ตอนที่ 44 อันไหนต่ำกว่าแปดเหรียญบ้างพี่?
“ว่าไงนะ”
“เจ้าหนุ่มนี่กล้าพูดแบบนี้กับปรมาจารย์โม่หยางหรือ”
“ท่านปรมาจารย์โม่หยางอุตส่าห์หวังดีช่วยเลือกก้อนอัญมณีให้ แต่มันกลับพูดจาแบบนี้”
“ไอ้พวกไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
คำพูดของจางเซวียนทำให้คนที่อยู่โดยรอบถึงกับตะลึงแล้วก็เกิดความโกลาหลขึ้นมา
เจ้าหนุ่มคนนี้บ้าไปแล้วหรือไง ปรมาจารย์โม่หยางอุตส่าห์ช่วยเลือกก้อนอัญมณีให้ กลับหาว่าอีกฝ่ายเป็นคนหลอกหลวง วางมาดโก้
“คุณว่าอะไรนะ?” โม่หยางคิดไม่ถึงว่าจางเซวียนจะพูดจาไม่ไว้หน้าเขาแบบนี้ ใบหน้าของเขาเริ่มเคร่งเครียด “เจ้าหนุ่ม คุณมีอะไรเข้าใจผมผิดหรือเปล่า”
“เข้าใจผิดหรือ? คุณพูดอะไรออกมาแต่ละคำในใจคุณรู้ดี คิดจะหลอกใครอย่างไรก็แล้วแต่คุณ ไม่เกี่ยวกับผมเลย ผมขี้เกียจไปยุ่งเรื่องของคุณ ให้ผมเลือกก้อนอัญมณีของผมไป คุณก็หลอกของคุณไปสิ… น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ตกลงไหม? ไปไกลๆ แล้วไม่ต้องมาทำวางมาดต่อหน้าผม” จางเซวียนสะบัดมือไล่ด้วยความเบื่อหน่าย
สำหรับพวกสิบแปดมงกุฎ เขารู้สึกขยะแขยงเสียมากกว่า ถ้าอีกฝ่ายไม่มารบกวนเขาก็แล้วไป แต่เจ้าปรมาจารย์โม่หยางนี่ถึงกับมาวางมาดต่อหน้าเขา แล้วยังเซ้าซี้อยู่ได้… น่ารำคาญ
“บังอาจ!” โม่หยางสะบัดชายเสื้อด้วยความโกรธแล้วพูดออกมาด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง “ผมได้รับใบรับรองการเป็นนักตรวจสอบสมบัติตั้งแต่สามสิบปีก่อนแล้ว ผมช่วยคนอื่นตรวจสอบอัญมณี ช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกข์ยาก ไม่เคยทำผิดต่อฟ้าดิน ไม่เคยมีใครบอกว่าผมหลอกลวง ทุกคนในที่นี้เป็นพยานได้ ผมเคยหลอกใครที่ไหน?”
“ท่านปรมาจารย์มีจิตใจเมตตา ช่วยคนทุกข์ยาก แล้วจะกลายเป็นพวกหลอกลวงได้อย่างไร”
“เจ้าเด็กเมื่อวานซืน แกคงอยากตายมากใช่ไหม”
“ท่านปรมาจารย์อย่าโกรธไปเลย เดียวผมจะช่วยสั่งสอนเจ้าหนุ่มนี่ให้เอง ให้มันรู้ว่าจะพูดอะไรต้องระวังปากเสียบ้าง…”
คำพูดของโม่หยางทำให้ทุกคนที่อยู่รอบๆ เกิดความโกรธแค้นอย่างมาก ทุกคนมองจางเซวียนเหมือนกับมองไอ้บ้าที่มาฆ่าล้างครอบครัวตัวเอง
“ได้รับใบรับรองการเป็นนักตรวจสอบสมบัติเมื่อสามสิบปีก่อน ไม่เคยทำอะไรที่ผิดต่อฟ้าดิน เป็นความจริงอย่างนั้นหรือ” จางเซวียนพบกับความหน้าหนาขั้นสุดของคนตรงหน้า ก็ถึงกับพูดไม่ออก “คุณเป็นแค่นักศึกษาที่เคยเรียนตรวจสอบสมบัติระดับหนึ่งเท่านั้นเอง”
พูดเก่งอย่างนี้ มิน่าเล่าถึงได้เป็นสิบแปดมงกุฎที่ติดหมายจับของอาณาจักรหลิวจู หนังหน้าหนาสุดๆ ยังไม่พอ ยังเล่นลิ้นกลับกลอกไปมาได้อย่างคล่องแคล่วเสียอีก หากเป็นสิบแปดมงกุฎคนอื่นเมื่อถูกจับได้ก็จะรู้สึกละอายใจ แต่เจ้านี่กลับพูดจาเล่นงานเขาต่อ
หากไม่มีหอสมุดเทียบฟ้า แล้วเห็นท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของโม่หยางแบบนี้ เป็นใครก็ต้องเชื่อคำพูดของเขานั่นแหละ แต่ในเมื่อหอสมุดเทียบฟ้าบอกว่าอีกฝ่ายเป็นสิบแปดมงกุฎ อีกฝ่ายก็ต้องเป็นสิบแปดมงกุฎอย่างแน่นอน
หอสมุดเทียบฟ้าไม่เคยพลาด
“ทุกคนอย่าโกรธไปเลย” เมื่อเห็นว่าทุกคนโดยรอบอยู่ในสภาพที่โกรธแค้นและรู้ว่าสถานการณ์อยู่ในการควบคุมของตนแล้ว โม่หยางก็สะบัดมือ “ผมเป็นคนใจกว้าง ถ้าคุณยอมกล่าวขอโทษต่อคำพูดเมื่อครู่ ผมจะไม่ถือสาหาความ แต่หากไม่ยอม การที่คุณมาพูดจาดูถูกผม คุณจะพบกับบทลงโทษและจุดจบอย่างไรคงรู้ดีสินะ”
“บทลงโทษรึ?” จางเซวียนส่ายหัว “คุณเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ ผมไม่ได้พูดส่งเดช ถ้าจะให้พิสูจน์นั้นทำได้ง่ายมาก เพียงแค่เอาก้อนอัญมณีที่คุณแนะนำให้พวกเขาซื้อมาเจียระไนดูก็รู้คำตอบแล้ว จะมาพูดให้มากความทำไม”
“เจียระไนออกมารึ?” โม่หยางเหมือนรู้ว่าจางเซวียนจะพูดแบบนี้ จึงตอบกลับ “ผมบอกไปแล้วว่าคืนนี้จะเดินทางออกจากอาณาจักรเทียนเซวียน ก้อนอัญมณีที่ผมเลือกให้กับทุกคนล้วนเป็นอัญมณีก้อนใหญ่ ถ้าจะเจียระไนก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งวัน ผมมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก ไม่อาจมาเสียเวลาที่นี่ได้ ทำไม… คุณจะบอกว่าการที่ผมจะไม่อยู่ที่นี่อีกแล้วก็เพราะกลัวจะถูกจับได้งั้นสิ จะฉวยโอกาสนี้มาใส่ร้ายป้ายสีผมอย่างนั้นหรือ”
พอพูดมาถึงตรงนี้ โม่หยางก็สะบัดชายเสื้ออีกครั้งด้วยท่าทางที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ผมเป็นคนซื่อตรง จะกลัวการกล่าวหาทำไม ผมอุตส่าห์หวังดีช่วยคุณเลือกก้อนอัญมณี กลับถูกคุณกล่าวหาว่าเป็นสิบแปดมงกุฎ การกล่าวหาโดยไร้หลักฐานก็คือการหยามเกียรติ คุณรู้ผลลัพธ์ของการหยามเกียรตินักตรวจสอบสมบัติไหม”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ จางเซวียนถึงเพิ่งรู้ว่าตนเองมองโลกในแง่ดีเกินไป ความไร้ยางอายของโม่หยางเกินขีดจำกัดจริงๆ เขาสมกับเป็นนักต้มตุ๋นระดับมืออาชีพ ถึงขนาดเตรียมคำตอบต่างๆ เอาไว้แล้ว
ก่อนอื่นก็ประกาศเลยว่าตนเองกำลังจะเดินทางออกจากอาณาจักรเทียนเซวียนในคืนนี้ จางเซวียนยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกดักปากเอาไว้ก่อน ตอนนี้ถึงตัวเขาจะบอกว่าเจ้าสิบแปดมงกุฎคนนี้ไม่กล้ารอให้เจียระไนก้อนอัญมณีเพราะกลัวถูกจับได้ก็คงไม่มีใครเชื่อ
อีกอย่าง… การพูดว่าหมอนี่เป็นสิบแปดมงกุฎนั้น จางเซวียนไม่มีหลักฐานอะไรเลยจริงๆ
“เจ้าเด็กบ้า ยังไม่รีบคุกเข่าขอขมาท่านปรมาจารย์อีก”
“กล้าพูดว่าท่านปรมาจารย์เป็นสิบแปดมงกุฎ เชื่อไหมว่าฉันจะสับแกเป็นชิ้นๆ”
“เจ้าสุนัขที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงตัวนี้มาจากไหนกัน กล้ามาใส่ร้ายความขาวสะอาดของท่านปรมาจารย์”
เห็นท่าทีของ ‘ท่านปรมาจารย์’ ยังคงมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม หลายคนเลือกที่จะเชื่อโม่หยางแล้วพากันโกรธแค้นจางเซวียน
คนเหล่านี้โกรธกันใหญ่แล้ว
คนที่ถูกหลอกต่างตกอยู่ในสภาพการวางยาฆ่าตัวตาย ไม่อยากจะยอมรับความจริง หากมีใครที่ไหนกล้ามาปลุกให้พวกเขาตื่นขึ้นจากฝันหวาน พวกเขาก็จะทำลายคนคนนั้นอย่างไร้ความปรานี
ในสายตาของพวกเขา ‘ไอ้ปรมาจารย์โม่หยาง’ เป็นคนที่สูงส่งและสะอาดบริสุทธิ์ แล้วจะเป็นพวกสิบแปดมงกุฎไปได้อย่างไร
ล้อเล่นอยู่ใช่ไหม?
“ในเมื่อเจ้าหนุ่มคนนี้กล่าวหาว่าปรมาจารย์เป็นพวกสิบแปดมงกุฎ ตนเองก็ต้องมีความสามารถในการตรวจสอบก้อนอัญมณีอยู่พอตัว ถ้าเก่งจริงก็เลือกก้อนอัญมณีดีๆ ขึ้นมาสักก้อนหนึ่ง แล้วถ้าเจียระไนออกมาเป็นเศษขยะ ก็รีบๆ ไสหัวไป ไม่ต้องมาทำเป็นเก่งที่นี่”
“ถูกต้อง ในเมื่อคุณบอกว่าผมเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ แล้วไม่ยอมรับก้อนอัญมณีที่ผมเลือกให้ คิดว่าคุณเองคงจะต้องมีความสามารถในการตรวจสอบก้อนอัญมณีอยู่บ้าง”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ ‘ไอ้ปรมาจารย์โม่หยาง’ ก็รีบพยักหน้าแล้วมองไปที่จางเซวียน “เอาล่ะ ผมจะให้โอกาสคุณครั้งหนึ่ง พวกเรามาเลือกก้อนอัญมณีพร้อมกันคนละหนึ่งก้อน เอาก้อนที่สามารถเจียระไนออกมาได้อย่างรวดเร็ว หากก้อนอัญมณีที่คุณเลือกเจียระไนออกมาแล้วมีมูลค่ามากกว่าราคาซื้อ ผมจะถือว่าคุณมีสายตาที่แหลมคม แล้วผมจะไม่เอาผิดกับคำสบประมาทของคุณ แต่ถ้าก้อนที่คุณเลือกเจียระไนออกมาแล้วเป็นเศษขยะ คุณก็จงซื้อก้อนอัญมณีก้อนที่ผมเลือกให้แล้วคุกเข่าขอขมาผมซะ”
“คุณจะแข่งตรวจสอบอัญมณีกับผมใช่ไหม?” จางเซวียนกำลังคิดหาวิธีที่จะหาหลักฐานอยู่พอดี พอมาได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาจึงแอบอมยิ้มในใจ เจ้านี่สมองยังปกติอยู่หรือเปล่าเนี่ย
เขามีหอสมุดเทียบฟ้าในครอบครอง การวิเคราะห์หรือตรวจสอบสิ่งของต่างๆ แน่นอนว่าไม่เป็นสองรองใครในโลกนี้ เจ้านี่คิดจะมาแข่งด้วย… มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
แต่พอคิดดูดีๆ ก็พอเข้าใจสาเหตุที่อีกฝ่ายต้องทำแบบนี้
อีกฝ่ายคงเห็นว่าตนมีอายุเพียงสิบแปดสิบเก้าปีแล้วจะเข้าใจเรื่องอัญมณีได้อย่างไร อีกอย่าง ไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาเพิ่งช่วยทำกำไรให้คนอื่นๆ ไปมากมาย เห็นทีว่าเขาคงจะเตรียมการอะไรบางอย่างกับเจ้าของร้านไว้แล้วแน่ๆ ตอนเลือกก้อนอัญมณี ถ้าจางเซวียนแพ้ ไอ้ปรมาจารย์สิบแปดมงกุฎก็จะสามารถกู้ชื่อเสียงคืนมาได้ อาจจะทำให้พวกคนโง่เหล่านี้พากันแห่มาซื้ออัญมณีก้อนที่เขาชี้อีกเป็นจำนวนมาก
“ทำไม ไม่กล้าแข่งหรือไง?” ท่าทางของโม่หยาง เห็นแล้วเหมือนกับเขารู้ล่วงหน้าว่าตนเองจะต้องชนะแน่
“ได้เลย” ในเมื่ออีกฝ่ายท้าทายขนาดนี้ จางเซวียนไม่มีทางไม่รับปาก
“งั้นก็ดี ผมเป็นฝ่ายเลือกก่อนก็แล้วกัน” โม่หยางสะบัดชายเสื้อแล้วเดินไปที่โต๊ะแสดงสินค้าหน้าร้านร้านหนึ่ง เขาหยิบก้อนอัญมณีที่มีขนาดเท่ากับกล่องของขวัญขึ้นมาหนึ่งก้อน
อัญมณีก้อนนี้ถูกเคลือบด้วยหินหนา มองไม่เห็นรูปลักษณ์ของสมบัติล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ด้านใน ยิ่งไม่มีทางรู้อย่างเด็ดขาดว่าสิ่งที่อยู่ด้านในมีมูลค่าเท่าไร
“เจ้าของร้าน ก้อนนี้ราคาเท่าไหร่?” โม่หยางหยิบสินค้าแล้วถามขึ้น
“อัญมณีก้อนนี้เล็กมากและไม่มีรอยคลื่นอะไรเลย เอามาสองร้อยเหรียญแล้วกัน” เจ้าของร้านตอบ
“ได้เลย คุณช่วยหาคนมาเจียระไนให้ผมทีสิ เอาตอนนี้เลยนะ” โม่หยางยื่นเงินให้แล้วพูดต่อ
“ได้ครับ” เจ้าของร้านรับก้อนอัญมณีแล้วรีบนำมันเข้าไปหลังร้าน ไม่นานก็ออกมาด้วยใบหน้าที่แจ่มใสพร้อมกับคางคกสีทองในมือ “ยินดีกับท่านปรมาจารย์ด้วย ท่านได้ ‘คางคกเปลวทองคำ’…”
“คางคกเปลวทองคำคืออะไร?”
“คางคกเปลวทองคำคือสัตว์ร้ายขั้นหก สิ่งที่มีค่าที่สุดในตัวของมันคือผิวหนัง ทั้งชีวิตจะลอกคราบเพียงแค่ครั้งเดียว ผิวหนังของมันสามารถนำมาปรุงยาได้ มีราคาที่สูงมาก”
“สมกับเป็นก้อนอัญมณีที่ท่านปรมาจารย์เลือก สายตาเป็นเลิศจริงๆ หยิบแค่ครั้งเดียวก็ได้ของที่มีค่าควรเมืองขนาดนี้” เมื่อได้ยินว่าเป็นคางคกเปลวทองคำ ทุกคนต่างพากันตื่นเต้น
“หลายคนคงไม่รู้จักของสิ่งนี้ คุณบอกราคาเลยก็แล้วกัน แบบนี้จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น” โม่หยางเชิดหน้าขึ้นแล้วมองไปข้างหน้า เขาไม่เคยลืมที่จะวางมาดผู้รอบรู้สูงส่ง
“ของสิ่งนี้มีราคาตลาดอยู่ที่…สองพันเหรียญครับ” เจ้าของร้านกล่าว
“สองพันเหรียญเลยหรือ!”
“ซื้อมาสองร้อยเหรียญ ขายออกไปสองพันเหรียญ ได้กำไรถึงสิบเท่าในเวลาแป๊บเดียวเนี่ยนะ”
“จะเก่งอะไรปานนี้”
“ปรมาจารย์ก็คือปรมาจารย์อยู่วันยังค่ำ เพียงแค่ของชิ้นเล็กๆ ยังสามารถทำกำไรได้ขนาดนี้ ก้อนใหญ่เมื่อครู่ที่เลือกให้ผม ก็ต้องมีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ภายในอย่างแน่นอน” เมื่อเห็นเป็นแบบนี้ กลุ่มคนที่ดูเหมือนจะมีความกังวลเล็กน้อยในทีแรก ต่างก็พากันดีใจยกใหญ่
ปรมาจารย์ก็คือปรมาจารย์ ฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ
“เอาล่ะ ถึงตาคุณแล้ว” โม่หยางมองไปที่จางเซวียนด้วยสายตาเยือกเย็น
“ได้เลย…” จางเซวียนพยักหน้า การที่อีกฝ่ายเป็นสิบแปดมงกุฎ แน่นอนว่าเขาต้องมีคนคอยหนุนหลังอยู่ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจะร้ายกาจขนาดนี้
ที่แท้ก็ร้านค้านี่เอง!
เห็นทีเขาต้องเลือกก้อนที่ค่อนข้างจะดีหน่อยเสียแล้ว
เมื่อจางเซวียนเดินออกไปข้างหน้า เขาคิดอะไรบ้างอย่างได้จึงรีบมองไปที่เจ้าของร้าน “ผมขอเลือกก้อนอัญมณีแล้วขอให้คุณช่วยออกค่าเจียระไนไปก่อน เมื่อเจียระไนเสร็จก็ตีราคา ถึงตอนนั้นพอได้กำไรแล้ว ผมค่อยจ่ายเงินคืนคุณได้ไหมครับ”
“ไม่ได้ ต้องจ่ายค่าของก่อน พวกเราถึงจะช่วยเจียระไนให้ นี่คือกฎ ไม่เช่นนั้น ถ้าเจียระไนออกมาแล้วเห็นว่าไม่มีค่า คุณก็จะไม่เอามันแล้วไม่ยอมจ่ายเงิน หรือถ้ามีค่ามากเกินไป พวกเราก็ไม่คิดอยากจะขายให้คุณ ปัญหาพวกนี้อาจเกิดขึ้นได้” เจ้าของร้านพูดอย่างเบื่อหน่าย
เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดปัญหาระหว่างการซื้อขายอัญมณี เมื่อเลือกสินค้าเสร็จจะต้องจ่ายเงินทันที นี่ก็เปรียบเสมือนสัญญาฉบับหนึ่ง ใครก็ไม่มีสิทธิ์จะโกงได้
แต่เขามีเงินติดตัวแค่แปดเหรียญเอง
เอาวะ… จางเซวียนได้แต่พยักหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร้าน
“เอาล่ะ ช่วยบอกผมที ในกองอัญมณีพวกนี้ มีก้อนไหนที่ราคาต่ำกว่าแปดเหรียญบ้าง เอามาให้ผมเลือกหน่อย…”