Skip to content

King of Gods 59

King Of Gods

บทที่ 59 : แขกจากนครหลวงแห่งแคว้น

“นี่นับว่าตระกูลสั่งกักบริเวณข้าใช่หรือไม่?” จ้าวเฟิงราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นเยียบ

เขาครองอันดับหนึ่งในงานชุมนุมอัจฉริยะ แต่เขากลับได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แทนที่จะถูกปฏิบัติเช่นวีรบุรุษ? เขาไม่ได้ปัญญาอ่อน ผู้ที่ร่วมมือกับตระกูลชิวเป็นสองคนที่ตายนั่นต่างหาก! คืนที่เขากลับมานั้นอยู่ในแผนเป็นแน่ ชิวเมิงหยูได้เชิญเขาไปเพื่อเพิ่มเวลาเตรียมการ เมื่อแผนสำเร็จและเด็กหนุ่มตายตกใกล้เคียงเขตของพรรคตนเอง ตระกูลจ้าวจะทำเช่นไรได้? นอกจากนั้น การตายของอัจฉริยะจากตระกูลสาขาไม่อาจสร้างแรงกระตุ้นให้พวกระดับสูงหาคนร้ายได้สักเท่าใด

“สบายใจเถอะ!”

ผู้อาวุโสตระกูลจ้าวเอ่ยเสียงล้ำลึก

“ตราบเท่าที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาย่อมไม่มีหลักฐานอันใดในการกระทำสิ่งใดแก่เจ้า ข้าจะหาความจริงให้ได้อย่างแน่นอน!”

“ขอบคุณสำหรับความห่วงใย ท่านผู้อาวุโส” จ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความเคารพและซาบซึ้งใจ

แน่นอนว่าหากจ้าวเฟิงไม่มีผู้อาวุโสจ้าวผู้นี้คอยปกป้อง มันคงไม่มีเพียงแค่คำสั่งกักบริเวณเช่นนี้

คำสั่งกักบริเวณ?

ข้าก็มิได้ตั้งใจจะไปที่ใดอยู่แล้ว! แล้วพวกเจ้าจะทำอันใดได้?

จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงเย็นในใจและไม่คิดจะเอ่ยอธิบายใดๆ

เขาเป็นเพียงศิษย์ตระกูลสาขา พวกระดับสูงของพรรคย่อมไม่เชื่อมั่นในตัวเขา หากเขาอธิบายความจริงไป การที่เขาซ่อนพลังฝึกตนและความแข็งแกร่งไว้ย่อมสร้างปัญหาขึ้นอีกประการแน่

จ้าวเฟิงกลับไปยังบ้าน

เด็กหนุ่มนั่งลงและเริ่มฝึกฝน บัดนี้อาการบาดเจ็บของเขานั้นเกือบจะหายดีแล้ว ด้วยพลังฝึกตนขั้นหกของเขา ความแข็งแกร่งของเขานับเป็นแนวหน้าในเมืองประกายอรุณ ผู้ที่สามารถคุกคามเขาได้มีเพียงแจอมยุทธ์เท่านั้น นอกจากนั้นเขาไม่คิดจะเห็นอยู่ในสายตา

“ข้าจะไปจากตระกูลจ้าว จากเมืองประกายอรุณ และสำรวจโลกด้านนอก” จ้าวเฟิงเฝ้าฝันในใจ เขาสูญเสียความรู้สึกในการอยู่ในที่แห่งนี้ไปแล้ว

ตั้งแต่วันที่เขาเห็นเด็กสาวลึกลับที่หุบเขานั่น เขาก็ต้องการออกไปท่องโลกกว้าง ภายในมิติในดวงตาซ้ายเขา ฝ่ามือของเด็กสาวเล่นกลับไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งบัดนี้เขาก็ยังไม่อาจทำความเข้าใจกับความลึกล้ำที่หลอมรวมอยู่ในนั้นได้

ในเสี้ยวพริบตา เวลาก็ผ่านพ้นไปครึ่งเดือน จ้าวเฟิงคำนวณวันเวลาก่อนจะพบว่าเขาอายุสิบสี่ปีแล้ว

เขาฝึกฝนอย่างหนักและวิชานภาลอยล่องได้เข้าสู่ขั้นสุดยอด เขาตระหนักว่าเขาทำความเข้าใจวิชาระดับสูงได้ง่ายขึ้นเมื่อเขาเข้าใจกลิ่นอายหนึ่งเดียวกับสวรรค์ มันคล้ายคลึงกับการที่จอมยุทธ์เรียนรู้วิชาระดับต่ำ แน่นอนว่ามันย่อมง่ายดายกว่า

จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่ากระทั่งดรรชนีดาราก็ไม่ได้ยากเย็นอีกต่อไป บัดนี้ดรรชนีดาราของเขาไม่ห่างไกลจากขั้นปลายของระดับสี่เท่าใดนัก วันที่เขาอายุสิบสี่นั้นก็ได้มีแขกมายังตระกูลจ้าว นอกจากผู้อาวุโสที่ปกป้องหอตำราแล้ว ผู้อาวุโสคนอื่นล้วนปรากฏตัวขึ้น

“ตระกูลข้ามีอันใดให้ ‘จอมยุทธ์เย่’ มาด้วยตนเองกัน?” หัวหน้าพรรคมองไปยังร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของหัวหน้าพรรค

ผู้ที่นั่งอยู่บนที่นั่งของหัวหน้าพรรคนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่อายุราวๆ 35 ปี เขาดูเหมือนมนุษย์ธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกตน ทว่าทุกๆ การกระทำ ทุกๆ ลมหายใจล้วนสร้างความตื่นตะลึงให้เหล่าผู้อาวุโส มีเพียงผู้ที่อยู่ในขั้นเจ็ดหรือสูงกว่าที่รับรู้ได้ถึงความอันตรายที่มาจากบุรุษผู้นั้นแม้เขาจะปกปิดกลิ่นอายของตนเอง

“ข้าได้ยินมาว่าตระกูลซินและตระกูลจ้าวต่างมีอัจฉริยะผู้มากพรสวรรค์ ข้ามาในนามของท่านเจ้าเมืองกว่านจวินเพื่อค้นหา” หลังจากสิ้นคำ ลมหายใจของทุกคนต่างถี่กระชั้นขึ้นในทันที

เจ้าเมืองกว่านจวิน!

เหงื่อเย็นเยียบไหลออกจากศีรษะของจ้าวเทียนชาง ในฐานะของเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของนครหลวงแห่งแคว้นกว่านจวิน พวกเขาจะไม่รู้จักเจ้าเมืองกว่านจวินได้อย่างไร?

ตระกูลจ้าวนั้นเป็นเพียงหนึ่งในสิบสองเมืองเล็กๆ ภายใต้การปกครองของแคว้นกว่านจวินและผู้ควบคุมแคว้นนี้ก็คือเจ้าเมืองกว่านจวิน!

เรื่องราวของเขาก็นับเป็นตำนานแล้ว เจ้าเมืองกว่านจวินนั้นเป็นหนึ่งในเจ็ดขุนนางใหญ่ เขามีพลังฝึกตนที่สูงส่ง เขาเพียงคนเดียวฆ่าทหารกว่าสองแสนนาย หั่นผู้ฝึกตนขั้นเจ็ดหรือสูงกว่าไปสิบแปดคน และฆ่าแม่ทัพศัตรูที่มีพลังฝึกตนขั้นเก้า ทั้งยังสับสัตว์ปีศาจระดับสูงห้าตัวตายในคราเดียว ทั้งหมดล้วนแข็งแกร่งกว่าเสื้อเขี้ยวดาบสองปีกที่จ้าวเฟิงเคยพบ

เขายังได้เข้าสู่ขั้นเก้าแห่งหนทางผู้ฝึกตนก่อนอายุสามสิบ สิบปีต่อมากระทั่งมีข่าวลือว่าเข้าได้เข้าสู่ขั้นกายเทพแล้ว! มันไม่สำคัญว่าตำนานเหล่านั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ เมื่อเจ้าเมืองกว่านจวินนั้นเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนจักรวรรดิ!

แล้วตระกูลจ้าวจะนับเป็นอันใดได้?

และบัดนี้

จอมยุทธ์เย่ผู้นี้ได้มายังพรรคจ้าวภายใต้คำสั่งของบุรุษผู้นั้น ในเสี้ยววินาที นั้นที่เหล่าผู้ที่อยู่ในที่แห่งนั้นต่างมองหน้ากันเองด้วยความตื่นเต้น

“เราขอถาม อัจฉริยะผู้ใดที่ท่านจอมยุทธ์เย่ตามหา?” จ้าวเทียนชางปาดเหงื่อบนหน้าผากของเขา

จอมยุทธ์เย่ผู้นี้อยู่ในขั้นเก้าแห่งหนทางผู้ฝึกตนและมีโอกาสอย่างมากที่จะเป็นหนึ่งในมือขวาของเจ้าเมืองกว่านจวิน ทั่วทั้งเมืองประกายอรุณนั้นมีโอกาสเพียงน้อยนิดที่จะปรากฏผู้ฝึกตนขั้นแปด ด้วยความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์เย่ เขาสามารถฆ่าจอมยุทธ์ผู้อื่นได้ราวกับฆ่าหมาแมว สามารถกล่าวได้ว่าตระกูลจ้าวไม่อาจขัดขืนอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย

“ตามข้อมูลของข้า ตระกูลซินและตระกูลจ้าวต่างมีอัจฉริยะ ข้าไม่รู้นามของพวกเขา… ข้าเพิ่งจะไปที่ตระกูลซินมาแต่ผลลัพธ์ทำให้ข้าผิดหวัง…” จอมยุทธ์เย่สั่นศีรษะอย่างจนใจ

แน่นอนว่าเขาไม่ได้เจอซินหวู่เฮิงที่หายไปหลังจากงานชุมนุม และยังไม่มีวี่แววของเขาแม้จะผ่านมาแล้วหนึ่งเดือน นอกจากซินหวู่เฮิงแล้ว ตระกูลก็มิได้มีอัจฉริยะที่โดดเด่นผู้อื่นอีก

“อืม… หากไม่มีชื่อข้าเองก็มิอาจรู้ได้ว่าท่านหมายถึงผู้ใด” ประกายแสงส่องวาบในดวงตาของจ้าวเทียนชาง

จอมยุทธ์เย่เอ่ยอย่างธรรมดา

“นั่นง่ายดาย เพียงแค่เอาผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดมา”

หัวหน้าพรรคสบตากับผู้อื่น หากพวกเขาพูดถึงผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุด เช่นนั้นพวกเขาย่อมต้องเลือกระหว่างจ้าวเฟิงและจ้าวหลินหลง ทว่าจ้าวเฟิงนั้นได้รับคำสั่งกักบริเวณและพวกเขายังคลางแคลงใจว่าเด็กหนุ่มนั้นจะร่วมมือกับตระกูลชิว

“ฮะฮะ หรือพรรคจ้าวกระทั่งไม่รู้จักอัจฉริยะของตนเอง?” จอมยุทธ์เย่หัวเราะขณะที่ปลดปล่อยพลังออกมา

ในตอนนั้นเอง แรงกดดันในห้องก็ได้เพิ่มขึ้น แรงกดดันที่ไม่อาจทานทนบดขยี้ลงไปยังร่างของจ้าวเทียนชางและคนอื่นๆ

“มะ… มีคนหนึ่ง” จ้าวเทียนชางเอ่ยอย่างเร่งรีบ

“เรามีอัจฉริยะที่โดดเด่นอยู่ในพรรคคนหนึ่ง เขาคือบุตรชายข้าจ้าวหลินหลง เขาทะลวงเข้าสู่ระดับหกก่อนอายุสิบแปดปี และได้สำนึกรู้บางอย่างจากวิชาระดับเทพเจ้าเมื่อไม่กี่วันก่อน”

จ้าวหลินหลง!

ผู้อาวุโสคนอื่นพลันผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย มันเป็นความจริงที่ว่าจ้าวหลินหลงนั้นมีพลังฝึกตนสูงที่สุดในบรรดาคนหนุ่มสาว นอกจากนั้นเขายังได้สำนึกรู้บางอย่างจากวิชาระดับเทพเจ้า มันเป็นสิ่งที่กระทั่งผู้อาวุโสบางคนก็ไม่อาจทำได้

“โฮ่? นำเขามา” จอมยุทธ์เย่ดูเหมือนจะสนใจ

“ให้คนไปเรียกจ้าวหลินหลงมา!”

ไม่ช้า

จ้าวหลินหลงในชุดสีทองเดินเข้ามาในห้องก่อนจะทำความเคารพทุกคน เมื่อเขาพบว่าผู้เป็นหัวหน้าพรรคไม่ได้นั่งอยู่บนที่ของเขาตามปกติ ชายหนุ่มก็ตะลึงงัน

จากสถานการณ์ในยามนี้ ดูเหมือนเหล่าผู้อาวุโสจะหวาดกลัวชายผู้นั้น

“อืม… สิบแปดปี ขั้นหก เหอะ ธรรมดา” จอมยุทธ์เย่ผงกศีรษะเล็กๆ ทว่าไม่ได้ดูมีความสุข

ธรรมดา?

จ้าวหลินหลงรู้สึกได้ถึงความโกรธเคืองที่พุ่งขึ้นภายในใจ เหล่าผู้อาวุโสเองก็นิ่งงันไป อย่างไรก็ตามมีเพียงจ้าวหลินหลงที่เข้าสู่ขั้นหกก่อนอายุสิบแปดปี

แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้ว่าซินหวู่เฮิงและจ้าวเฟิงล้วนเข้าสู่ระดับหกแล้ว โดยที่ซินหวู่เฮิงนั้นอยู่ในขั้นสุดยอดของขั้นหก จ้าวหลินหลงเกือบจะอายุสิบแปดและจ้าวเฟิงเพิ่งจะอายุสิบสี่ กระทั่งด้วยระดับการฝึกตนขั้นห้าของเขา มันก็ชัดเจนว่าความสามารถของเขาเหนือกว่าจ้าวหลินหลง

“แสดงวิชาของเจ้าให้ข้าดู” บุรุษวัยกลางคนเอ่ยสีหน้าไร้อารมณ์

“ขอรับ จอมยุทธ์เย่” จ้าวหลินหลงจำกัดความตื่นเต้นของเขาไว้อย่างช่วยไม่ได้

ความหมายของสายตาที่พ่อบุญธรรมของเขาส่งมา เขารู้ว่านี่คือโอกาสที่จะเปลี่ยนโชคชะตาของเขา

ดรรชนีเมฆนภา!

จ้าวหลินหลงตวาดขณะที่ใช้วิชาที่ดีที่สุดของเขา ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้ใช้ย่างก้าวเงาไปพร้อมกัน หลังจากที่แสดงวิชาของเขาแล้วชายหนุ่มก็ดูจะเต็มไปด้วยความมั่นใจ ทุกๆ ดรรชนีที่เขาใช้ออกนั้นราวกับจะทะยานสู่ฟากฟ้า

“ดี! ดี!”

เหล่าผู้อาวุโสผงกศีรษะและเอ่ยชมเขาอย่างช่วยไม่ได้ ทว่า ณ ที่นั่งที่สูงที่สุด จอมยุทธ์เย่นั่งนิ่งสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!