บทที่ 61 : การท้าประลองของจ้าวหลินหลง
ไม่เลว
เพียงแค่มอง จอมยุทธ์เย่กลับวิจารณ์อีกฝ่ายเช่นนี้
เหตุใดกัน!?
ความโกรธเกรี้ยวท่วมท้นหัวใจของจ้าวหลินหลง พลังฝึกตนของเขานั้นสูงที่สุด แต่ความสามารถของเขากลับเป็นเพียง ‘งั้นงั้น’ จ้าวเฟิงไม่ได้ทำอันใดทว่ากลับได้รับคำว่า ‘ไม่เลว’
“จ้าวเฟิง! ท่านคือจอมยุทธ์เย่จากแคว้นกว่านจวินและมาในนามของตำหนักกว่านจวินเพื่อเลือกอัจฉริยะไปจากพรรคจ้าว เจ้าควรจะปฏิบัติตนอย่างดี นี่เป็นโอกาสในการสำนึกบาปของเจ้า” จ้าวเทียนชาง หัวหน้าพรรคเค้นยิ้มออกมาได้ในสุดที่ ทว่าเสียงของเขาก็ยังจืดชืดอยู่บ้าง
สำนึกบาปของข้า?
จ้าวเฟิงหัวเราะเย็นเยียบในหัวใจ ทว่าไม่คิดจะยุ่งยากอธิบาย
“ผู้น้อยทำความเคารพจอมยุทธ์เย่” จ้าวเฟิงคำนับอย่างนอบน้อม
“อืม” บุรุษวัยกลางคนผงกศีรษะก่อนจะส่งสัญญาณให้เด็กหนุ่มแสดงความสามารถ
ภายใต้สายตาของทุกคน จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเข้าครั้งหนึ่งเพื่อปรับอารมณ์ให้เยือกเย็นลง ความเยือกเย็นของเขานั้นเหนือกว่าผู้อื่น กระทั่งจ้าวหลินหลงหรือจ้าวหยูเฟ่ยก็ไม่อาจเทียบได้ แม้แต่ตัวเด็กหนุ่มเองก็ไม่ได้รับรู้ว่ามีกลิ่นอายบางอย่างจากดวงตาซ้ายได้หลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขา และทุกๆ ครั้งที่เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น เขาก็จะยังเยือกเย็นอยู่เสมอ ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในแววตาของจอมยุทธ์เย่เมื่อเขารับรู้ได้ว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าเขาไม่ใช่ธรรมดา
หมัดเหล็กเพลิง!
จ้าวเฟิงส่งวิชาหมัดที่เขาคุ้นเคยที่สุดออกก่อน วิชาระดับพื้นฐาน? เหล่าอัจฉริยะและผู้อาวุโสที่ปรากฏตัวต่างตะลึงงัน วิชาระดับพื้นฐานของจ้าวเฟิงนั้นได้ก้าวขึ้นไปเหนือกว่าขั้นหลอมรวมและเหนือกว่าวิชาแต่ดั้งเดิมของมัน
“ไม่เลว” จอมยุทธ์เย่ผงกศีรษะ
จ้าวเฟิงยังคงส่งหมัดออกไปอย่างต่อเนื่องและได้เผลอหลอมรวมกลิ่นอายหนึ่งเดียวกับสวรรค์ลงไปในมัน
ฟู่วว
หมัดที่แสนธรรมดาของเด็กหนุ่มบัดนี้ราวกับมีมังกรเพลิงหลอมรวม วินาทีที่หมัดของเขาถูกส่งอก มันราวกับว่าเขารวมพลังไปที่จุดเดียวอย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับว่าหมัดแสนธรรมดานั้นเต็มไปด้วยความลุ่มลึกบางอย่าง
“วิชาระดับพื้นฐาน ไม่ง่ายเลยที่จะฝึกฝนได้จนถึงขั้นนี้”
เหล่าผู้อาวุโสผงกศีรษะ ทว่ากลับหาได้นำไปใส่ใจ ไม่ว่ามันจะพิเศษเช่นไร มันก็เป็นเพียงวิชาระดับพื้นฐานและไม่อาจเทียบได้กับวิชาระดับสุดยอด จ้าวหลินหลงปรากฏความเหยียดหยามในแววตา
“ดี!” เสียงที่เต็มไปด้วยความสุขดังก้องไปทั่วห้อง
ความตื่นตะลึงและตื่นเต้นสว่างวาบในดวงตาของบุรุษวัยกลางคน เสียงนั่นมาจากเขา
ดี?
จ้าวเทียนชางและจ้าวหลินหลงเกือบตายจากการสำลักลมหายใจของตน พวกเขานั้นราวกับเห็นผี คำวิจารณ์ก่อนหน้านั้นทำให้พวกเขารู้ว่ามันยากเพียงใดที่จะได้รับคำชื่นชม
“วิชาระดับพื้นฐาน… บัดซบ เป็นไปได้อย่างไร!?” จ้าวหลินหลงเกือบจะระเบิดออก
จากระดับของพวกเขา พวกเขาเพียงแค่ไม่อาจเห็นได้ว่ามีสิ่งใดพิเศษในวิชาหมัดระดับพื้นฐานของเด็กหนุ่ม
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า… ดูเหมือนว่าอัจฉริยะที่ข้าต้องการคือเจ้า” จอมยุทธ์เย่หัวเราะออกอย่างยาวนาน ท่าทางของเขาแตกต่างจากก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง
“ขอบคุณสำหรับคำวิจารณ์” จ้าวเฟิงเองก็ชะงักไปเช่นกัน
ตอนแรกนั้นเขาเพียงต้องการเริ่มจากวิชาระดับพื้นฐานของเขา จากนั้นจึงเชื่อมไปยังหมัดมังกรคลั่งและดรรชนีดารา ทว่าเมื่อเขาแสดงวิชาระดับพื้นฐาน เขากลับหลอมรวมทั้งสองเข้าอย่างใดอย่างหนึ่ง
“ในสายตาของข้า เจ้าคืออัจฉริยะที่แท้จริง” จอมยุทธ์เย่เดินลงจากที่นั่งของเขา
เจ้าคืออัจฉริยะที่แท้จริง!
ขณะที่บุรุษวัยกลางคนเอ่ยเช่นนั้น ใบหน้าของจ้าวหลินหลงก็แปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดยิ่ง
เหตุใดกัน!?
ความไม่เต็มใจกรีดร้องอยู่ในหัวใจ จ้าวเฟิงได้รับคำวิจารณ์ที่ดีกว่าจากเพียงแค่วิชาระดับพื้นฐาน เขาจะยอมรับมันได้อย่างไร?
“นามของข้าคือเย่หลินเหลียน บางทีเราอาจเป็นสหายกันได้ในภายหลัง” จอมยุทธ์เย่ดูเหมือนจะเคารพนบนอบแก่จ้าวเฟิงอย่างมาก
ภาพนั้นทำให้จ้าวเทียนชางและผู้อาวุโสคนอื่นอ้าปากค้าง
เหตุใดจอมยุทธ์ผู้ฝึกตนขั้นเก้าจะกลายเป็นสหายกับเด็กหนุ่มเช่นนั้น?
กระทั่งจ้าวเฟิงเองก็นิ่งงันไป เหตุผลเดียวที่เขาคิดออกนั้นคือกลิ่นอายหนึ่งเดียวกับสวรรค์ มันถูกยืนยันด้วยการที่ว่าหากซินหวู่เฮิงไม่ได้หายตัวไป เขาย่อมถูกนำตัวไปโดยจอมยุทธ์เย่เช่นกัน
“จอมยุทธ์เย่ ท่านดีเหลือเกิน…” จ้าวเฟิงไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติตนเช่นไร
เขาไม่กล้าที่จะปฏิบัติกับอีกฝ่ายเช่นสหายของเขา มันคล้ายกับว่าช้างกับมดจะกลายเป็นสหายกัน
“ฮี่ฮี่ จ้าวเฟิง เจ้าถ่อมตนนัก วันหนึ่งเจ้าจะรู้ว่าเจ้าจะมีสิทธิที่จะทำเช่นนั้น” เย่หลินเหลียนสั่นศีรษะพร้อมรอยยิ้ม
ในตอนนั้น เขาไม่ได้ดูเคร่งเครียดอีกต่อไป ภาพนั้นทำให้ผู้อื่นต่างสับสนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะจ้าวหลินหลง เขานั้นฉุนเฉียวยิ่งนัก
“จ้าวเฟิง เจ้าต้องการจะเข้าร่วมกองกำลังกว่านจวินหรือไม่?” เย่หลินเหลียนเอ่ยถาม
ต้องการหรือไม่ นับว่าเป็นคำถามไร้ค่ามิใช่หรือ? นอกจากนั้น ท่าทางของเย่หลินเหลียนนับว่าดีเกินไป
จ้าวเฟิงพูดเสียงลุ่มลึก
“เป้าหมายของข้าคือการไปจากเมืองประกายอรุณและสัมผัสโลกภายนอก ดังนั้นแล้วข้าย่อมต้องการ”
การเข้าร่วมกองกำลังกว่านจวินนับว่าไม่ได้ขัดกับเป้าหมายของเขา ขนาดของนครกว่านจวินนั้นเหนือกว่าเมืองประกายอรุณและเป็นเวทีที่ใหญ่กว่าเดิมสำหรับเขา
“ดี หากเจ้าฝึกฝนอย่างหนัก เจ้าอาจได้รับการสั่งสอนด้วยตนเองจากท่านเจ้าเมืองกว่านจวิน” เย่หลินเหลียนแย้มยิ้ม
เจ้าเมืองกว่านจวิน?
จ้าวเฟิงพลันเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายในทันที แม้ว่าเขาจะอาศัยอยู่ในเมืองประกายอรุณ เขาก็ยังคงได้ยินตำนานของเจ้าเมืองกว่านจวิน เพราะเขาเป็นผู้ทรงอำนาจที่ควบคุมทุกสิ่งในรัศมีสามหมื่นลี้ ทั้งยังฝึกตนจนเข้าขั้นสูงนัก กระทั่งเมืองประกายอรุณ พรรคจ้าวเองก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา พรรคจ้าวไม่มีฐานะหรือกระทั่งสิทธิใดๆ ในการพยายามเยินยอคนเหล่านี้
ในตอนนั้น จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงสายตาอิจฉาจากจ้าวหลินหลงและจ้าวฮันได้อย่างชัดเจน เขาสามารถเข้าร่วมตำหนักกว่านจวินและมีโอกาสได้รับการสั่งสอนโดยเจ้าเมืองกว่านจวินด้วยตนเอง พวกเขาจะไม่อิจฉาได้อย่างไร?
จ้าวฮันและจ้าวชินั้นไม่ต้องนับเพราะพวกเขาล้วนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างตนเองและจ้าวเฟิง พวกเขาล้วนเห็นความสามารถของอีกฝ่ายในวันงานชุมนุมนั้น ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่มีสิทธิที่จะด่าทออีกฝ่าย
ทว่ายังมีอีกหนึ่งคน จ้าวหลินหลง!
ความริษยาและไม่ยินยอมแผดเผาหัวใจของเขา
เหตุใดกัน!? เหตุใดกัน!?
ในด้านของพลังฝึกตน เขาเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาเหล่าศิษย์ ในด้านของวิชา เขาก็ได้แตะเข้าที่ชายขอบของเศษเสี้ยววิชาระดับเทพเจ้า และแม้ว่าจะยังมีความแตกต่างระหว่างพวกเขา เขาก็ไม่อาจทนมองตนเองถูกอีกฝ่ายเอาชนะได้ด้วยเพียงวิชาระดับพื้นฐานธรรมดา
“ข้าไม่เห็นด้วย!” ความโกรธแค้นในหัวใจของชายหนุ่มระเบิดออกในที่สุด
ความเงียบร่วงหล่นลงครอบคลุมห้องนั้น
“หลินหลง! อย่า!” จ้าวเทียนชางและคนอื่นๆ พยายามที่จะหยุดเขา
แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยว่าเหตุใดเย่หลินเหลียนจึงเลือกจ้าวเฟิง ทว่าพวกเขากลับไม่กล้าที่จะเอ่ยถามเขา
“เหตุใดเจ้าจึงไม่เห็นด้วย?” รอยยิ้มเยาะหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเย่หลินเหลียน
“ให้โอกาสข้า! ข้าจะใช้ความแข็งแกร่งของข้าในการพิสูจน์ว่าข้าแข็งแกร่งกว่าเขา ไม่ใช่ว่านั่นนับเป็นกฎของโลกใบนี้หรือที่มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่สามารถเลือกได้?” จ้าวหลินหลงจ้องมองไปยังจ้าวเฟิงและปลดปล่อยพลังขั้นหกของเขาออก
หากเป็นผู้ฝึกตนขั้นสี่ขั้นห้าธรรมดา พวกเขาย่อมถูกทำให้หวาดกลัวโดยกลิ่นอายนั้น ทว่าจ้าวเฟิงดูไม่เหมือนจะได้รับผลกระทบจากมันแม้ว่าพลังฝึกตนของเขาจะต้อยต่ำกว่า
“มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่สามารถสร้างกฎ! ข้าจะให้โอกาสเจ้าหนึ่งครั้ง หากเจ้าสามารถเอาชนะจ้าวเฟิงได้ เจ้าก็สามารถเข้าร่วมกองกำลังกว่านจวินได้เช่นกัน” เย่หลินเหลียนหัวเราะก่อนจะหันไปทางจ้าวเฟิง
“ข้าเห็นเพียงแค่วิชาระดับพื้นฐานของเจ้า และนี่จะทำให้ข้าได้เห็นความสามารถในการต่อสู้ของเจ้า”
“ครับท่าน” จ้าวเฟิงผงกศีรษะ
ทั้งสองเผชิญหน้ากันใจกลางห้อง
ตั้งแต่ที่จ้าวเฟิงได้เข้ามาในตระกูลหลัก ทั้งสองก็ไม่เคยได้ปะทะกันแม้สักครั้ง นี่เป็นการประลองกันครั้งแรกของทั้งคู่
“จ้าวเฟิง! ข้าจะใช้พลังของข้าในการพิสูจน์ว่าข้าเหมาะสมกว่าเจ้าที่จะเข้าร่วมตำหนักกว่านจวิน”
เหล่าศิษย์มองไปยังภาพนั้นอย่างคาดหวัง หนึ่งในนั้นคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งพรรคจ้าว ส่วนอีกหนึ่งนั้นคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเมืองประกายอรุณ
หนึ่งในนั้นคือผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในเมืองประกายอรุณ ขณะที่อีกหนึ่งนั้นมีพลังฝึกตนสูงที่สุดในบรรดาคนรุ่นเดียวกันในเมืองประกายอรุณ
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเผชิญหน้ากันในการประลอง
“ดรรชนีเมฆนภา!” จ้าวหลินหลงตวาดขณะที่ชี้นิ้วที่ส่องประกายสี่ม่วงออกไป
ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ได้ใช้ย่างก้าวเงาและทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลัง
ดรรชนีดารา!
แสงสีครามพุ่งออกจากนิ้วของจ้าวเฟิงและปะทะเข้ากับดรรชนีเมฆนภาของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง
ตูม!
วิชาระดับสุดยอดบดขยี้กัน สร้างแรงปะทะพัดชายเสื้อของพวกเขาให้ปลิวสยาย
ปึก! ปึก! ปึก!
ทั้งสองผงะถอยพร้อมๆ กัน จ้าวหลินหลงถอยไปห้าก้าวและรู้สึกได้ถึงความขมปร่าในลำคอ จ้าวเฟิงเองก็ไม่ได้ดีกว่าสักเท่าใด เขารู้สึกได้ว่านิ้วที่ปะทะกับอีกฝ่ายนั้นชาหนึบ
“ดรรชนีดารา!”
“ดรรชนีดาราระดับสาม! เขาไปถึงระดับนั้นด้วยอายุเพียงนั้นได้อย่างไร!?” เหล่าผู้อาวุโสต่างเข้าใจถึงความน่าหวั่นเกรงของวิชานั้นเป็นอย่างดี
ดรรชนีดารานั้นเป็นวิชาที่ทรงพลังที่สุดในหอตำรา มีหลายคนที่ฝึกฝนมัน ทว่าพวกเขาล้วนล้มเลิกกลางคันเมื่อมันยากเย็นเกินไปและมีโอกาสสูงที่จะสร้างอาการบาดเจ็บให้ตนเอง