บทที่ 100 : แขกไม่ได้รับเชิญ
หลังจากเดินออกจากหอจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ เหล่าเด็กหนุ่มสาวต่างตกอยู่ในความเงียบงัน หลังจากที่อาจารย์เอ่ยเช่นนั้น บัดนี้พวกเขาก็ได้กลายเป็นคู่แข่งกันแล้ว
“เวลาเพียงสิบวัน…”
เฟิงฮันเยว่กำหมัดแน่นขณะที่เหลือบตามองไปทางหยางชิงชั่นและหนานกงฟั่น ทั้งสองนั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในช่วงปลายของขั้นแปด และหากไม่มีเหตุไม่คาดฝันใดเกิดขึ้น อีกสองที่ย่อมต้องตกเป็นของทั้งสอง
ในทางกลับกัน เฟิงฮันเยว่ จ้าวเฟิง และจ้าวหยูเฟ่ยนั้นต่างอยู่ในขั้นสุดยอดของขั้นเจ็ด จ้าวเฟิงนั้นเยือกเย็นยิ่งนัก เขามีความมั่นใจอย่างที่สุดว่าเขาจะสามารถได้ที่หนึ่งในนั้น ทว่าเขากังวลเกี่ยวกับจ้าวหยูเฟ่ย ข้างๆ นั้น เด็กสาวกำลังมองอย่างเศร้าสร้อยมายังเขา ซึ่งทำให้เด็กหนุ่มคิดว่านางกำลังยอมแพ้
ด้วยดวงตาซ้ายของเขา เขาประมาณความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายแล้วว่านางไม่มีโอกาสมากนัก
“จ้าวเฟิง! เจ้าจำคำท้าประลองของข้าได้หรือไม่? เราจะจัดการมันในสำนัก แน่นอนว่าหากเจ้าเข้าไปได้…” เป่ยโม่ยมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างหยอกล้อ
ชัดเจนว่าเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถทำได้ดีในสานการณ์เช่นนี้
อย่างแรก พรสวรรค์และพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงนั้นต่ำกว่าหยางชิงชั่นและหนานกงฟั่น อย่างที่สอง มันยังมีปัญหาเรื่องของการที่เขาจะสามารถผ่านการทดสอบได้ด้วยกายครึ่งจิตวิญญาณนั่นได้หรือไม่ ดังนั้นแล้วโอกาสที่เขาจะสามารถได้รับหนึ่งในตำแหน่งนั้นค่อนข้างต่ำ
“มันจะมีวันนั้น” เสียงของจ้าวเฟิงนั้นมั่นใจขณะที่เขาเดินออกไป ทิ้งหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นไว้เบื้องหลัง
“ความมั่นใจของเขามาจากที่ใดกัน? เขามีเล่ห์กลอันใดในการแย่งเอาที่ของเราไป?” หนานกงฟั่นเอ่ยเยาะ
ในทางกลับกัน หยางชิงชั่นกลับมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะที่มองตามแผ่นหลังของจ้าวเฟิงไป
เด็กหนุ่มทั้งหกพลันเริ่มฝึกตนในวินาทีที่พวกเขากลับถึงที่พัก ในเวลาสิบวันที่เหลือ หยางชิงชั่นและหนานกงฟั่นไม่กล้าที่จะมั่นใจจนเกินไป ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงพยายามที่จะทำพื้นฐานให้มั่นคงและเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเขา
ผู้ทีผ่อนคลายที่สุดนั้นคือเป่ยโม่ย เขาไม่มีแรงกดดันใดๆ แม้แต่น้อย มันเกือบจะแน่นอนแล้วว่าเขาจะเข้าไปในสำนัก แต่แม้กระนั้นเขาก็ผ่อนคลายเพียงแค่สองวัน
อย่างไรก็ตาม เจ้าเมืองกว่านจวินได้สอนเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่จ้าวเฟิงและคนอื่นๆ ไม่ได้รับ ดังนั้นแล้ว ในเวลาสิบวันที่เหลือ อัจฉริยะทั้งหกต่างได้ทะลวงขั้นในระดับหนึ่งภายใต้แรงกดดัน
วันที่ห้า
จ้าวเฟิงเข้าสู่ขั้นแปด เขาไม่แม้แต่กระทั่งพยายามมากนักในการเพิ่มพลังฝึกตนของเขา เมื่อเขาเพ่งความสนใจส่วนมากไปยังวิชากำแพงเงิน
วันที่เจ็ด
ทั้งเฟิงฮันเยว่และจ้าวหยูเฟ่ยต่างเข้าสู่ขั้นแปด
เวลาสิบวันผ่านไปในเสี้ยวพริบตา ในเช้าวันที่สิบ เด็กหนุ่มสาวทั้งหกได้กลับไปยังหอจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
เจ้าเมืองกว่านจวินยืนโดยที่มือทั้งสองไพล่หลัง สองข้างขนาบไปด้วยเย่หลินเหลียนและองครักษ์สามที่เหลือแขนเพียงข้างเดียว
เด็กหนุ่มสาวทั้งหกยืนเรียงแถวกันโดยมีเป่ยโม่ยอยู่หน้าสุด เฝ้ารอผู้เป็นอาจารย์
“ไม่เลว”
เจ้าเมืองกว่านจวินกวาดตามองทั้งหกก่อนจะผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ ทั้งหมดต่างเข้าสู่ขั้นแปด โดยที่เป่ยโม่ยนั้นอยู่ที่ขั้นเก้า
อาจกลางได้ว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ใดในทั้งหกต่างก็สามารถครอบครองเมืองเล็กๆ ได้เมืองหนึ่ง
“อาจารย์ ท่านได้ยืนยันตำแหน่งทั้งสามหรือยัง?” เย่หลินเหลียนเอ่ยอย่างคาดหวัง
“ใช่ ข้าได้ตัดสินใจให้ตำแหน่งทั้งสามแก่เป่ยโม่ย หยางชิงชั่น และหนานกงฟั่น” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยอย่างล้ำลึก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเฟิงฮันเยว่ จ้าวเฟิง และจ้าวหยูเฟ่ยต่างก็แปรเปลี่ยนไป ในขณะที่ความสุขปรากฏอยู่บนใบหน้าของหยางชิงชั่นและหนานกงฟั่น
จ้าวเฟิงนั้นค่อนข้างประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าผู้เป็นอาจารย์จะตัดสินใจง่ายดายเพียงนี้ คราแรกเขาคิดว่าพวกเขาจะประลองกันก่อนจะเลือกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดสามคน
“อาจารย์ ท่านจะไม่ให้โอกาสอีกสามคนเลยหรือ?” เย่หลินเหลียนนิ่งอึ้งไป
องครักษ์สาม ผู้ซึ่งสูญเสียแขนไปข้างหนึ่งก็ได้เลิกคิ้วของเขาขึ้น มันไม่ใช่สิ่งที่อาจารย์ของเขามักจะกระทำ เจ้าเมืองกว่านจวินแย้มยิ้มบาง ทว่าสีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปในทันทีที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูด
“ผู้ใด!?” เจ้าเมืองกว่านจวินตวาดลั่น เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถง
ในเวลาเดียวกัน สายตาของเขาก็ไปหยุดยังสวนใกล้ๆ หอจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
“ฮี่ฮี่ฮี่… ท่านลุงเซว่ ไม่เจอกันนาน!”
เสียงหัวเราะปรากฏขึ้นจากในสวน
ฟุ่บ!
ชายหนุ่มในชุดมีแถบคาดสีดำปรากฏตัวขึ้นในสวนราวกับมังกรบิน ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาผู้นี้อายุราวๆ 27-28 ปีและมีกลิ่นอายแปลกประหลาด เขานั้นมั่นใจอย่างมากขณะที่มองตรงไปยังเจ้าเมืองกว่านจวินและเป่ยโม่ย
เมื่อสายตาของพวกเขาสบกัน ร่างของเจ้าเมืองกว่านจวินก็สั่นสะท้านราวกับกำลังหวาดระแวงบางอย่าง
“ชุดของเขา…”
จ้าวเฟิงจ้องไปยังชุดของชายหนุ่ม มันเป็นชุดที่มีแถบคาดสีดำอันคุ้นตา ไม่ช้าภาพของเด็กหนุ่มสาวทั้งสามในหุบเขาก็ปรากฏขึ้น
ชุดของชายหนุ่มผู้นี้เป็นชุดเดียวกับทั้งสามในวันนั้น
“ผู้ใดกล้าที่จะรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่สำคัญของตำหนักกว่านจวิน?” เย่หลินเหลียนตวาดขณะที่พลังภายในพลุ่งพล่านขึ้น
ชิ้ง! ชิ้ง!
ในเวลาเดียวกัน กองกำลังกว่านจวินอีกสามคนก็ได้ปรากฏตัวขึ้น รวมทั้งองครักษ์สามที่พุ่งไปยังร่างของชายหนุ่มลึกลับ
“หยุด!”
น้ำเสียงเร่งรีบของเจ้าเมือกว่านจวินดังขึ้นในหูของเย่หลินเหลียนและคนอื่นๆ องครักษ์สามที่กำลังจะเคลื่อนไหวพลันหยุดลง ทว่ากองกำลังกว่านจวินอีกสองคนนั้นไม่อาจหยุดได้ทันเวลาเมื่อการโจมตีของพวกเขาไปถึงยังร่างของบุรุษลึกลับผู้นั้นแล้ว
ฉึก! ฉึก!
ประกายแสงเย็นเยียบในลักษณะของจันทร์เสี้ยวตัดผ่านร่างของทั้งสอง
ซู่!
โลหิตสีแดงฉานพุ่งออกจากร่างของทั้งสองที่เกือบจะเข้าสู่ขั้นเก้า ในเวลาเสี้ยวพริบตา กองกำลังกว่านจวินทั้งสองก็สิ้นชีพไป
เย่หลินเหลียน เป่ยโม่ย และคนอื่นๆ ไม่แม้แต่จะเห็นการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย และเป็นเพราะจ้าวเฟิงเปิดดวงตาของเขาไม่ทันเวลา เขาจึงเห็นเพียงภาพเลือนรางเท่านั้น
“องครักษ์สิบสาม! องครักษ์สิบสี่!” องครักษ์สามแขนเดียวจ้องมองไปยังศพทั้งสอง
ผู้คนที่อยู่ที่นั่นต่างสูดลมหายใจเย็นเยียบขณะที่จับจ้องไปยังชายหนุ่มลึกลับ
“ถอยไป!” เจ้าเมืองกว่านจวินตวาดขณะที่ส่งสัญญาณให้พวกเขาถอยหลัง
เป่ยโม่ยและคนอื่นๆ ต่างขยับออกจากพื้นที่โดยไร้ซึ่งความลังเล ทิ้งไว้เพียงร่างของเจ้าเมืองกว่านจวินและชายหนุ่มลึกลับ ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจขณะที่มองไปยังชายหนุ่มผู้หล่อเหลา
เขาคือผู้ใด? เหตุใดอาจารย์จึงหวาดระแวงเขานัก?
ความสงสัยปรากฏขึ้นในหัวใจของเด็กหนุ่มสาวทั้งหก มีเพียงจ้าวเฟิงที่เข้าใจในระดับหนึ่ง
“หลานกวานเฉิน นี่หมายความว่าอย่างไร?” เจ้าเมืองกว่านจวินจ้องไปยังชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างโกรธเคือง
“ข้ามาที่นี่เพื่อทักทายท่านลุงเซว่ยันและทดสอบอัจฉริยะที่ท่านรับไปไว้ใต้ปีกของท่าน” กวานเฉินเอ่ยอย่างสบายๆ
ตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งบัดนี้ เขามีท่าทางสบายอารมณ์
ท่านลุงเซว่ยัน?
จ้าวเฟิงรับรู้ชื่อจริงของเจ้าเมืองกว่านจวินในที่สุด
“ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของเขา! ข้าเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องของโลกมนุษย์ เมื่อใดกันที่อาจารย์ของเจ้ามีสิทธิที่จะยุ่งเกี่ยวเรื่องของข้า?” เจ้าเมืองกว่านจวินหัวเราะ
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าอาจารย์เบื้องหลังของกวานเฉินและเจ้าเมืองกว่านจวินดูจะไม่ได้มีสัมพันธ์อันดีต่อกัน
“ฮะฮะฮะ ท่านอาจารย์ได้เข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงตั้งแต่ครึ่งปีก่อนและกลายเป็นผู้อาวุโสเพียงคนเดียวที่ถูกเลื่อนขั้นในระยะเวลาสิบปี ข้ามาด้วยคำสั่งของเขาให้ตรวจตราสถานที่แห่งนี้ มันมีปัญหาอันใดหรือไม่?” กวานเฉินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง!
หัวใจของเจ้าเมืองกว่านจวินกระตุก
“เขาเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเร็วเพียงนี้ได้อย่างไร!?”
ในตอนนี้ เจ้าเมืองกว่านจวินไม่มีสิ่งใดที่สามารถเอ่ยได้อีกเมื่อเขาไม่อาจยอมรับความจริงได้
“เจ้านามเป่ยโม่ยใช่หรือไม่?” กวานเฉินหันไปทางเป่ยโม่ยอย่างสนใจ
ฟุ่บ!
เป่ยโม่ยรู้สึกเพียงแค่ลมกรรโชก และก่อนที่เขาจะได้ทำสิ่งใด มือข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่หัวไหล่ของเขา
“ปล่อยข้า…” ใบหน้าของเป่ยโม่ยแดงก่ำขณะที่เขาพยายามจะดิ้นรน ทว่าเขากลับพบว่าพลังภายในของเขาถูกผนึก
“หยุด!”
เจ้าเมืองกว่านจวินพลันลอยมา แสงสีเงินเฉียบคมปรากฏขึ้นบนแขนทั้งสองข้างของเขา
ฟิ้ววว!
พลังเต็มที่ของวิชาเซียนพุ่งตรงไปยังกวานเฉิน ชายหนุ่มแย้มยิ้มก่อนจะปล่อยเด็กหนุ่มในมือขณะที่สัญลักษณ์ดวงจันทร์เย็นเยียบปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา ปะทะเข้ากับการโจมตีของเจ้าเมืองกว่านจวิน
ตูมมมมม
พลังงานที่เหลือได้กวาดเอาทุกสิ่งใกล้ๆ กระเด็นลอยและทำลายสิ่งก่อสร้างในเสี้ยววินาที หลุมลึกปรากฏขึ้นบริเวณที่ทั้งสองปะทะกัน
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ร่างทั้งสองบินขึ้นไปบนอากาศก่อนจะปะทะกันด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้า
เปรี้ยง! ตูม! ป้าบ!
เหล่าผู้ฝึกตนใกล้ๆ รู้สึกได้เพียงว่าร่างทั้งสองได้ปรากฏตัวในที่แตกต่างกันใจกลางอากาศ และทุกที่ที่พวกเขาไปจะปรากฏเสียงดังขึ้น
“นี่เป็นการต่อสู้ของผู้ฝึกตนแห่งเซียนเช่นนั้นหรือ…?”
ด้วยดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง เขาสามารถเห็นทุกๆ กระบวนท่าและการเคลื่อนไหวของทั้งสองและเขาได้ขยับเคลื่อนไหวไปมาเพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะไม่ถูกลูกหลงจากพลังงานที่หลงเหลือ
เปรี้ยง!
ในเวลานั้นเอง เสียงกระแทกที่ดังอย่างยิ่งก็ปรากฏขึ้นขณะที่ร่างทั้งสองกลับลงมาบนพื้น
“ท่านลุง พลังฝึกตนของท่านดูจะไม่พัฒนาในระยะเวลาสองปีที่เราไม่ได้พบกัน”
กวานเฉินกระโดดลงบนพื้นโดยที่สองมือไพล่หลัง เผยรอยยิ้มพราว
“เจ้า…” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยโลหิตที่ไหลย้อยที่มุมปาก