Skip to content

King of Gods 533

King Of Gods

บทที่ 533 กลับคืนสือเฉิง (1)

“จ้าวเฟิงกำลังเตือนข้าเป็นนัยๆ ว่าต่อให้ไม่มี ‘เมล็ดดวงใจทมิฬ’ เขาก็ยังมีวิธีการอีกมายที่จะสังหารข้า” เจ้าหอโครงกระดูกรู้สึกหวาดกลัวจนหน้าซีดเผือด

จ้าวเฟิงมีอาวุธสังหารร้ายกาจอย่าง ‘โล่มังกรหยก’ แต่กลับไม่ยอมใช้จนกระทั่งถึงช่วงเวลาวิกฤติ แล้วเจตนาในการใช้นั้นไม่ต้องเดาก็รู้ได้

ก่อนหน้านี้ จ้าวหอโครงกระดูกคิดอยากจะอาศัยโอกาสนี้ตอบโต้กลับแล้วหนีไปเสีย

แต่หากเขารู้มาก่อนว่าในมือจ้าวเฟิงยังมีไพ่ตายที่น่ากลัวขนาดนี้อยู่ ต่อให้ไม่มี ‘เมล็ดดวงใจทมิฬ’ นั่นจ้าวหอโครงกระดูกก็ไม่กล้าทรยศจ้าวเฟิง

พลังของ ‘โล่มังกรหยก’ น่ากลัวมากเกินไปแล้ว สามารถฆ่าได้แม้กระทั่งผู้สูงศักดิ์ขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดในพริบตาเดียว

อีกทั้ง ‘โล่พลังเซียน’ ปกติแล้วก็ทำร้ายผู้สูงศักดิ์ขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดให้บาดเจ็บสาหัสได้อยู่แล้ว

“อืม” จ้าวเฟิงละสายตาจากเจ้าหอโครงกระดูก ในใจเต็มไปด้วยพึงพอใจ

การเผชิญหน้ากับราชินีฉวนปิงที่หมายจะปลิดชีพเขาในครั้งนี้ เขาเตรียมทางหนีทีไล่ไว้นานแล้วโดยจะใช้ ‘โล่มังกรหยก’ แต่หากเอาออกมาใช้โดยง่ายก็จะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

เหตุผลที่จ้าวเฟิงเก็บไว้ใช้ในวินาทีสุดท้าย อย่างแรกคือเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการประมือกับผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด อีกอย่างคือไม่กระทบกับเป้าหมายเดิมที่ต้องการจะปลิดชีพราชินีฉวนปิงและที่สำคัญที่สุดคือเพื่อใช้โอกาสนี้ข่มขู่เจ้าหอโครงกระดูกกลายๆ

เมื่อเวลาหมุนเวียนไป ไม่ช้าก็เร็วพลังของเจ้าหอโครงกระดูกจะฟื้นฟูเหมือนในยามที่แข็งแกร่ง ถึงเวลานั้นพลังรบก็จะอยู่ในขั้นผู้สูงศักดิ์ที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้ก่อนที่พลังของเจ้าหอโครงกระดูกจะกลับมาแข็งแกร่งดังเช่นอดีต จ้าวเฟิงจึงชิงข่มขวัญและทิ้งร่องรอยความหวาดกลัวไว้ในก้นบึ้งหัวใจของเขา

ในเวลานี้เอง

“รีบหลบเร็ว…”

โอรสสวรรค์สามตาที่อยู่ไกลๆ หวาดกลัวจนลืมสิ้นทุกอย่าง บินถลาตรงมาอย่างรวดเร็ว

“นายท่าน ข้าเอง” จ้าวหอโครงกระดูกรีบเสนอตัวเพื่อแสดงความซื่อสัตย์

จ้าวเฟิงเริ่มรู้สึกสนุกจึงพยักหน้าตอบรับ

พรึ่บ!

เจ้าหอโครงกระดูกหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงเงาเลือนรางเท่านั้น วินาทีถัดมาจึงเห็นเส้นสายสีดำของแส้สีทองเงินพุ่งทะลุเข้าไปในเมฆด้วยความเร็วที่ทำให้ระยะห่างระหว่างเขากับโอรสสวรรค์สามตาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

เจ้าหอโครงกระดูกที่จริงแล้วมีพลังรบหกถึงเจ็ดส่วนจากยามที่เขารุ่งโรจน์ ด้วยเหตุนี้ความเร็วในการเคลื่อนกายจึงรวดเร็วมากกว่าขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดธรรมดา หากว่าจ้าวเฟิงไม่ได้ใช้ปีกวายุอัสนีก็อาจจะไม่สามารถอยู่เหนือกว่าจ้าวหอโครงกระดูกได้

“กรงเล็บวิญญาณบาป!” สีหน้าของเจ้าหอโครงกระดูกขรึมลง กวาดมือเพียงครั้งหนึ่งก็ปรากฏกรงเล็บคมกริบสีแดงเจิดจ้าขนาดใหญ่พอๆ กับตำหนักเล็กหลังหนึ่ง เสียงที่แหวกอากาศแหลมคมชวนให้อกสั่นขวัญแขวนด้วยมันหมายจะพุ่งทะลุผ่านชั้นวิญญาณ

“ไม่ได้การแล้ว นี่เป็นการโจมตีวิญญาณ!”

วิญญาณของโอรสสวรรค์สามตาโดนแทงทะลุผ่านจนชาวาบ กลิ่นอายแห่งความตายคละลุ้งขึ้นมาทั่วร่าง

การโจมตีขั้นจิตวิญญาณโดยปกติแล้วจะโจมตีเพียงแค่สตินึกคิดเท่านั้น แต่ว่าการโจมตีขั้นวิญญาณจะโจมตีลึกยิ่งกว่ามากนัก รวมถึงวิธีการลงมือก็ล้ำลึกกว่ามาก

สวบ!

ด้วยเหตุนี้ ถึงลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่โอรสสวรรค์สามตาปล่อยออกมาจะทะลุผ่านกรงเล็บจนเกิดหลุมขนาดใหญ่ แต่ก็ยังคงเหลือพลังครึ่งหนึ่งของกรงเล็บพุ่งทะลวงผ่านร่างเขา

“อ๊าก!” โอรสสวรรค์สามตาร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด สีหน้าซีดขาวแล้วเริ่มคล้ำเขียว

การโจมตีของ ‘กรงเล็บวิญญาณบาป’ เป็นการโจมตีดวงวิญญาณโดยทันที แล้วยังทำลายไอสวรรค์ของโอรสสวรรค์สามตาไปไม่น้อย

ดวงวิญญาณของโอรสสวรรค์สามตาได้รับบาดเจ็บ ระบบอวัยวะภายในร่างโดนทำลายจนสาหัส

การประลองที่ตามมานี้จึงไม่ใช่การประมือของคนในขั้นเดียวกัน

โอรสสวรรค์สามตารับมือยังไม่ถึงสองกระบวนท่าก็โดนเจ้าหอโครงกระดูกลงมือปลิดชีพ

ใบหน้าของเจ้าหอโครงกระดูกเต็มไปด้วยความลิงโลด จากนั้นช่วยจ้าวเฟิงจัดการอาวุธที่ยึดมาได้ของโอรสสวรรค์สามตา

เสียดายก็เพียงแต่พลังของ ‘โล่มังกรหยก’ แข็งแกร่งเกินไป จึงทำลายสิ่งของบนร่างของราชินีฉวนปิงจนแหลกสลายไปหมด

จ้าวเฟิงพลิกดูของบางส่วนในแหวนเก็บของของโอรสสวรรค์สามตา

เอ๊ะ!

ทันใดนั้นสายตาของจ้าวเฟิงก็เหลือบไปเห็นสมุดปกหนังขาดยับเยิน บนปกของบันทึกนั้นมีอักษรโบราณกำกับอยู่

ความรู้ในสมองของจ้าวเฟิงไม่ได้เหมือนยามอดีตอีกแล้ว ในแววตาเขาสว่างวาบ”เคล็ด…วิชา…ดวงตา…ต้องห้าม?”

ที่แท้บันทึกเก่าเยินเล่มนี้ได้บันทึกเศษเสี้ยวทฤษฎีวิชาต้องห้ามไว้

“เสียดายที่มันเป็นแค่ทฤษฎีบางส่วน มิหนำซ้ำยังขาดหายไปอีก” จ้าวเฟิงออกจะรู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย

ทฤษฎีที่ว่าไม่ใช่เคล็ดวิชาชัดเจนใดๆ สิ่งที่ปรากฏในบันทึกเป็นเพียงแค่แนวความคิดที่เป็นนามธรรมเท่านั้น ไม่ได้เป็นแนวทางการฝึกฝนที่ชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นทฤษฎีของ ‘เคล็ดวิชาดวงตาต้องห้าม’ ก็เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวบันทึกเท่านั้น

“ข้าเคยได้ยินมาก่อนว่า ‘เคล็ดวิชาดวงตาต้องห้าม’ นอกจากจะแย่งชิงเอาสายเลือดดวงตาของผู้อื่นมาได้แล้วยังเคลื่อนย้ายมันไปบนเรือนร่างของผู้อื่นได้อีก ในทางอ้อมนี่เท่ากับว่ามีสายเลือดดวงตาอีกประเภทหนึ่ง” เจ้าหอโครงกระดูกอธิบาย

จ้าวเฟิงได้ยินแล้วรู้สึกเปิดโลกทรรศน์มากขึ้น บนโลกใบนี้ยังมีวิชาต้องห้ามที่ทำร้ายผู้อื่นเพื่อให้ตนเองได้ผลประโยชน์เช่นนี้อยู่ด้วย

“แน่นอนว่า ‘เคล็ดวิชาดวงตาต้องห้าม’ หายสาบสูญไปจากโลกใบนี้แล้ว เหลือเพียงเศษเสี้ยวบันทึกที่ขาดวิ่น อีกทั้งต่อให้มีเคล็ดวิชาครบสมบูรณ์ก็ยังมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบมากมาย ระดับความเป็นไปได้ที่จะฝึกสำเร็จยังถือว่าน้อยมาก” เจ้าหอโครงกระดูกทอดถอนใจ

“เคล็ดวิชาดวงตาต้องห้าม? หรือว่าที่ผู้นำตระกูลจินหยางสองคนตามฆ่าข้าเพื่อ…” จ้าวเฟิงเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว

ถ้าหากเพียงแค่ริษยาสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิง ผู้นำตระกูลจินหยางทั้งสองไม่น่าจะยอมเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ แต่หากเพื่อชิงเอาวิชาสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงนั่นก็ไม่แน่ ถึงแม้ว่าความเป็นไปได้ที่จะทำสำเร็จมีน้อยนิดแทบติดดิน

สวบ!

จ้าวเฟิงเรียกใช้ดวงตาเทพเจ้า จัดการคัดลอกเอาเศษเสี้ยวบันทึกของ ‘เคล็ดวิชาดวงตาต้องห้าม’ แล้วจึงพยายามทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง

สิ่งที่ทำให้จ้าวเฟิงผิดหวังก็คือเคล็ดวิชาต้องห้ามดังกล่าวเป็นเพียงแค่ทฤษฎีเท่านั้น ไม่มีรายละเอียดของขั้นตอนที่เป็นรูปธรรมเลย แต่แน่นอนว่าเศษเสี้ยวบันทึกนี้ก็ขยายคลังความรู้ของจ้าวเฟิงได้

“ออกเดินทาง” จ้าวเฟิงให้เจ้าหอโครงกระดูกกลับเข้าในประคำหมื่นวิญญาณ แล้วจึงเร่งเดินทางไปที่อาณาจักรจื่อจิน

อาณาจักรจื่อจินเป็นหนึ่งในสามแคว้นใหญ่ของทวีปเหนือ หากจะกล่าวถึงอำนาจก็นับได้ว่าเหนือกว่าอาณาจักรนภาเสียอีก

ครึ่งเดือนหลังจากนั้น หลังจากที่จ้าวเฟิงเข้าร่วมงานประมูลเพื่อซื้อทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้มาบางส่วนแล้วก็กลับไปยังอาณาจักรนภาอีกครั้ง

หลังจากที่ถึงลัทธิโลหะเลือด จ้าวเฟิงก็ยังคงส่งกำลังคนไปสืบเสาะและรวบรวมทรัพยากรต่างๆ

ภายในประคำหมื่นวิญญาณขอเพียงแค่มีทรัพยากรเพียงพอ เจ้าหอโครงกระดูกก็จะกุลีกุจอสร้างหุ่นเชิดศพต้องสาปทันที มาจนถึงในวันนี้เจ้าหอโครงกระดูกได้ฟื้นพลังมาเกินกว่าครึ่ง ประสิทธิภาพการสร้างหุ่นเชิดก็พัฒนาไปมาก

อีกทั้งเขายังเสนอตัวช่วยจ้าวเฟิงสืบหาข้อมูลบันทึกโบราณและศึกษา ‘คำสาปสุสานร้อยหลุมศพ’ เพื่อที่จะสร้าง ‘ค่ายกลร้อยศพต้องสาป’ ในภายภาคหน้า

ความรับผิดชอบในการสร้างหุ่นเชิดศพจ้าวเฟิงมอบให้กับเจ้าหอโครงกระดูก ส่วนตัวเขาใช้เวลาส่วนมากไปกับการฝึกตน

เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยมาได้ครึ่งปี

เวลาที่ผ่านมานี้จ้าวเฟิงเองก็ฝึกตนอย่างไม่ลดละ มีบางครั้งที่เขาเคลื่อนไหวลงมือสังหารพวกยอดฝีมือชั้นเลวที่หลงเหลืออยู่ของลัทธิมารจันทราชาดไปหลายคน

เพียงแต่ครึ่งปีที่ผ่านมาจ้าวเฟิงพบว่าพลังฝึกตนของเขาใกล้จะเทียบเคียงขั้นนายเหนือแท้ระดับสูง ทว่ายิ่งฝึกก็เหมือนยิ่งช้าลงทุกที

คำว่า ‘เชื่องช้า’ ในที่นี้คือเทียบกับความเร็วในการทะลวงขั้นเมื่อก่อนของเขา แต่ก็ยังรวดเร็วกว่าอัจฉริยะธรรมดาเกือบสิบเท่า วิญญาณและสำนึกรู้ของจ้าวเฟิงเรียกได้ว่าไปไกลกว่าคนเหล่านั้นมาก

ด้วยเหตุนี้จ้าวเฟิงจึงไปขอคำแนะนำจากจ้าวลัทธิหง

“ทวีปบุปผาครามถือได้ว่าเป็นทวีปเล็กๆ ไอพลังสวรรค์จากฟ้าดินหรือทรัพยากรต่างๆ ก็มีจำกัด รวมไปถึงการฝึกตนก็มีขีดจำกัดด้วย ธรรมดาแล้วไปได้แค่ขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ดังนั้นเมื่อยิ่งใกล้จะทะลวงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ความเร็วในการฝึกตนจึงยิ่งเชื่องช้าลงทุกที” จ้าวลัทธิหงเอ่ยตอบ

ในที่สุดจ้าวเฟิงก็ได้รู้คำตอบซึ่งเหมือนกับการคาดเดาของเขาแทบไม่มีผิดเพี้ยน

“แน่นอนว่าด้วยความเร็วของเจ้าในตอนนี้ ผ่านไปอีกไม่เกินสองสามปีจะทะลวงขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร นี่ก็นับว่าเร็วเหลือเกินแล้ว” จ้าวลัทธิหงเอ่ยยิ้มๆ

“มีวิธีใดบ้างที่จะเพิ่มความเร็วในการฝึกตนได้?” จ้าวเฟิงถามอีก

“ก็เช่น ‘เขาสามเซียน’ อันเป็นที่ตั้งของสามตำหนักเซียน หรือสถานที่ฝึกตนที่มีชื่อเสียงอย่าง ’ดินแดนหมู่เกาะกู่ชิง’ ความบริสุทธิ์ของไอสวรรค์ในฟ้าดินเป็นสิบเท่าของพวกเราที่นี่” จ้าวลัทธิหงเอ่ยมาถึงตรงนี้ ผลสุดท้ายก็แนะนำให้จ้าวเฟิงไปเข้าร่วมกับสามตำหนักเซียนอีก

ทว่าจ้าวเฟิงก็ยังคงปฏิเสธอยู่ดี

เมื่อเวลาผ่านไปหลังจากนั้นพักหนึ่ง อัตราความเร็วในการฝึกตนของจ้าวเฟิงลดลงอย่างฮวบฮาบ ถัดจากนั้นอีกไม่นานนัก ในทวีปก็มีพวกสาวกชั้นเลวของลัทธิมารจันทราชาดรวมถึงกองกำลังเดนตายกลุ่มใหม่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด

จากสถานการณ์ตรงหน้าทำให้คาดเดาได้ว่าทวีปบุปผาครามน่าจะเข้าสู่ยุคสงครามในเร็วๆ นี้

ดังนั้นลัทธิโลหะเลือดจึงเปิดการประชุมครั้งใหญ่ โดยเรียกทุกขั้วอำนาจของอาณาจักรมาเข้าร่วมเพื่อทำลายอำนาจของลัทธิมารที่อยู่ใกล้อาณาจักรนภา

“จ้าวลัทธิหง ยิ่งนานวันกองกำลังเดนตายของลัทธิมารก็ยิ่งมากขึ้น ทำให้คนในอาณาจักรก็ต่างเป็นกังวล”

“แล้วภายในนั้นก็เหมือนจะมีเงาของเหล่ายอดฝีมือจากนอกทวีปด้วย” ภายในตำหนักใหญ่ของลัทธิโลหะเลือดบรรยากาศตึงเครียดถึงขีดสุด

สถานการณ์ของทวีปในขณะนี้ หากพูดโดยรวมก็คือสหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์และกลุ่มตัวแทนของสิบยอดสำนักยังได้เปรียบอยู่ค่อนข้างมาก แต่ลัทธิมารต่างๆ ตอบโต้กลับไม่หยุดจึงทำให้จิตใจของผู้คนเกิดหวาดผวาไปทั่วทุกย่อมหญ้า

“จากข่าวที่ถูกส่งมาจากแดนไกล สหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์และสมาชิกชั้นสูงของลัทธิมารจันทราชาดประมือกันก็หลายครั้งอยู่”

“ผลเป็นอย่างไร?”

“สหพันธ์ศักดิ์สิทธิ์มีชัยอยู่แล้ว แต่ว่านี่เหมือนจะเป็นเพียงแค่การหยั่งเชิงของลัทธิมาร” คนระดับสูงในลัทธิโลหะเลือดร่วมกันวิเคราะห์แจกแจง

จ้าวเฟิงที่นั่งในตำแหน่งรองจ้าวลัทธิกลับไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไร เขาเพียงแค่รับผิดชอบกวาดล้างอิทธิพลของลัทธิมารในทวีปและในแคว้นเมฆา แต่กับพื้นที่อื่นๆ กลับไม่ใส่ใจนัก

ไม่มีใครรู้ว่าประคำหมื่นวิญญาณของเขายังมีหัวเรือใหญ่ของลัทธิมารจันทราชาดอยู่ภายในนั้น

หลายวันถัดจากนั้นขณะที่จ้าวเฟิงกำลังปิดด่านฝึกตน

ทันใดนั้นคลื่นแปลกประหลาดขนาดใหญ่ล่องลอยมาจากบนฟ้า!

“ตราคำสั่งสือเฉิง!” ใจของจ้าวเฟิงเต้นถี่ระรัว หยิบเอาตราสีม่วงที่ดูราวระลอกคลื่นแผ่นหนึ่งมาจากแหวนเหล็กโบราณ

วิ้ง!

‘ตราคำสั่งสือเฉิง’ ปล่อยไอสีม่วงระเรื่อออกมา

จ้าวเฟิงเปิดประสาทสัมผัสจิตวิญญาณแล้วจึงแทรกซึมเข้าไปภายใน

“พี่จ้าวเฟิง! ซากปรักหักสือเฉิงอาจมีความยุ่งยากบางอย่าง ต้องการความช่วยเหลือของท่าน หากว่าไม่ได้มีเรื่องอะไรแล้ว ภายในหนึ่งปีนี้ช่วยกลับไปยังมิติซากปรักหักพังโดยผ่านทางตราคำสั่งสือเฉิงที– ด้วยความเคารพ หยูเฟ่ย” จ้าวเฟิงพบเห็นข้อความดังกล่าวนี้พอดี

เมื่ออ่านข้อความอักษรดังกล่าวจบ ใจจ้าวเฟิงก็เกิดสั่นไหว

เขาเองก็คิดเอาไว้แล้วว่าถ้าภายในครึ่งปีนี้ไม่อาจทะลวงขั้นได้ หากไม่เดินทางออกจากทวีปบุปผาครามก็คงกลับไปยังซากปรักหักพังสือเฉิง ข่าวคราวจากตราคำสั่งสือเฉิงมาได้พอเหมาะพอเจาะจริงๆ

“เรื่องคราวนี้เกี่ยวกับซากปรักหักพังสือเฉิง ข้าปล่อยให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปไม่ได้” จ้าวเฟิงเตรียมพร้อมจะเคลื่อนไหวในระยะเวลาอันใกล้นี้

“นายท่าน แผนการร้อยศพสำเร็จไปประมาณแปดส่วนจากร้อยแล้ว แต่ว่าทรัพยากรหลักไม่เพียงพอ” เสียงของเจ้าหอโครงกระดูกสื่อสารมาทางจิต

“ดี เจ้าจงหมั่นคอยเพิ่มพลังอย่าให้ขาด ไม่นานจากนี้จะมีทรัพยากรเข้ามาเพิ่มขึ้น” จ้าวเฟิงตอบกลับ

ไม่กี่วันจากนั้น จ้าวเฟิงก็แอบเตรียมการอย่างลับๆ เพื่อจะย้อนคืนไปที่ ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ อีกครั้ง

จ้าวเฟิงไม่ต้องการบอกเรื่องนี้กับจ้าวลัทธิหง เพราะเขาไม่อยากลากเอาลัทธิโลหะเลือดเข้ามาพัวพันกับบุญคุณความแค้นระหว่าง ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ และ ‘สำนักระดับสองดาว’ ทั้งสาม ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าว่าแต่ลัทธิโลหะเลือดเลย ต่อให้เป็นสิบยอดสำนักหรือคนตรงหน้าเป็นสำนักสองดาวทั้งสามก็ไม่คุ้มที่จะเอ่ยเรื่องนี้

ครึ่งเดือนหลังจากนั้นก็จัดการทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว

จ้าวเฟิงทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ยังที่ลับที่ใช้ปิดด่านฝึกตนของเขาแล้วจึงลอยตัวจากไป

เนื้อความภายในจดหมายนั้นบอกเพียงแต่ว่าเขาตัดสินใจออกท่องยุทธภพ เวลากลับยังไม่อาจระบุได้แน่ชัด

ครึ่งวันจากนั้นที่คุ้งน้ำ ณ อาณาจักรนภา

บริเวณริมน้ำแห่งหนึ่งที่มืดมิด จ้าวเฟิงฝากข้อความส่งไปยังซากปรักหักพังสือเฉิงที่ห่างไกลผ่านประสาทสัมผัสจิตวิญญาณ

“ข้าเตรียมจะกลับไปแล้ว”

เวลาครึ่งก้านธูปผ่านไป

วิ้ง~

ลำแสงสีม่วงค่อยๆ มีขนาดขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นประตูสีม่วงสว่างเจิดจ้าราวผลึกแก้ว

เมื่อปรากฏประตูขึ้น อากาศภายในบริเวณใกล้ๆ ก็สั่นไหวน้อยๆ กระทั่งเหมือนว่าอากาศโดยรอบนั้นหนักอึ้งขึ้นมา

ขวับ!

ทันทีที่จ้าวเฟิงก้าวข้ามประตูสีม่วงนั้นร่างกายก็หายวับไป

ในวินาทีถัดมาเขาก็มิได้อยู่ ณ ทวีปบุปผาครามอีกต่อไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!