Skip to content

King of Gods 60

King Of Gods

บทที่ 60 : ไปนำจ้าวเฟิงมา

ความสามารถของจ้าวหลินหลงนั้นนับได้ว่ายอดเยี่ยม แม้จะไม่สนใจในเรื่องของพลังฝึกตนที่สูงที่สุดนั้น ทุกๆ วิชาของเขาก็นับว่าสมบูรณ์แบบ ดรรชนีเมฆนภาของเขานั้นกระทั่งยอดเยี่ยมกว่ายามงานชุมนุม และย่างก้าวเงาของเขาก็เข้าใกล้ขั้นหลอมรวม

จ้าวหลินหลงฝึกฝนหนักขึ้นหลังจากที่พ่ายแพ้ และภายใต้แรงกดดันนั้นพลังของเขาจึงแข็งแกร่งยิ่งขึ้น กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นหกรุ่นเก่าบางคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

“ไม่เลว” หัวหน้าพรรคเอ่ยพร้อมกับเหล่าผู้อาวุโสที่ผงกศีรษะ

จากความเห็นของเขานั้น ความแข็งแกร่งของจ้าวหลินหลงนั้นนับเป็นแนวหน้าของเมืองประกายอรุณโดยแท้จริง พวกเขาพลันหันกลับไปมองจอมยุทธ์เย่

“จอมยุทธ์เย่ ท่านคิดเห็นเช่นไร…?” จ้าวเทียนชางเอ่ยถามขึ้นอย่างทนไม่ได้

เมื่อบุตรบุญธรรมของเขา จ้าวหลินหลง ถูกเลือกโดยตำหนักกว่านจวิน อนาคตของเขานับว่ายากจะคาดเดา มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่เมืองประกายอรุณจะถูกควบคุมโดยพรรคจ้าว เหล่าผู้อาวุโสต่างเฝ้ามองอย่างคาดหวัง

“งั้นงั้น” คำกล่าวนั้นราวกับค้อนที่ทุบไปยังจ้าวเทียนชางอย่างรุนแรง

นี่จะนับว่า… งั้นงั้นได้อย่างไร?

“งั้นงั้น?” ใบหน้าของจ้าวหลินหลงแดงก่ำ

ความโรกธเคืองอาบย้อมหัวใจของเขา ในฐานะของอัจฉริยะที่มีพลังฝึกตนสูงที่สุดภายในเมืองประกายอรุณ เขาได้รับคำเอ่ยเพียงแค่งั้นงั้น

“โอ้ใช่! หลินหลง! มิใช่ว่าเจ้าได้รับบางอย่างจากเศษเสี้ยวของวิชาระดับเทพเจ้าหรือ?” หัวหน้าพรรคเอ่ยเตือน

เศษเสี้ยวของวิชาระดับเทพเจ้า!

ใช่!

ดวงตาของเหล่าผู้อาวุโสพลันเปล่งประกาย

“หึหึ” ดวงตาของจอมยุทธ์เย่บังเกิดความสนใจขึ้นในที่สุด

“ขอรับ ท่านพ่อบุญธรรม” จ้าวหลินหลงสูดลมหายใจลึกและปิดดวงตาของเขาลง

ทันใดนั้น กลิ่นอายของเขาก็แปรเปลี่ยนไป

ฟู่วว

ในบัดนี้ จ้าวหลินหลงมีกลิ่นอายคล้ายซินหวู่เฮิงในงานชุมนุม ทว่าเจือจางกว่า เทียบได้เพียงหนึ่งในสิบของอัจฉริยะตระกูลซิน

“กระบวนท่าลมเคลื่อน!”

ฉัวะ!

ลมที่ไม่อาจมองเห็นได้กวาดทุกอย่างในรัศมีหลายเมตร การวาดกระบวนท่าแสนธรรมดานี้สามารถสร้างอาการบาดเจ็บให้ผู้ฝึกตนที่ระดับต่ำกว่าขั้นเจ็ดได้อย่างสาหัส

“ดี ดี!” เหล่าผู้อาวุโสปรบมืออย่างไม่อาจห้ามใจ

นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกจริงๆ ไม่ใช่การแสดง ความเข้าใจของพวกเขาที่ได้รับจากเศษเสี้ยวของวิชาระดับเทพเจ้านั้นไม่ได้มากมายไปกว่าชายหนุ่ม หลังจากที่ชื่นชม พวกเขาก็หันกลับไปมองจอมยุทธ์เย่อย่างคาดหวังอีกครั้ง

ครานี้คงไม่มีปัญหาแล้วใช่หรือไม่?

รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจ้าวหลินหลง

“นี่คือสิ่งที่เจ้าเรียกว่าเข้าใจจากเศษเสี้ยววิชาระดับเทพเจ้าหรือ? พลังของมันไม่แม้แต่จะแข็งแกร่งกว่าดรรชนีเมฆนภาของเจ้าด้วยซ้ำ! เจ้ายังไม่แม้แต่จะสัมผัสชายขอบของวิชาระดับเทพเจ้า! ไร้ประโยชน์!” เสียงเย็นเยียบไร้อารมณ์ดังก้องขึ้นทั่วทั้งห้อง

เสี้ยววินาทีนั้น!

ความเงียบงันก็ทาบทับลง

เป็นไปได้อย่างไร?

จ้าวหลินหลงรู้สึกคล้ายจะไม่พอใจ ทว่าบุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หัวหน้าพรรคนั้นเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นเก้าจำนวนน้อยนิดของจักรวรรดิ

ขั้นเก้าแห่งผู้ฝึกตน!

แม้พวกเขาอาจไม่พอใจ ทว่าพวกเขาก็ไม่มีความกล้าจะด่าทออีกฝ่าย

“อัจฉริยะที่ข้ามองหา… ไม่ใช่เขา” จอมยุทธ์เย่เอ่ยเสียงหยาบกระด้าง

ในวันงานชุมนุมนั้น กองกำลังกว่านจวินทั้งสองไม่รู้ชื่อของจ้าวเฟิงและซินหวู่เฮิง ทว่าพวกเขาได้เห็นความสามารถและพรสวรรค์ของทั้งสอง ความสามารถของสองคนนั้นนับว่าติดหนึ่งในห้าของแคว้นกว่านจวิน และความสามารถของจ้าวหลินหลงนั้นกลับไม่อาจติดแม้กระทั่งหนึ่งในยี่สิบ

“จอมยุทธ์เย่ พลังฝึกตนของจ้าวหลินหลงสูงที่สุดแล้วในบรรดาศิษย์” จ้าวเทียนชางเอ่ยอย่างจนใจ

ในตอนนั้นเหล่าผู้อาวุโสคนอื่นจึงได้ตระหนักได้ถึงความต้องการของบุรุษวัยกลางคน ทว่าพวกเขาได้กักขังอีกฝ่ายไว้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้จ้าวเทียนชางไม่เอ่ยถึงเด็กหนุ่มผู้นั้น

ความเงียบงันปรากฏขึ้นไม่กี่วินาที

“เรียกศิษย์ผู้ฝึกตนขั้นห้าและสูงกว่ามาที่นี่” จอมยุทธ์เย่เอ่ยสั่ง

จ้าวเทียนชางพลันทำเช่นที่อีกฝ่ายเอ่ยทันที

ไม่ช้า

จ้าวหยูเฟ่ย จ้าวชิ และจ้าวฮันก็ได้เข้ามายังห้องนั้น มีศิษย์เพียงห้าคนเท่านั้นที่เข้าสู่ขั้นห้า จ้าวหลินหลง จ้าวเฟิง จ้าวหยูเฟ่ย จ้าวชิ และจ้าวฮัน ทว่ากลับปรากฏตัวขึ้นเพียงสี่คนเท่านั้น

“ท่านผู้นั้นมาจากแคว้นกว่านจวิน พวกเจ้าต้องประพฤติตนให้ดี และหากเจ้าถูกเลือก พวกเจ้าก็จะถูกนำไปยังตำหนักกว่านจวิน” จ้าวเทียนชางเอ่ยอธิบาย

ทันใดนั้น ความคาดหวังก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา เมื่อเทียบกับตำหนักกว่านจวินแล้ว ตระกูลจ้าวของพวกเขานั้นราวกับมดปลวก หากพวกเขาถูกเลือกโดยตำหนักกว่านจวิน อนาคตของพวกเขาย่อมยากจะคาดเดา

คนแรกที่ออกไปคือจ้าวฮัน เมื่อเขาเดินออกไป พลังภายในที่ทรงพลังและเย็นเยียบก็แผ่พุ่งออกจากร่างของเขา

“สนใจเพียงแค่การโคจรพลังภายในมิใช่เรื่องดี” จอมยุทธ์เย่ส่ายศีรษะ

ความหวังสลายหายไปจากแววตาของจ้าวฮัน ในสายตาของจอมยุทธ์เย่นั้น ความสามารถของเขามันห่วยแตก ภาพนั้นทำให้จ้าวหลินหลงถอนลมหายใจออกและรู้สึกดีขึ้นเล็กๆ จากนั้นจ้าวชิจึงออกไปเป็นคนต่อไป

“ธรรมดา ความเข้าใจของเจ้าอยู่ในขั้นรับได้” คำวิจารณ์ดีขึ้นจากก่อนหน้าเล็กน้อย

ในที่สุดจึงเป็นตาของจ้าวหยูเฟ่ย จ้าวหยูเฟ่ยเป็นผู้ที่เด็กที่สุด ดังนั้นนางจึงออกไปเป็นคนสุดท้าย ทันใดนั้นนางก็ได้ใช้ตัดวิญญาณวายุของนางออกในทันใด และภายใต้เคล็ดลมหายใจตัดอากาศ การเคลื่อนไหวทั้งหมดของนางจึงงดงาม

ในที่สุด ความยินดีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าไร้อารมณ์ของบุรุษวัยกลางคน

“ไม่เลว”

ไม่เลว!

นี่นับเป็นคำวิจารณ์ที่ดีที่สุดที่ถูกเอ่ยออกมา ใบหน้าของจ้าวหลินหลงค่อนข้างน่าเกลียด ในด้านของความแข็งแกร่งและพลังฝึกตนนั้นเขาเหนือกว่าจ้าวหยูเฟ่ยอย่างง่ายดาย ทว่าจ้าวหยูเฟ่ยนั้นอายุเพียงสิบสี่ ดังนั้นแล้วความสามารถของนางจึงนับว่าเหนือกว่า

เหล่าผู้อาวุโสนิ่งงันไป พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าจอมยุทธ์เย่จะเห็นจ้าวหยูเฟ่ยสำคัญที่สุด ทว่าหากพวกเขาคิดตามหลักเหตุผลแล้ว จ้าวหยูเฟ่ยนั้นมาจากตระกูลสาขาและภายใต้สถานการณ์ที่มีทรัพยากรน้อยนิดนางก็ยังคงสามารถก้าวข้ามความสำเร็จของจ้าวหลินหลงในวัยเดียวกันได้

“นางใช้ได้ ทว่านางก็ไม่ใช่คนในคำรายงาน” คิ้วของบุรุษวัยกลางคนกระตุก

ไม่ดีแล้ว!

หัวใจของจ้าวเทียนชางและคนอื่นๆ บีบรัดแน่น ทว่าในเวลาต่อมาภาพที่พวกเขาไม่ต้องการเห็นมากที่สุดก็เกิดขึ้น

“จอมยุทธ์เย่ ยังมีอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมกว่าข้าอีกคนหนึ่ง” จ้าวหยูเฟ่ยเอ่ยบอก

ตั้งแต่วินาทีที่นางก้าวเข้ามาในห้อง นางก็รู้สึกสงสัยนักว่าเหตุใดจ้าวเฟิงจึงไม่ปรากฏตัว มีเพียงนางเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าจ้าวเฟิงถูกสั่งกักบริเวณในฐานะของผู้ต้องสงสัยว่าทรยศ

ภายใต้สถานการณ์เหล่านั้น จ้าวเฟิงจึงถูกตัดออก

“หืมมม? ยังเหลืออีกคนรึ?” ใบหน้าของบุรุษวัยกลางคนพลันมืดทะมึนขณะที่เขากวาดตามองเหล่าผู้อาวุโส

เหล่าผู้ที่ถูกจ้องมองด้วยสายตานั้นรู้สึกราวกับถูกดาบตัดหั่น

“จอมยุทธ์เย่ สถานการณ์เป็นเช่นนี้… ยังเหลือเด็กหนุ่มอีกคนในพรรค ทว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัยว่าทรยศตระกูล…”

“หุบปาก!”

ความกราดเกรี้ยวอาบย้อมใบหน้าของจอมยุทธ์วัยกลางคน

“ข้าไม่สนใจว่าเขาจะเป็นผู้ทรยศบัดซบอันใด ข้าแค่ต้องการอัจฉริยะของข้า!”

น้ำเสียงทรงพลังของเขาดังก้องภายในห้อง จ้าวหลินหลงและเด็กหนุ่มสาวผู้อื่นรู้สึกได้ว่าผิวหนังพวกเขาเย็นเยียบ เพียงแค่เสียงก็สร้างความกดดันเพียงนี้ มันยากที่จะคาดคำนวณว่าพลังของผู้ฝึกตนขั้นเก้านั้นมีมากมายเพียงใด

“ไปนำจ้าวเฟิงมา” จ้าวเทียนชางเค้นเสียงออกมาได้ในที่สุด

เหล่าผู้อาวุโสต่างถอดถอนใจอยู่ภายในใจ หมัดของจ้าวหลินหลงกำแน่นเช่นเดียวกับฟันที่ขบกันกรอด เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ

อัฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลจ้าวจะถูกแทนที่ด้วยคนไร้นามจากตระกูลสาขาได้อย่างไร?

“จ้าวเฟิงจะไม่ถูกเลือก และแม้มันจะถูกเลือกแล้วอย่างไร? ข้าจะฉีกหน้ามัน!” จ้าวหลินหลงเอ่ยอย่างเกลียดชัง

หลังจากนั้น

เด็กหนุ่มหล่อเหลาก็เดินเข้ามาภายในห้องอย่างมั่นคง

“ผู้ใดมาเยือนตระกูลจ้าววันนี้?”

จากสถานการณ์ ดูเหมือนว่าทั้งผู้อาวุโสและหัวหน้าพรรคล้วนอยู่ภายใต้คำสั่งของบุรุษที่นั่งอยู่ที่ที่นั่งบนสุด ในวินาทีที่เขาเปิดดวงตาซ้ายออก เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันทรงพลังที่แพร่กระจายออกจากร่างของอีกฝ่าย ที่น่าตื่นตะลึงมากไปกว่านั้นคือพลังภายในของเขานั้นได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดแล้ว

หากพลังภายในของจ้าวหลินหลงเป็นดังน้ำเย็นในถังเล็กๆ เช่นนั้นพลังภายในของหัวหน้าพรรคก็คงเป็นดังน้ำเดือดในถังอาบน้ำ ทว่าเมื่อเทียบกับบุรุษวัยกลางคนที่สวมใส่ชุดสีเขียวแล้ว เขานั้นราวกับโลหะ! ทั้งปริมาณและคุณภาพนั้นได้ถึงขีดสุด

“แข็งแกร่งยิ่ง!” จ้าวเฟิงรีบปิดความสามารถของดวงตาซ้ายลง

คนเบื้องหน้าเขานั้นอาจเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยพบ หากไม่นับเด็กสาวในหุบเขาวันนั้น

“เจ้าชื่ออะไร?” จอมยุทธ์เย่เอ่ยถาม

“จ้าวเฟิง” น้ำเสียงนั้นมั่นคง

“ไม่เลว” ประกายความสนใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจอมยุทธ์วัยกลางคน

กลิ่นอายจากลมหายใจของเขาไม่ส่งผลให้เด็กหนุ่มเบื้องหน้าลนลาน และด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง… เขามีความรู้สึกราวกับไม่อาจมองอีกฝ่ายได้ทะลุ พลังฝึกตนที่แท้จริงของจ้าวเฟิงนั้นอยู่ที่ขั้นหก และเมื่อเขาปกปิดมันอย่างเต็มที่ กระทั่งจอมยุทธ์เย่ก็ไม่อาจมองเห็นมันได้โดยง่าย…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!