหอคอยลิ่วอู ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ได้ปรากฏชายชราร่างยักษ์ในอาภรณ์โบราณสีเขียวเข้มขึ้น ชายชราผู้นี้สวมใส่เสื้อคลุมสีดำราวกับราตรีอันมืดมิด ดวงตาราวกับมีม่านหมอกบางอย่างบดบัง ดูลึกล้ำและส่องประกายราวกับราตรีที่พร่างพรายไปด้วยดวงดาว แสดงให้เห็นถึงความรู้อันกว้างใหญ่ไพศาล
“นักปราชญ์ นักปราชญ์ออกมาแล้ว”
“คารวะท่านนักปราชญ?”
ในหอคอยลิ่วอูเกิดความวุ่นวายขึ้น ทว่าไม่นานมันก็กลับไปสงบเช่นเดิม
เมี้ยว
เมี้ยว เมี้ยว
แมวตัวใหญ่เล็กทั้งสองพลิ้วกายลงบนยอดหอคอยก่อนจะหยุด ‘การประลองชี้แนะ’ กันลงในที่สุด ยืนเผชิญหน้ากัน
แมวขโมยตัวน้อยหรี่ตาแมวของมันลง มองไปยังนักปราชญ์ที่หาตัวยาก สีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
นักปราชญ์แย้มยิ้ม โบกมือให้แมวขี้เกียจตัวใหญ่รับแขก
แมวทั้งสองกระโจนลงไปทีล่ะตัว หยุดลงที่เบื้องหน้าจ้าวเฟิง
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยกระโจนลงไปที่ไหล่ของจ้าวเฟิง ไถตัวของมันเข้ากับแก้มของเด็กหนุ่ม
เมี้ยว
แมวขี้เกียจตัวใหญ่ที่แต่เดิมเคยมีท่าทีเกียจคร้านกลับผายกรงเล็บแมวของมันออกอย่างจริงจัง เชื้อเชิญให้จ้าวเฟิงขึ้นไป
“นี่… เป็นไปได้อย่างไร”
บนใบหน้างดงามล่มเมืองของฉินหวางเฟยเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
ใช่แล้ว ‘แขกผู้มีเกียรติ’ ที่นักปราชญ์เอ่ยถึงคือจ้าวเฟิง
ไม่มีผู้ใดที่จะเข้าใจในเจตนาของนักปราชญ์ไปมากกว่าแมวขี้เกียจตัวใหญ่อีกแล้ว
“รบกวนการฟื้นตัวของท่านนักปราชญ์เช่นนี้ ผู้เยาว์รู้สึกไม่สบายใจนัก”
จ้าวเฟิงเผยท่าทีขอโทษออกมา ร่างทะยานวูบ มุ่งตรงไปยังยอดหอคอยลิ่วอูพร้อมกับแมวขี้เกียจตัวใหญ่
“ท่านนักปราญ์ออกมาแล้ว ทุกคนอย่าได้พลาด”
ผู้มาเยือนคนอื่นๆ ไม่อาจที่จะปิดกั้นความตื่นเต้นไว้ได้
ผู้คุ้มกันของหอคอยลิ่วอูกำลังจะลงมือขัดขวางก็พลันเห็นนักปราชญ์โบกมืออย่างแผ่วเบา ปล่อยให้คนทั้งหมดขึ้นไป
เหล่าผู้มาเยือนก็ไปถึงยังยอดหอคอยลิ่วอู
แม้ว่าคนจะมาก ทว่าเมื่ออยู่เบื้องหน้านักปราชญ์แล้ว พวกเขากลับมีท่าทีสงบนิ่งอย่างมาก ไม่กล้าเอ่ยปากตามใจ
“ตาแก่ผู้นี้เพิ่งจะออกจากการปิดด่านมาไม่นาน เพียงแค่เพิ่งจะรับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับมรดกต่างแดนในงานชุมนุมเซียนมังกรได้ ในคนที่มาทั้งหมดนี้ คงมีหลายคนที่สนใจในเรื่องนี้”
นักปราชญ์เปิดปากเอ่ย
จ้าวเฟิง โม่เทียนอี้ และคนอื่นๆ ดวงตาส่องประกายเจิดจ้า
ไม่คิดว่านักปราชญ์จะเป็นฝ่ายเอ่ยถึงเป้าหมายในการมาของพวกเขาขึ้นมาแทน
หัวใจของจ้าวเฟิงปรากฏความกระวนกระวายอยู่บ้าง เขารู้ว่านักปราชญ์จะเอ่ยตอบคำถามนี้ นอกจากนั้น เรื่องนี้ยังไม่ใช่เพียงบอกแก่เขาผู้เดียว ทว่ายังเอ่ยบอกแก่ผู้อื่นอีกด้วย
“อัจฉริยะเซียนมังกรที่อยู่ในช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่นี้ ทุกคนที่กลับออกมาจากมรดกต่างแดนได้ล้วนได้รับผลประโยชน์อย่างมาก นับว่ามีวาสนาอันดี ความสำเร็จไม่อาจประเมินได้”
นักปราชญ์เอ่ยตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มผ่อนคลาย สายตาตวัดมองไปยังจ้าวเฟิง โม่เทียนอี้ เทียนหยุนจื่อ จินไท่จือ และอัจฉริยะเซียนมังกรคนอื่นๆ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คนทั้งหมดก็ไม่คัดค้าน
แก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาได้ทำให้ดวงวิญญาณของเขาเทียบเคียงได้กับผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
การทะลวงเข้าสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดในอนาคตมีโอกาสสำเร็จสูงนัก รวมทั้งเขายังได้ครอบครองมรดกอนุสรณ์วายุอัสนีโบราณ มรดกหอกจักรพรรดิเหมันต์ และมรดกประคำหมื่นพราย กระทั่งแมวขโมยตัวน้อยยังได้ครอบครองมรดก ทั้งหมดนี้นับเป็นวาสนาที่เหล่าผู้สูงศักดิ์ไม่อาจจินตนาการได้
ไม่เพียงแค่จ้าวเฟิงที่เห็นด้วย โม่เทียนอี้ เทียนหยุนจื่อ จินไท่จือ และคนอื่นๆ ต่างก็ยอมรับ
ทุกคนล้วนมีวาสนาอันดี
จากคำพูดของนักปราชญ์ นี่นับเป็นดวงชะตาที่ยิ่งใหญ่และพิเศษในโลก ในอนาคตกระทั่งช่วยส่งเสริมอย่างมาก
“เช่นนั้นขอข้าเอ่ยถามเกี่ยวกับผู้ที่ไม่ได้ออกมาได้หรือไม่ท่านนักปราชญ์?”
โม่เทียนอี้อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
ที่นักปราชญ์เอ่ยถึงเมื่อครู่นั้นคืออัจฉริยะเซียนมังกรที่ ‘มีชีวิตรอด’ ออกจากมรดกต่างแดน
“ฟ้าดินวนเวียน ธรรมชาติสมดุล ผู้ที่ไม่ได้กลับมาทั้งหมดล้วนโชคร้ายมากกว่าโชคดี ไม่ว่าจะยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว”
น้ำเสียงของนักปราชญ์แหบต่ำและอ่อนแรง ราวกับใบไม้เหลืองแห้งที่ปลิดปลิวหล่นลงพื้น
โชคร้ายมากกว่าโชคดี
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของผู้คนก็หล่นวูบ
จิตใจของจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน
การอ่านดวงชะตาของนักปราชญ์ไม่ได้ง่ายดายเช่นฉากหน้า
‘โชคร้ายมากกว่าโชคดี’ ที่เขาพูดนั้น ความหมายจริงๆ อาจเรียกได้ว่าสิ้นหวัง
และนี่เองก็ยังหมายถึงผู้ที่ยังคง ‘มีชีวิตอยู่’ ในมรดกต่างแดนด้วย
โชคร้ายมากกว่าโชคดี ไม่ว่าจะยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
อีกนัยหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นอัจฉริยะที่อยู่ในพื้นที่แยกเดี่ยวเพียงใด แต่หากยังคงอยู่ใน ‘มรดกต่างแดน’ แม้ว่าจะไม่ตาย ทว่าก็ยังโชคร้ายมากกว่าโชคดี
“หยูเฟ่ย…”
หัวใจของจ้าวเฟิงหนาวเยือก ความรู้สึกส่วนลึกสั่นสะท้าน รู้สึกถึงลางร้าย การอ่านดวงชะตาของนักปราชญ์นั้นไม่ได้เพียงนับถึงอัจฉริยะที่ตายในมรดกต่างแดน ทว่าดูเหมือนว่าจะยังรวมถึงหลิวฉินซินด้วย นอกจากนั้น คำว่า ‘ไม่ว่าจะยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว’ ยังรวมถึงจ้าวหยูเฟ่ย
“นั่นหมายความว่าศิษย์น้องหยูเฟ่ย…”
สีหน้าของโม่เทียนอี้และคนอื่นๆ หม่นหมองลงเล็กๆ ขวัญกำลังใจตกต่ำ
จ้าวเฟิง โม่เทียนอี้และคนอื่นๆ ก็ตกอยู่ในสภาวะหดหู่
โดยเฉพาะจ้าวเฟิงที่ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่
“ข้าคิดว่าฉินซินโชคร้ายมากกว่าโชคดี คงจะตายไปแล้วในมรดกต่างแดน แต่ไม่คิดว่าแม้แต่หยูเฟ่ยเองก็อยู่ในสถานการณ์วิกฤตสิ้นหวัง…”
หัวใจของจ้าวเฟิงดิ้นรน หนึ่งคือคู่หมั้นของเขา อีกหนึ่งคือเพื่อนสมัยเด็กที่เติบโตมาด้วยกัน ในยามนี้ สตรีทั้งสองกลับดูจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี
โดยเฉพาะในด้านของจ้าวหยูเฟ่ย จ้าวเฟิงพอจะคาดเดาได้บ้าง สิ่งที่นางต้องเผชิญหน้าคงเป็นสัตว์ประหลาดสามสำนักใหญ่ระดับสองดาว