Skip to content

King of Gods 99

King Of Gods

บทที่ 99 : งานเลี้ยง

ม่านป้องกันวายุเงินเป็นกระบวนท่าที่จะสร้างม่านพลังป้องกันขึ้นรอบกาย มันมีประสิทธิภาพอย่างมากกับคนจำนวนมาก

แน่นอนว่าม่านป้องกันวายุเงินนั้นมีจุดอ่อนเช่นกัน และมันคือพลังงานที่ต้องใช้!

ผู้ฝึกตนขั้นเจ็ดส่วนมากจะสามารถใช้ม่านป้องกันวายุเงินได้เพียงแค่ในช่วงเวลาสำคัญเพราะพวกเขาสามารถคงมันไว้ได้เพียงสิบลมหายใจ ทว่าในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นสุดยอดของขั้นเจ็ดและฝึกฝนเคล็ดลมหายใจหวน จ้าวเฟิงสามารถคงมันไว้ได้มากกว่าผู้อื่นสองเท่า

“วิชากำแพงเงินเข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับเจ็ดแล้ว ข้าสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนขั้นแปดได้ด้วยเพียงร่างกายเปล่าๆ หากใช้ม่านป้องกันวายุเงิน กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นเก้าก็ไม่อาจสร้างอาการบาดเจ็บให้ข้าได้ในระยะเวลาสั้นๆ” จ้าวเฟิงสรุปความสามารถของเขา

ผู้ฝึกตนที่มีพลังต่ำกว่าขั้นเก้านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขายกเว้นว่าพวกนั้นจะอยู่ในระดับเดียวกับเป่ยโม่ยซึ่งฝึกฝนวิชาเซียนจำนวนหนึ่งจนเข้าสู่ขั้นสูง

ในเวลาไม่กี่วันต่อมา จ้าวเฟิงได้ใช้วิชากำแพงเงินในการดูดซึมยาที่หลงเหลืออยู่เล็กน้อยในร่างของเขา

สี่ห้าวันต่อมา

พลังงานที่เหลือถูกดูดซึมโดยวิชากำแพงเงินและห่างจากระดับแปดเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น

“หากข้าใช้ผงทองเสริมกายาในตอนนี้ วิชากำแพงเงินย่อมเข้าสู่ระดับแปดตราบเท่าที่ข้าสามารถทนพลังกราดเกรี้ยวนั่นได้” ประกายแสงแล่นวาบผ่านดวงตาของเด็กหนุ่ม

หลังจากครุ่นคิดเป็นเวลานาน เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำเช่นนั้น

อย่างแรง ผงทองเสริมกายานั้นรุนแรงกราดเกรี้ยวจนเกินไป ผู้ฝึกตนขั้นแปดกว่าครึ่งเมื่อใช้มันก็ได้พิการไป พลังงานที่อยู่ภายในนั้นมากกว่ายากายเหมันต์เยือกแข็งและยาอัสดงหลอมกระดูกกึ่งหนึ่ง

อย่างที่สอง การใช้ทรัพยากรเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายสร้างอาการต่อต้านและได้ผลลัพธ์ที่ลดลง ดังนั้นแล้วจ้าวเฟิงจึงตัดสินใจที่จะฝึกตนอย่างเชื่องช้าแทนที่จะใช้ผงทองเสริมกายา

ในเวลาไม่กี่วันต่อมา เขาได้เพ่งความสนใจไปยังการฝึกฝนวิชากำแพงเงิน และในขณะเดียวกันก็ได้พยายามทำความเข้าใจกระบวนท่าวายุทั้งสี่และฝ่ามือลมลี้ลับในมิติในดวงตาของเขา

หลังจากการบุกของกองทัพสัตว์อสูร ความสามารถของจ้าวเฟิงก็ได้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง ทั้งกระบวนท่าวายุทั้งสี่และฝ่ามือลมลี้ลับต่างมีความพัฒนาอย่างมาก

เมื่อเวลาผ่านไป เด็กหนุ่มก็ได้เรียนรู้กระบวนท่าวายุกรรโชกอย่างเต็มที่

กระบวนท่าวายุกรรโชกนั้นสามารถเพิ่มพลังโจมตีและขนาดพื้นที่โจมตีได้ จ้าวเฟิงหลอมรวมกระบวนท่าวายุกรรโชกเข้ากับดรรชนีดารา ทำให้ดรรชนีนี้เทียบเท่าได้กับวิชาเซียน

หากเขาสามารถหลอมรวมกระบวนท่าวายุกรรโชกเข้ากับฝ่ามือลมลี้ลับได้ บางทีพลังของมันอาจนับได้ว่าเหนือกว่าวิชาเซียนทั่วไป

จากนั้นจ้าวเฟิงจึงได้หันไปสนใจกระบวนท่าที่สามของกระบวนท่าวายุทั้งสี่ กระบวนท่าเสี้ยววายุ

กระบวนท่าเสี้ยววายุนั้นเป็นกระบวนท่าโจมตีซึ่งไม่ยากที่จะเรียนรู้ แต่ก็ไม่ง่ายเช่นกัน

วันนี้

ความเข้าใจในกระบวนท่าเสี้ยววายุของเด็กหนุ่มได้เข้าถึงคอขวดที่สามถึงสี่ส่วนจากสิบส่วน

เขาปิดเปลือกตาและสำรวจวิชาเซียนทั้งหมดของเขา

ฝ่ามือลมลี้ลับได้ถูกเรียนรู้จนหมด ในสี่กระบวนท่าวายุ สามกระบวนท่าแรกได้ถูกเรียนรู้แล้ว เมื่อเทียบกับพวกมันแล้ว ดรรชนีดาราของเขามีความพัฒนามากที่สุด เข้าสู้ระดับหก ห่างจากระดับสุดท้ายเพียงหนึ่งระดับ

“ยังคงมีเวลาเหลืออีกหนึ่งเดือนก่อนการทดสอบรับศิษย์เข้าสำนัก ทว่าวิชากำแพงเงินของข้ายังคงไม่เข้าสู่ระดับแปด” จ้าวเฟิงพึมพำกับตนเอง

บัดนี้ เขาได้สนใจร่างกายของเขามากกว่าการฝึกตน ตราบเท่าที่พื้นฐานของเขานั้นแข็งแกร่ง พลังฝึกตนของเขาย่อมเพิ่มขึ้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่ได้สนใจในการเพิ่มพลังฝึกตนของเขามากนัก หรือมิเช่นนั้นเขาคงเข้าสู่ขั้นแปดไปแล้ว ทว่าปัญหานั้นคือช่วงปลายของวิชาเสริมกายานั้นยากกว่าและใช้เวลายาวนานกว่าในการพัฒนา

จ้าวเฟิงถอนลมหายใจและเดินออกจากห้องเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์และผ่อนคลาย

การฝึกตนต่อไปนั้นไม่มีประสิทธิภาพ บางครั้งการผ่อนคลายก็ช่วยในเรื่องของคอขวด

“นายน้อยจ้าว ไม่กี่วันก่อน นายน้อยเป่ยโม่ยได้ส่งคำเชิญมายังท่านให้ไปร่วมงานเลี้ยง” ข้ารับใช้เอ่ยอย่างเคารพ

เป่ยโม่ย? งานเลี้ยง?

จ้าวเฟิงรู้สึกว่ามันแปลกประหลาด เหตุใดจึงมีงานเลี้ยงขึ้นได้?

ข้ารับใช้ได้เอ่ยตอบความคิดของเขา

“ไม่กี่วันก่อน นายน้อยเป่ยโม่ยได้เข้าสู่ขั้นเก้าโดยที่อายุยังไม่เข้าสิบหกขวบปี สร้างความตื่นตะลึงให้กับตำหนักกว่านจวิน เจ้าเมืองกว่านจวินจึงได้ตัดสินใจที่จะจัดงานเลี้ยงฉลองให้เขา”

ขั้นเก้า!

หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุก มันไม่ยากเลยที่คิดว่าเป่ยโม่ยนั้นมีความพัฒนาอย่างมากหลังจากการบุกของกองทัพสัตว์อสูรซึ่งช่วยให้เขาเข้าสู่ขั้นเก้าได้

ในเวลายี่สิบปีทีผ่านมา ไม่มีข่าวว่าผู้ใดได้เข้าสู่ขั้นเก้าก่อนอายุสิบหกปีภายในจักรวรรดิเมฆา ทุกคนควรรู้ว่าผู้ฝึกตนจำนวนมากไม่อาจแม้กระทั่งเข้าสู่ขั้นเจ็ดได้ตลอดชีวิต และทุกๆ ขั้นหลังขั้นเจ็ดนั้นยากที่จะไปถึงยิ่งนัก

“ไม่แม้แต่จะอายุสิบหก ทว่าเข้าสู่ขั้นเก้า… โชคร้ายนักที่อยู่ในรุ่นเดียวกับเป่ยโม่ย…” จ้าวเฟิงถอดถอนใจ

โดยปกติแล้ว อัจฉริยะเช่นหนานกงฟั่นและเฟิงฮันเยว่ควรจะเป็นชั้นแนวหน้าในรุ่น ทว่าพลังจากที่พบกับเป่ยโม่ย ทุกสายตาที่จับจ้องไปยังพวกเขาก็ถูกเบี่ยงเบนไปยังเด็กหนุ่ม

จ้าวเฟิงเอ่ยถาม

“งานเลี้ยงเริ่มเมื่อใด?”

“พรุ่งนี้ตอนเย็นขอรับ” ข้ารับใช้เอ่ยขณะที่ค้อมศีรษะ

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ ปรากฏความกดดันอย่างมากในหัวใจ ในสถานการณ์ปัจจุบัน ช่องว่างระหว่างพวกเขายังคงอยู่ทีเท่าเดิม แม้ว่าเขาจะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด

เด็กหนุ่มกลับไปยังห้อง

จ้าวเฟิงทำใจให้สงบก่อนนั่งขัดสมาธิเพื่อฝึกฝนวิชากำแพงเงินของเขาต่อ ภายใต้แรงกดดันของยอดอัจฉริยะเช่นนี้ เสียง ‘ตึก ตึก’ ได้ดังขึ้นจากดวงตาซ้ายของเขาขณะที่มันปล่อยปลดกลิ่นอายแปลกประหลาดหมุนวนไปทั่วร่าง กระแสไฟฟ้าและความรู้สึกหนึบชาปรากฏขึ้นตลอดทั่วร่างขณะที่เขาฝึกฝนวิชากำแพงเงิน หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุกขณะที่เขาโคจรวิชากำแพงเงินอย่างเต็มที่ในทันที

หนึ่งวันหนึ่งคืนต่อมา

ของเหลวสีดำซีดปรากฏขึ้นบนร่างของเด็กหนุ่ม

ฟู่ว!

ร่างกายของเขานั้นยอดเยี่ยมมากเมื่อเขาเข้าสู่ขั้นใหม่ ในตอนนี้ เขาได้ปลดปล่อยกลิ่นอายที่ไม่อาจมองเห็นได้ออกมาทุกๆ ลมหายใจ

“วิชากำแพงเงินได้เข้าสู่ระดับแปดภายใต้สถานการณ์นี้” จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจออกด้วยความยินดีบนใบหน้า

โดยปกตินั้น วิชากำแพงเงินของเขาต้องการเวลาราวๆ ครึ่งเดือนถึงไม่กี่เดือนในการทะลวงขั้น ทว่าอาจเป็นเพราะแรงกดดันจากเป่ยโม่ย ทำให้ดวงตาซ้ายของเขากระตุ้นความสามารถของเขาออกมาอีก

จ้าวเฟิงนั้นมั่นใจอย่างมากว่าไม่มีผู้ใดภายใต้ขั้นเก้าที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขา และเขากระทั่งสามารถเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขั้นเก้าบางคนได้

แคร่กกก!

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มขณะที่เขาเดินออกจากห้อง ด้านนอกปรากฏดวงจันทร์ส่องสว่างในท้องฟ้ายามค่ำคืน

“ข้าเกือบลืมไปแล้ว! งานเลี้ยงของเป่ยโม่ยนั้นเป็นคืนนี้…” หัวใจของจ้าวเฟิงเต้นแรง

เมื่อมองไปยังเวลา ดูเหมือนว่างานเลี้ยงจะเริ่มไปสักพักแล้ว

ปึก!

เด็กหนุ่มพลันมุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงในทันที

ในราตรีมืดมิด แสงจันทร์เต็มดวงส่องสว่างทำให้ดวงดาราราวกับหม่นแสง ภาพนั้นราวกับเป็นตัวแทนของเป่ยโม่ยที่นำแสงของอัจฉริยะผู้อื่นไป สถานที่จัดงานเลี้ยงนั้นคือหอจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ และมีคนเพียงไม่มากที่ถูกเชิญไป เมื่อจ้าวเฟิงเดินเข้าไปภายในก็พบว่างานเลี้ยงกำลังจะจบลงแล้ว

ภายในห้องโถงกว้าง เจ้าเมืองกว่านจวินและเหล่าศิษย์ของเขาปรากฏตัวขึ้น

“ศิษย์น้องจ้าว เหตุใดเจ้าจึงเพิ่งมาถึง?” คิ้วของหนานกงฟั่นเลิกสูงขึ้น

“คารวะท่านอาจารย์! ยินดีกับศิษย์พี่เป่ยโม่ย!” จ้าวเฟิงไม่สนใจหนานกงฟั่นขณะที่เขาตรงไปทำความเคารพผู้เป็นอาจารย์และแสดงความยินดีให้เป่ยโม่ย

กลิ่นอายของเป่ยโม่ยนั้นกระทั่งทรงพลังกว่าแต่ก่อน พิสูจน์ว่าเขานั้นได้เข้าสู่ขั้นเก้าแล้ว เมื่อเทียบกับยามที่เขาอยู่ขั้นแปด บัดนี้เขาแข็งแกร่งกว่าเดิมสองเท่า

ภายใต้การคาดคำนวณจากดวงตาซ้ายของเขา จ้าวเฟิงสรุปว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายนั้นเข้าใกล้ระดับครึ่งก้าวหนทางแห่งเซียน นั่นหมายความว่าความแข็งแกร่งของเป่ยโม่ยนั้นเหนือกว่าเย่หลินเหลียนและองครักษ์สาม และแทบไม่มีผู้ใดที่อยู่ต่ำกว่าระดับหนทางแห่งเซียนสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้

เจ้าเมืองกว่านจวินและเป่ยโม่ยไม่ได้ใส่ใจที่จ้าวเฟิงมาสาย สองศิษย์อาจารย์นั้นให้ความสนใจกับงานเลี้ยง เจ้าเมืองกว่านจวินยิ้มอย่างมีความสุขขณะที่เขามองไปยังเป่ยโม่ยด้วยความห่วงใย รัก และคาดหวัง

เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ศิษย์ผู้อื่นเช่นหนานกงฟั่น จ้าวเฟิง หยางชิงชั่นนั้นราวกับใบไม้ของดอกไม้นั้น

“ยังคงเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนจนกว่าจะถึงงานทดสอบรับศิษย์ของสำนักจันทร์สลาย ศิษย์ผู้นี้จะเติมเต็มความหวังของท่านอาจารย์อย่างแน่นอน” เป่ยโม่ยสัญญา เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความคาดหวังและห่วงใยจากเจ้าเมืองกว่านจวินได้

“เจ้าเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของอาจารย์ และข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถเดินไปได้ไกลกว่าเดิมหลังจากที่เข้าไปในสำนัก” เจ้าเมืองกว่านจวินผงกศีรษะพร้อมรอยยิ้ม

งานเลี้ยงได้เข้าสู่จุดสิ้นสุด ทิ้งไว้เพียงเจ้าเมืองกว่านจวินและศิษย์ทั้งหก กระทั่งคนเช่นเย่หลินเหลียนก็ได้จากไป ซึ่งทำให้จ้าวเฟิงคิดว่าผู้เป็นอาจารย์นั้นกำลังจะเอ่ยบางสิ่งสำคัญกับศิษย์ของเขา

“พวกเจ้าต่างรู้ว่ายังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนจนกว่าจะถึงงานทดสอบรับศิษย์ของสำนักจันทร์สลาย และอาจารย์สามารถพาไปได้เพียงสามคน ในเวลาสิบวัน ข้าจะเลือกคนสามคนตามความแข็งแกร่งและความสามารถของพวกเจ้า” เจ้าเมืองกว่านจวินเข้าเรื่องในทันที

หัวใจของทุกคนสั่นสะท้านเมื่อได้ยิน แม้ว่าพวกเขาจะมีอาจารย์เดียวกัน พวกเขาก็ยังคงต้องต่อสู้กันเพื่อที่สามที่นั้น

คนหกคน สามที่นั่ง!

ในบรรดาคนทั้งหมด เป่ยโม่ยได้รับไปหนึ่งที่อย่างง่ายๆ นั่นหมายความว่าหยางชิงชั่น หนางกงฟั่น เฟิงฮันเยว่ จ้าวเฟิง และจ้าวหยูเฟ่ย มีเพียงสองคนในพวกเขาเท่านั้นที่จะถูกเลือก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!