ตอนที่ 126 ผมคือปรมาจารย์
“แค่ก แค่ก..”
สีหน้าของผู้จัดการเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขาหัวเราะลั่นและตอบทันควัน “ผู้อาวุโส ท่านกำลังพูดเรื่องอะไร? นี่คือคฤหาสน์แบบอู๋จิงบนทำเลทองนะ หนึ่งแสนห้าหมื่นต่อเดือนน่ะไม่แพงเลย…”
“ไม่แพงอย่างนั้นรึ?”
จางเซวียนกระดกมุมปาก “เจ้าของคฤหาสน์น่ะชื่อตู้เฉียว เป็นพ่อค้า และก็ยังไม่ตาย หลังจากที่ต้องเผชิญกับมรสุมทางธุรกิจ เขาก็ตัดสินใจขายคฤหาสน์หลังนี้ แต่ด้วยเหตุที่หาคนมาซื้อไม่ได้ เลยปล่อยให้เช่าแทน ค่าเช่าที่เธอตกลงกับเขาไว้คือเดือนละห้าหมื่น และเธอจะได้ค่าแนะนำสิบห้าเปอร์เซ็นต์ แต่นี่มาขูดฉันถึงแสนห้าหมื่น ไม่โลภมากไปหน่อยรึ?”
“ผู้อาวุโส ท่าน…ท่าน…” ผู้จัดการถอยกรูด
เอาจริงๆสิ?
สัญญาที่เขาทำกับตู้เฉียวนั้นเป็นอย่างที่จางเซวียนพูด คือเดือนละห้าหมื่น แต่…แต่นั่นควรจะเป็นความลับ เพราะตอนเซ็นสัญญาก็ไม่มีคนนอกรับรู้ แล้วชายผู้นี้รู้ได้อย่างไร?
“ทำไม จะปฏิเสธรึ?” จางเซวียนจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง “เธอเซ็นสัญญากันเมื่อสามเดือนที่แล้วที่ภัตตาคารมรกต และคนที่อยู่ข้างเธอในวันนั้นน่ะคือ ชุยหลิง สาวบริการคนดัง ส่วนไวน์ที่เธอสองคนดื่มวันนั้นคือ ‘คลื่นซัดสาด’ ที่บ่มมาแล้วแปดปี อาหารคือเนื้อกระต่ายทับทิม เธอยังให้หมิงซินเยว่บรรเลงเพลงให้ฟังด้วย และหลังทำข้อตกลงลุล่วงแล้ว เธอทั้งคู่ก็พาผู้หญิงสามคนเข้าไป…ต้องให้ฉันรำลึกทีละเหตุการณ์ไหม?”
“เฮ้ย…” ความกลัวเข้าครอบงำผู้จัดการ เขามองจางเซวียนเหมือนเห็นผี
สิ่งที่อีกฝ่ายพูดช่างตรงเผงราวกับตัวเขาอยู่ที่นั่นด้วย
มันหลอนเกินไปแล้ว!
“ท่าน…ท่านเป็นใคร?” ผู้จัดการตัวสั่นด้วยความกลัว
เขารู้สึกเหมือนถูกจับแก้ผ้าต่อหน้าชายผู้นี้ ช่างอับอายขายหน้านัก
“ฉันก็เป็นแค่คนที่อยากจะเช่าบ้าน แต่ไม่อยากถูกเอาเปรียบ” จางเซวียนตอบอย่างเยือกเย็น
“ผมค้ากำไรเกินควร คฤหาสน์หลังนี้เป็นอย่างที่ท่านพูด ค่าเช่าห้าหมื่นเหรียญต่อเดือน” ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ละเอียดขนาดนี้ เขาก็สะพรึงเกินกว่าจะกล้าตุกติกอะไรอีก
“อือ!” จางเซวียนยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมสารภาพ เขาหยิบเงินปึกหนึ่งออกมาด้วยท่วงท่าสบายๆ “นี่หนึ่งแสน ฉันจะขอเช่าที่นี่เป็นเวลาหนึ่งเดือน ส่วนที่เกินนั้นน่ะ หาคนรับใช้ให้ด้วย แล้วก็…ระหว่างที่ฉันอยู่ที่นี่ เธอจะต้องมาเป็นพ่อบ้านให้ฉัน จะห้าหมื่นหรือหนึ่งแสนก็ไม่ใช่ประเด็น ถ้างานดี ฉันจะให้ค่าตอบแทนมากเท่าที่เธอต้องการ แน่นอนว่าเธอจะทำเงินได้มากกว่าบริหารสำนักงานนายหน้านั่น”
ในฐานะปรมาจารย์ จะมาปัดกวาดเช็ดถูคฤหาสน์หรือทำอะไรๆด้วยตัวเองก็คงไม่สวย เขาจำเป็นจะต้องมีคนรับใช้และแม่บ้านเพื่อการนี้ ส่วนเหตุผลที่อยากได้เจ้าผู้จัดการมาเป็นพ่อบ้านนั้นง่ายมาก
เพราะหมอนี่เก่งเรื่องต้มตุ๋นหลอกลวง!
การโก่งราคาค่าเช่าขึ้นสามเท่าก็บ่งบอกแล้วว่าละโมบโลภมากขนาดไหน
เหตุที่เขาปลอมตัวเป็นปรมาจารย์ก็เพื่อจะหาเงินให้ได้เร็วๆ เขาจึงต้องการทักษะชนิดนี้เป็นอย่างยิ่ง
“ผมจะได้มากเท่าที่ผมต้องการอย่างนั้นเหรอ?” ผู้จัดการหายใจถี่
สำนักงานนายหน้าทำเงินให้เขาเพียงปีละสองหมื่นเหรียญ ไม่บ่อยนักที่จะมีคนมาเช่าคฤหาสน์อย่างนี้ ซึ่งถ้าอีกฝ่ายไม่ตกหลุมพรางของเขา เขาก็จะไม่ได้อะไรเลย
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาจึงตื่นเต้นนักเมื่อเห็นเงินหนึ่งแสนและได้ฟังข้อเสนอของอีกฝ่าย
บ้าแล้ว! เรารู้ว่าเขาคือหมูตัวใหญ่ แต่ไม่คิดเลยว่าจะใหญ่บึ้มขนาดนี้!
“ทำไม? เธอไม่เต็มใจรึ?”
“ไม่…ไม่ ผมเต็มใจ” ผู้จัดการรีบคว้าเงินในมือจางเซวียนไป การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วกว่าตอนหลบเลี่ยงการโจมตีของจางเซวียนก่อนหน้านี้เสียอีก
จะไม่เต็มใจได้อย่างไรในเมื่อโอกาสงามลอยลงมาอยู่ตรงหน้าแล้ว
“ดี! ฉันจะอยู่ในเทียนเซวียนแค่ระยะหนึ่งเท่านั้น ถ้าเธอดูแลฉันดีล่ะก็ มั่นใจได้เลยว่าเธอจะได้รับค่าตอบแทนสูงเป็นสิบเท่าของเงินเดือน ในเวลาหนึ่งเดือนนี่แหละ ส่วนที่ว่าเธอต้องทำอะไรบ้างนั้น…ฉันคิดว่าเธอน่าจะรู้ดีกว่าทุกคน” คำตอบของอีกฝ่ายไม่ทำให้เขาผิดหวัง จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ
“วางใจได้เลย ผู้อาวุโส ผมจะรับใช้ท่านเต็มที่อย่างแน่นอน” ผู้จัดการร่างตุ้ยนุ้ยพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นเมื่อได้ยินคำมั่นของจางเซวียน
“ดี” จางเซวียนตอบ
การใช้ทั้งพระเดชพระคุณมีความจำเป็นมากต่อการมัดใจคนให้จงรักภักดี ในตอนแรก เขาเปิดโปงความลับของอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้ฝ่ายนั้นกลัวจับขั้วหัวใจ จากนั้นก็ยื่นข้อเสนอเป็นผลประโยชน์ก้อนใหญ่ ก็คงประหลาดสิ้นดีถ้าหากฝ่ายนั้นจะไม่เต็มใจศิโรราบต่อเขา
“เธอชื่ออะไร?”
“คนรับใช้ผู้เจียมตัวของท่านชื่อซุนฉาง” ผู้จัดการละล่ำละลัก
“เรียกผมว่าเสี่ยวฉางก็ได้”
“เสี่ยวฉาง?” จางเซวียนมีสีหน้าพิลึกพิลั่น
“ใช่” ซุนฉางคำนับ
จางเซวียนกล่าวต่อ “เอาล่ะเสี่ยวฉาง อย่างแรก ฉันต้องการให้เธอหาแม่บ้านและคนรับใช้มาที่คฤหาสน์คืนนี้ และเมื่อฉันมาถึงในวันพรุ่งนี้ ฉันต้องการเห็นทุกอย่างเรียบร้อยหมดจด อย่างที่สอง ด้วยเครือข่ายของเธอน่ะ ฉันต้องการให้เธอกระจายข่าวที่ฉันมาพักที่นี่ออกไป บอกใครต่อใครไปว่าปรมาจารย์หยางชวนบังเอิญผ่านมา และจะพักอยู่ที่นี่ไม่นาน ยิ่งผู้คนรู้กันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
ก็เป็นธรรมดาที่จางเซวียนจะไม่ใช้ชื่อจริง หยางชวนเป็นชื่อที่เขาใช้ในเว็บไซต์ตั้งแต่สมัยอยู่โลกเก่า ครั้งนี้เขาจึงเลือกใช้มัน
“ปรมาจารย์เหรอ?” ซุนฉางชะงักและเงยหน้ามองจางเซวียนอย่างฉงน
“ใช่ ฉันคือปรมาจารย์ ฉันมาที่นี่เพื่อมองหาบางสิ่งบางอย่าง เพราะฉะนั้น มันจะเป็นการดีที่สุดถ้าเธอสามารถเผยแพร่ข่าวให้สะพัดออกไปที่สุดเท่าที่จะทำได้”
จางเซวียนพูดต่อ “ส่วนเงินหนึ่งแสนที่ฉันมอบให้เธอนั้น หลังจากจ้างคนรับใช้แล้วก็คงจะยังพอมีเหลือ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเถอะ แล้วฉันจะตบรางวัลอย่างงาม ฉันรู้นะว่าวรยุทธของเธอติดอยู่ที่ขั้นเจิ้นซี่-สูงสุด มาเกินสิบปีแล้ว เป็นเรื่องกล้วยๆสำหรับฉันที่จะช่วยเธอฝ่าด่านนี้ไปให้ได้ในช่วงเวลาที่ฉันอยู่ที่เทียนเซวียน”
“ขอบคุณมาก ท่านผู้อาวุโส” ซุนฉางรีบคุกเข่าลงกับพื้น
มันจริงอย่างที่อีกฝ่ายหนึ่งพูด เขาติดแหงกอยู่ที่ขั้นเจิ้นซี่-สูงสุด มากว่าสิบปีแล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ข้ามไปไม่ได้ แต่ถ้าเขาได้รับคำชี้แนะจากปรมาจารย์ ความฝันที่จะได้เป็นนักรบขั้น 4 ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม
เขาค่อยๆเงยหน้าเพื่อลอบมอง ผู้อาวุโสที่เขาเพิ่งได้พบยืนสองมือไพล่หลัง ชมพระอาทิตย์ตก แสงสีเหลืองอ่อนที่สาดกระทบร่างทำให้เขาดูเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตอมตะที่มาจากโลกอื่น
ความชื่นชมที่เขามีต่อผู้อาวุโสท่านนี้พลุ่งขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจของเขาอย่างฉับพลัน
ณ วินาทีนั้น เขาเชื่อหมดใจว่าชายผู้นี้เป็นปรมาจารย์ ก็ถ้าเขาไม่ได้เป็นปรมาจารย์ จะล่วงรู้ความลับเรื่องการทำสัญญาได้อย่างไร? ถ้าเขาไม่ได้เป็นปรมาจารย์ จะมั่งคั่งและใจกว้างเยี่ยงนี้ได้อย่างไร…
แต่สิ่งที่ทำให้เขาเชื่อหมดใจก็คืออุปนิสัยและกิริยาของชายผู้นั้น มันมีความสง่างามโดยธรรมชาติอยู่ในทุกอิริยาบถ อันที่จริง ถ้าใครสักคนมาบอกว่าบุคคลตรงหน้าเขาไม่ใช่ปรมาจารย์ เขาก็จะคิดว่าคนนั้นโกหก
“ผู้อาวุโส เชิญพักผ่อนเถิด ผมจะจัดการทุกเรื่องให้เรียบร้อย” ซุนฉางเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
ปรมาจารย์ นี่คือกลุ่มคนที่สูงส่งที่สุดในโลกนี้ แม้แต่จักรพรรดิของอาณาจักรเทียนเซวียน ฮ่องเต้เซินจุย ก็ยังทรงแสดงออกต่อพวกเขาอย่างสุภาพและให้ความเคารพ สำหรับสามัญชนอย่างเขาที่มีโอกาสได้รับใช้ผู้สูงส่งเช่นนี้ ดูราวกับฟ้าประทานพรให้เลยทีเดียว
“ไปได้” จางเซวียนอนุญาตให้เขาออกไป ซุนฉางจากไปอย่างกระตือรือร้น
เขายืดเส้นยืดสายและถอนหายใจ “ไม่นึกเลยว่าการวางท่าให้เหมือนผู้ทรงภูมิจะต้องเหนื่อยขนาดนี้…”