Skip to content

Library Of Heaven’s Path 14

ตอนที่ 14 ปรับปรุงเคล็ดวิชา

ไม่ง่ายเลยสำหรับจางเซวียนที่จะจัดการกับเด็กอ้วนเมื่อครู่ ตอนนี้ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกแล้ว นั่นหมายความว่าพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า

เขาส่ายหัว… วันนี้เป็นวันสุดท้ายในการรับสมัครศิษย์ ซึ่งก็น่าจะสรุปยอดนักเรียนได้ เดิมทีตัวเขาเองไม่คิดว่าจะได้ศิษย์เลยแม้แต่คนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้เขาหาได้ถึง 5 คน ก็ไม่เลวนะสำหรับอาจารย์ที่ประวัติไม่ดีอย่างเขา เขาลงกลอนประตูห้องเรียนและเดินกลับไปห้องพักของตน

ในฐานะที่เป็นอาจารย์ประจำ เขามีห้องพักส่วนตัว แต่มันเป็นเพียงห้องเล็กๆมีขนาดเพียงแค่ 12 ตารางเมตรเท่านั้น ไม่นานก็มาถึงที่พัก พอเปิดประตูและมองไปข้างในจางเซวียนก็ได้แต่ถอนหายใจ ตัวเขาก่อนหน้านี้มีชีวิตที่น่าอดสูจริงๆ ห้องพักคับแคบก็ย่ำแย่พอทนแล้วยังจะมีราขึ้นบนที่นอนอีก ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างคนก่อนนอนลงไปได้อย่างไร

“ช่างมัน ลืมมันไปก่อน คลาสใหม่กำลังจะเริ่มต้นพรุ่งนี้ อันดับแรก เราต้องตรวจดูให้รู้แน่ก่อนว่าฝีมือของตัวเองอยู่ในระดับไหน” เขาลืมความหิวไปโดยปริยาย จางเซวียนนั่งขัดสมาธิบนเตียงและพยายามดึงความทรงจำเดิมๆของร่างนี้กลับคืนมา

ถ้าอยากเป็นคนเหนือคน ถึงแม้ว่าจะได้รับการถ่ายทอดความทรงจำของคนเดิมมาแล้วแต่ก็ต้องพยายามฝึกฝนทบทวนอยู่เสมอ เขารู้สึกตื่นเต้นกับพัฒนาการของตัวเองที่กำลังจะเพิ่มมากขึ้น

หลังการรับสมัครเสร็จสิ้น ถือเป็นช่วงเวลาที่เขาควรจะเตรียมพร้อมตัวเองบ้าง เพราะโลกใบนี้ก็ย่อมต้องการคนที่แข็งแกร่งที่สุด หอสมุดเทียบฟ้าที่เขามีสามารถล่วงรู้จุดเป็นจุดตายและข้อบกพร่องของผู้อื่นได้เป็นอย่างดี ทำให้เขาง่ายต่อการจัดการคู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน

อย่างไรก็ตามแต่ถ้าเขาเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่า และถ้าเขาไม่สามารถที่จะระบุจุดอ่อนเพื่อโจมตีอีกฝ่ายได้ เขาก็ต้องเพลี่ยงพล้ำเข้าสักวัน ถ้าเป็นอย่างนั้นอาจต้องเจ็บหนักเพราะโดนฉีกเนื้อเถือหนังก็เป็นได้

ดังนั้นแม้ว่าหอสมุดเทียบฟ้าจะทรงพลังแค่ไหน เขาก็จะไม่ชะล่าใจกับมัน ถ้าเขาต้องการจะแข็งแกร่งก็ต้องหมั่นฝึกฝนด้วยตนเองเท่านั้น “วิชาเดิมเจ้าของร่างนี้ฝึกฝนก็คือ ‘วิชาหงเทียนเก้าขั้น’ เป็นเคล็ดวิชาที่ผู้ก่อตั้งโรงเรียนหงเทียนคิดค้นขึ้น มีทั้งหมดเก้าขั้นตามชื่อ แต่ละขั้นจะสอดคล้องกันกับความแข็งแกร่งของผู้ฝึก” เขาพยายามนึกถึงเคล็ดวิชาต่างๆที่พอจะจำได้ในหัว

ผู้ฝึกจะตนแบ่งเป็นเก้าระดับ และการเลื่อนระดับชั้นสูงขึ้นวิชาที่ฝึกก็จะยากมากขึ้นเป็นเงาตามตัว หงเทียนเก้าขั้นเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาที่คนนิยมฝึกมากที่สุดในโรงเรียนหงเทียนแห่งนี้ “ตอนนี้ ฉันเป็นอาจารย์ที่อยู่ขั้นต่ำที่สุด”

ในโรงเรียนแห่งนี้ อาจารย์เกือบทุกคนจะเป็นนักรบขั้น 4 มีเพียงเขาคนเดียวที่อยู่ในขั้น 3 ดังนั้นเขาต้องฝึกฝนอย่างหนักหากต้องการจะไล่ตามคนอื่นๆให้ทัน จางเซวียนเรียนรู้วิธีการหายใจจากความทรงจำเก่าๆ มุ่งเน้นไปที่สมาธิ ทันใดนั้นจุดชีพจรจำนวนมากก็ส่องสว่างขึ้นมาตรงหน้า เขาค่อยๆหายใจเข้าและออกช้าๆเพื่อที่จะซึมซับมัน ขุมพลังเล็กๆเหล่านั้นค่อยๆก่อตัวขึ้นมาในจุดตันเถียนของเขา ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน จางเซวียนเปิดตาแล้วส่ายหัว “วิธีนี้น่าจะช้าเกินไป”

เขาได้รับการถ่ายทอดความทรงจำมาจากคนก่อนก็จริง แต่สติและสมาธิยังคงเป็นของคนในโลกปัจจุบัน เขาค้นพบว่ามันเป็นเรื่องที่ยากที่จะนั่งลงและฝึกจิตเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ลองรวบรวมพลังปราณภายในร่าง เขายิ่งรู้สึกท้อเข้าไปใหญ่

การรวบรวมพลังปราณนั้นหมายถึงการดึงและกักเก็บสะเก็ดพลังที่มีอยู่ในอากาศ ใช้ความดันรวมกลุ่มพวกมันให้เป็นเสมือนน้ำสายหนึ่งแล้วดูดซึมเข้ามาในร่าง นี่นับเป็นงานยักษ์เชียวล่ะ…

ผู้ฝึกบางคน แม้จะพยายามทำเช่นนี้ทุกวันอย่างสม่ำเสมอ แต่ก็ต้องใช้เวลาถึงสามปีกว่าจะเติมเต็มขุมพลังในร่างได้หมดและมีโอกาสก้าวสู่ขั้นต่อไป

สะสมไปเรื่อยๆทีละเล็กละน้อย คล้ายกับการเกิดหินงอกหินย้อยเลยทีเดียว

ต้องทำเช่นนี้แบบนี้หลายปีเลยงั้นหรือ?

ฆ่าฉันเถอะ

“เออ จริงสิ วิชาหงเทียนเก้าขั้น แม้จะนิยมฝึกกันมากที่สุด แต่มันก็ไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด ฉันสามารถใช้หอสมุดเทียบฟ้าค้นหาข้อบกพร่องของตัวเองและในขณะเดียวกันก็หาจุดบกพร่องของวิชาเหล่านั้นไปด้วย เมื่อฉันแก้ไขข้อบกพร่องทั้งตัวเองและในส่วนของวิชาได้ ก็น่าจะฝึกได้ง่ายขึ้นสินะ?” ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจ

ในแต่ละวิชาก็จะมีระดับที่แตกต่างกันออกไป วิชาที่พัฒนาจนข้อบกพร่องน้อย จะมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ย่อมจะทำให้ผู้ฝึกพัฒนาตนไปได้ไวกว่า ส่วนวิชาที่มีจุดบกพร่องเยอะ ผู้ฝึกก็จะก้าวหน้าไปได้ช้า และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างคนสองคน

คนอื่นๆอาจจะไม่สามารถปรับปรุงวิทยายุทธได้ แต่สำหรับจางซวียนนั้นไม่ใช่ เพราะด้วยความสามารถของหอสมุดเทียบฟ้าในหัว เขาสามารถพัฒนาวิทยายุทธแต่ละชนิดได้ง่ายมาก เพียงแค่หาข้อบกพร่องของมันและคิดหาวิธีแก้ไข และถ้าเขาสร้างเคล็ดวิชาที่แม้แต่หอสมุดเทียบฟ้ายังไม่สามารถหาข้อบกพร่องได้ การฝึกของเขาก็จะยิ่งทวีความแข็งแกร่งได้อีกเป็นเท่าตัว

พอคิดได้เช่นนี้ จางเซวียนก็ดีดตัวขึ้น วางตำราหงเทียนเก้าขั้นบนฝ่ามือแล้วเริ่มที่จะพลิกอ่าน

ซูม !!

เป็นไปอย่างที่เขาคาดไว้ หอสมุดในหัวมีหนังสือชื่อเดียวกันปรากฏขึ้น พอเริ่มที่จะเปิดอ่านอย่างช้าๆ เขาก็พบว่ามีจุดอ่อนนับไม่ถ้วนในตำราหงเทียนเก้าขั้น ข้อบกพร่องที่ว่ามีมากกว่าพันข้อ

“นี่เป็นวิชาที่ฉันฝึกฝนก่อนหน้านี้งั้นหรือ?” จางเซวียนตกใจ แค่วิชาของนักรบขั้น 3 ยังมีข้อบกพร่องมากมายขนาดนี้ ไม่เกินไปหน่อยรึ? จางเซวียนคนเดิมเปรียบเสมือนคนกินผักที่เต็มไปด้วยหนอน ถ้ากินเข้าไปอย่าคิดว่าจะได้ประโยชน์ ไม่ตายก็ดีถมไปแล้ว “แล้ววิชาอื่นๆล่ะ… เป็นอย่างไร”

ในฐานะอาจารย์ผู้สอน เขากลับมีหนังสืออยู่เพียงไม่กี่เล่มในห้องพัก มี ‘วิชาลับสี่มหาเทพ’ มี ‘เคล็ดวิชาลมปราณสวรรค์’ มี ‘วิชาดอกบัวตัดชีพจร’ ขณะที่เขาพลิกอ่านพวกมัน ข้อมูลเหล่านี้ก็ถูดดูดเข้าไปยังหอสมุดของเขาโดยอัตโนมัติ ครอบคลุมไปยังข้อบกพร่องทุกอย่างของเคล็ดวิชา ซึ่งก็มีปรากฎอยู่ในนั้นอยู่เกือบ 3000 ข้อ

“ถ้าเราต้องหาทางแก้ไขข้อบกพร่องของพวกมันทั้งหมดทุกๆเล่ม เราจะไม่เหนื่อยตายไปก่อนหรือ?” หลังจากพลิกหนังสือไปมา จางเซวียนก็เริ่มที่จะท้อเสียแล้ว

เป็นเรื่องยากที่จะหาหนทางฝึกฝนที่ถูกต้องที่สุด ในเมื่อมันมีข้อบกพร่องอยู่มากกว่าหนึ่งพันข้อ เปรียบเสมือนว่ามีหนึ่งพันวิธีที่แตกต่างกันออกไป และก็มีความเป็นไปได้อีกนับไม่ถ้วนที่จะเกิดความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีกจากความแตกต่างเหล่านั้น

โอเค… หอสมุดเทียบฟ้ามีความสามารถในการตรวจสอบว่าเป็นเส้นฝึกแบบใดที่ถูก หรืออย่างไหนที่ผิด แต่การค้นหาเส้นทางที่ถูกต้องด้วยวิธีนี้ก็ยังทำให้เขาเหนื่อยตายอยู่ดี

“ตอนนี้การฝึกของฉันอยู่ในขั้น 3 ระดับสูงสุด อีกนิดเดียวก็สามารถก้าวข้ามไปได้ เพียงแค่หาจุดบกพร่องของวิชาที่ฝึกออกมา แล้วแก้ไขมันเล็กน้อยก็พอแล้ว”

เมื่อเห็นความผิดพลาดนานัปการในตำราหงเทียนเก้าขั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะแก้ไขมันในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นเขาจึงพลิกไปยังหน้าสุดท้ายแทน… เป็นเรื่องยากที่นักรบขั้น 3 ระดับสูงสุดจะก้าวข้ามไปสู่ระดับสี่ แต่ถ้าข้ามไปได้แล้วการฝึกที่เหลือก็จะง่ายขึ้น

เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ มีข้อบกพร่องเพียงแค่สิบข้อในหน้านี้ “วิธีตรวจจับสะเก็ดพลังในอากาศ…ผิด วิธีควบคุมการไหลเวียนของลมปราณ…ผิด วิธีรวบรวมลมปราณและนำส่งไปยังจุดชีพจร…ผิด…” ข้อบกพร่องทั้งสิบถูกอธิบายออกมาอย่างละเอียดชัดเจนทีเดียว

หอสมุดเทียบฟ้าบันทึกแต่ข้อบกพร่อง แต่ไม่ได้บอกวิธีการแก้ไข และมันไม่ใช่เรื่องง่ายในการค้นหาวิธีที่ถูกต้องเพื่อแก้ไข “จริงสิ ในวิชาเมื่อครู่ก็แสดงวิธีการก้าวข้ามจากกำลังภายในขั้นสาม–ระดับสูง ไปยังขั้นสี่เหมือนกัน แต่ก็มีจุดบกพร่องที่รู้สึกว่าจะไม่เหมือนกันด้วย” ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว เหมือนเขาจะจำได้ว่ามันถูกเขียนไว้ในคู่มือลับของเล่มอื่นๆ แม้ว่าเคล็ดวิชาอื่นๆจะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่มันก็บกพร่องในมุมมองที่ต่างออกไป

“ถ้าไม่ได้บันทึกว่าผิดพลาด งั้นก็แปลว่าถูกต้องสินะ..” จางเซวียนตาสว่างขึ้นมาทันที เขาหยิบกระดาษและปากกา เริ่มจดบันทึกเฉพาะในส่วนที่ถูกต้องของแต่ละเล่มออกมาจนหมด เพียงแค่แวบเดียว กระบวนการการฝึกแผนใหม่ก็ปรากฎสู่สายตาของเขา

“ไหนดูซิว่ามีข้อบกพร่องเท่าไหร่” ด้วยรอยยิ้มจางๆ เขาคว้าหนังสือที่เพิ่งเขียนมาวางไว้กลางฝ่ามือ หนังสือเล่มที่คล้ายกันได้ปรากฎขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า มีข้อผิดพลาดเพียงข้อเดียวเท่านั้น

หลังจากที่ค้นคว้าอีกสักพักใหญ่ เขาก็ได้แก้ข้อผิดพลาดข้อสุดท้ายและใช้หอสมุดเทียบฟ้าเพื่อยืนยันความถูกต้องอีกครั้ง ในที่สุด ข้อผิดพลาดทุกข้อก็ได้รับการแก้ไขให้อยู่ในรูปแบบที่สมบูรณ์ที่สุด “นี่เป็นวิธีการที่เจ๋งที่สุดในการก้าวเข้าสู่กำลังภายในขั้นสี่ ไหนขอลองดูหน่อย” จ้องไปในเนื้อหาที่เขาเขียนด้วยตัวเอง จางเซวียนพยักหน้าอย่างตื่นเต้น ไม่รอช้ารีบฝึกทันที

“ผ่อนคลายร่างกายและเปิดรูขุมขน ทำเหมือนว่าเราได้จมไปในแอ่งขุมพลังกลางอากาศ ทุกรูขุมขนของเรามีชีวิตเป็นตัวของตัวเอง หายใจด้วยตัวเอง …..”

ซูมมมมมมมม

ปฏิบัติตามวิธีนี้เริ่มแรกยังไม่ค่อยชินนัก แต่ไม่นานก็ได้รู้สึกว่าสะเก็ดพลังรอบตัวถล่มลงมาอย่างหนักหน่วง ช่องว่างบนผิวหนังแต่ละเซลส์ดูดซึมพลังจากอากาศเข้ามาในร่าง แม้จะไม่มากนัก แต่เนื่องจากรูขุมขนบนผิวหนังมีเป็นแสนเป็นล้าน ถ้าแต่ละเซลส์ช่วยกันดูดซับพลังพร้อมๆกัน ปราณในร่างก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

การรวบรวมสะเก็ดพลังกลางอากาศก็เหมือนการรวมสายน้ำให้เข้าเป็นหนึ่งกับร่างกาย จากสายน้ำเล็กๆกลายเป็นกระแสน้ำขนาดใหญ่ที่ไหลหลั่งไปยังจุดอาคมแต่ละจุดของเขา

บรึ้ม!

จุดอาคมปะทุออก เกิดเสียงระเบิดสะท้อนไปมาในจิตวิญญาณอันกว้างใหญ่ของเขา ในตอนแรก เขาแค่จะก้าวข้ามคอขวดที่ตัวเองติดขัดมานาน แต่ตอนนี้ ปราณในร่างกลับล้นทะลักออกจากจุดตันเถียนและไหลผ่านไปทั่ว ปรับแต่งกล้ามเนื้อและกระดูกเสียใหม่ สร้างความรู้สึกสดชื่นให้

ก้าวเข้าสู่การเป็นนักรบขั้น 4–ผีกู่แล้ว

“นี่มัน…ทำไมมันรวดเร็วแบบนี้ล่ะ” ม่านตาจางเซวียนขยายออก

อ้างอิงจากบันทึกในตำราหงเทียนเก้าขั้น เขาต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-5 เดือนที่จะข้ามผ่านขอบเขตเหล่านี้ได้ นอกจากนี้ต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตาด้วย หลังจากการปรับเปลี่ยนเคล็ดวิชาเล็กน้อยและแก้ไขข้อบกพร่อง เขากลับทำได้อย่างง่ายดาย สิ่งเหล่านี้มันช่าง…

นี่ผ่านไปกี่นาทีแล้วนะ?

ห้า? หรือสิบ?

อาจจะยังไม่ถึงสามนาทีเลยด้วยซ้ำ พระเจ้า!!

นี่มัน…

ปราณที่ได้เมื่อครู่แข็งแกร่งกว่าเดิมถึงสิบเท่า หากจะให้เปรียบเทียบ ปราณที่เขามีในอดีตก็เปรียบเสมือนโคลน ส่วนที่ดูดซับจากฟ้าดินเมื่อครู่ก็คือน้ำสะอาดของฤดูใบไม้ผลิอันใสกระจ่าง ไม่มีสิ่งสกปรกตกค้างใดๆ

ความแตกต่างของปราณที่ได้รับมีอยู่หลายระดับ สามารถแบ่งเป็นระดับสูง ระดับกลาง และระดับต่ำ ยิ่งมีคุณภาพสูงยิ่งทรงประสิบธิภาพในการฝึกฝนร่างกาย ปราณของจางเซวียนที่เจ้าของร่างเดิมเคยรับมาทั้งมืดมัวและมีคุณภาพต่ำ แต่สิ่งที่เขาได้รับเมื่อครู่ เป็นปราณคุณภาพสูงที่ใสสะอาดอย่างแท้จริง

แต่เอ… ไหนใครเคยบอกว่า…. ปราณบริสุทธิ์ระดับสูงเช่นนี้ ผู้ที่ดูดซับได้ต้องเป็นนักรบที่ฝึกฝนอยู่ในขั้นเทพเจ้าเท่านั้นนี่

เคล็ดวิชาเองก็มีระดับที่แตกต่างกันออกไปเช่นกัน คือระดับเทพเจ้า-เซียน-วิญญาณ-จิต– มนุษย์ และในแต่ละระดับชั้นก็มีการแบ่งย่อยออกไปเป็นระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง และระดับสูงสุดยอดอีกด้วย มีข่าวลือในหมู่นักรบว่าคนที่ฝึกเคล็ดวิชาระดับเซียนขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะสามารถกลั่นพลังปราณอยู่ในระดับสูงได้

ตำราหงเทียนเก้าขั้นเป็นเคล็ดวิชาระดับ “มนุษย์” ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุด ดังนั้นจะสามารถทำให้ปราณมีคุณภาพเช่นนั้นได้อย่างไร?

“มันอาจจะเป็นความสามารถของหอสมุดเทียบฟ้า” จางเซวียนกำหมัดแน้น ดูเหมือนว่า… สิ่งที่บันทึกอยู่ในหอสมุดเทียบฟ้านั้นแม่นยำ ตำราหงเทียนเก้าขั้นแน่นอนว่ายังห่างไกลจากความสมบูรณ์เบบ “ถ้าเป็นเช่นนี้ ด้วยความช่วยเหลือของหอสมุดเทียบฟ้า เป็นไปได้ที่เราจะเขียนหนังสือฝึกวิชาระดับเซียน หรือแม้กระทั่งระดับเทพเจ้าขึ้นมาด้วยตัวเอง”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!