ตอนที่ 7 นายเคยถูกทิ้งมาก่อนสินะ
“ผมทำอะไรงั้นรึ?” จางเซวียนมองไปยังอีกฝ่ายที่เดือดดาลด้วยความโกรธ หมดคำพูดที่จะอธิบาย
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วนะ
ที่จริง… เขาเข้าใจดีว่าถ้าใครเข้ามาเห็นสภาพหลังจากที่เขาชี้แนะสาวน้อยคนนี้ก็อาจจะคิดมากได้ หนึ่ง เขาทำให้เธอเต็มใจยอมรับเขาเป็นอาจารย์ สอง เมื่อมีการพูดถึงเรื่องนี้เธอยังออกอาการเขินอาย มิหนำซ้ำผลึกบันทึกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ก็เป็นหลักฐานชิ้นเอกที่จะแสดงให้เห็นว่า มีการพยายามทำลายหลักฐานระหว่างที่ทั้งคู่อยู่กันตามลำพัง มันตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้แน่นอน
จางเซวียนโดนหมายหัวว่าเป็นไอ้บ้ากามโรคจิต อาจารย์ไร้ยางอายและสิ่งเลวร้ายทุกประเภทบนโลกใบนี้ไปแล้ว
“ลุงเหยา คิดอะไรของคุณน่ะ ถ้ายังคิดต่ำๆ แบบนี้ ฉันจะไม่ยุ่งกับคุณแล้ว”
พอเหยาฮั่นที่กำลังโกรธได้ยินคำพูดนี้ก็ชะงัก แน่นอน… ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ใบหน้าของเธอหมองลงทันที ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นเด็กสาว ข่าวลือแบบนี้ทำลายชื่อเสียงของเธอได้
“นายหญิงน้อย…” พอถูกจ้าวหย่าขัดจังหวะเท่านั้น เหยาฮั่นก็ลดความโกรธลง
“เอาล่ะ ตามฉันไปเก็บเตียง อย่ามาวุ่นวายที่นี่ พรุ่งนี้ฉันยังต้องมาเรียนอยู่อีก” จ้าวหย่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม แล้วก็เดินออกไปจากห้อง
เธอไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เพราะถ้าพูดอะไรไปมากกว่านี้
ลุงเหยาอาจจะกดดันให้เธอเอ่ยถึงอาการป่วยอย่างแน่นอน ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เธอจะบอกออกไปได้อย่างไร เมื่อไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้ เธอจึงได้แต่นิ่งเงียบแล้วยอมรับจางเซวียนเป็นอาจารย์อย่างไร้ข้อโต้แย้ง
“ฮึ่ม” หลังจากที่เห็นนายหญิงน้อยหันหลังกลับแล้วเดินจากไป เหยาฮั่นก็จ้องไปยังจางเซวียนด้วยสายตาครุ่นคิดราวกับกำลังวิเคราะห์สถานการณ์อะไรบางอย่างอยู่ จากนั้นไม่นาน เขาก็เดินออกไปจากห้อง
เมื่อครู่ ถ้านายหญิงน้อยไม่ได้ปรามไว้ เขาคงฆ่าจางเซวียนไปแล้วเป็นแน่
“เขาคนนี้เป็นใครกัน…” เมื่อเหลือบไปเห็นสายตาเย็นชาของเหยาฮั่น จางเซวียนรู้สึกสับสน เขาก็แค่รับลูกศิษย์เท่านั้น ทำไมถึงคิดไกลไปนู่น ทำอย่างกับเขาเป็นอาชญากรระดับชาติ เป็นไอ้ตัวเลวร้ายอันตรายที่สุดในโลกนี้ ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย!
“ลืมๆ มันไปเถอะ วันนี้เรายังพอมีเวลาเหลือ มาดูว่าเราจะรับสมัครลูกศิษย์ได้อีกกี่คน ถ้าจำนวนลูกศิษย์เพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าเราจะได้รับทรัพยากรในการสอนมากขึ้นตามไปด้วย”
อาจารย์โรงเรียนหงเทียนแห่งนี้มีหลากหลายระดับความสามารถ การประเมินในแต่ละครั้งจะตัดสินยืนพื้นจากลูกศิษย์ของพวกเขา ทั้งในด้านจำนวน พัฒนาการ และผลการแข่งขันในทุกประเภท… ยิ่งศิษย์มีพัฒนาการมากขึ้นเท่าไร อาจารย์ที่สั่งสอนก็จะได้รับการยกย่องมากขึ้นเท่านั้น
และยิ่งระดับคะแนนของพวกเขาสูงขึ้นเท่าไร ผลตอบแทนที่ได้ก็จะมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้นบรรดาศิษย์ใต้สังกัดของอาจารย์เหล่านั้นก็จะได้รับการดูแลที่ดีตามไปด้วย กล่าวได้ว่าอาจารย์และศิษย์ต่างก็มีผลประโยชน์เอื้อต่อกัน ตอนนี้เขามีศิษย์เพียงแค่สามคน อาจจะยังสามารถรักษาตำแหน่งอาจารย์ไว้ได้ แต่ในส่วนของศักยภาพ แน่นอนว่าเขายังคงรั้งท้ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเขาต้องการที่จะขยับตำแหน่งของตนให้ไปไกลกว่าเดิม เบื้องต้นเขาคงทำได้เพียงรับลูกศิษย์เพิ่ม
“เจิ้งหยาง อย่าวิตกไปเลย ก็แค่ถูกอาจารย์หว่างเชาปฏิเสธ”
สองหนุ่มรุ่นกระทงกำลังเดินคุยกันอยู่บนทางเท้าในโรงเรียน หนุ่มน้อยตรงหน้าพยายามปลอบเพื่อนของเขา
“โม่วเซียว นายได้รับการยอมรับ นายจะรู้สึกอะไรล่ะ ถ้านายถูกปฏิเสธบ้างจะพูดแบบนี้ไหม” เจิ้งหยางขมวดคิ้ว ไม่พอใจคำปลอบของเพื่อน
“แค่กๆ ไม่ใช่แบบนั้น ฉันหมายความว่าน่าจะยังมีอาจารย์ที่เก่งกว่านี้อีก ที่นี่ไม่ได้มีแค่อาจารย์หว่างเชาคนเดียวซะที่ไหน” ชายหนุ่มด้านหน้าเกาหัวแกรกๆ อย่างลำบากใจ
“ไม่เลือกเขาได้รึ? นายคิดดูนะ ตั้งแต่เด็กเราทั้งคู่ได้รับการฝึกฝนวิชาหอก หอกเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของร่างกายพวกเราไปแล้ว เป็นสิ่งที่พวกเราไม่อาจละทิ้งได้ และอาจารย์ที่เป็นหนึ่งในการต่อสู้แขนงนี้ก็มีแต่หว่างเชาเท่านั้น และฉันก็เพิ่งถูกเขาปฏิเสธ นายจะไม่ให้ฉันเสียใจและผิดหวังได้อย่างไร?” เจิ้งหยางเดือดดาล
“นั่นมันก็…” ถึงเวลานี้ โม่วเซียวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะตอบคำถามนี้อย่างไร ภายในโรงเรียนหงเทียน อาจารย์ผู้สอนแต่ละคนมีความเชี่ยวชาญแตกต่างกัน บางคนมีความเชี่ยวชาญในเพลงหมัด บางคนเชี่ยวชาญเพลงดาบ ส่วนอาจารย์หว่างเชาคือสุดยอดปรมาจารย์ที่โด่งดังที่สุดของโรงเรียนด้านการใช้หอก
เด็กหนุ่มทั้งคู่เข้าร่วมทดสอบพร้อมกันด้วยความหวังว่าจะได้กลายเป็นลูกศิษย์ของหว่างเชา ทว่าผลกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะมีแค่คนเดียวที่ผ่านการทดสอบ แน่นอนว่าผู้ที่พลาดหวังย่อมเสียใจเป็นธรรมดา
“อืม นายดูสิ มีห้องเรียนอยู่ที่นี่ด้วย เราเข้าไปดูกันดีกว่า”
โม่วเซียวลำบากใจ ไม่รู้จะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร พลันมองไปเห็นห้องเรียนที่ตั้งอยู่ห่างออกไป เขาชี้ไปที่นั่นพร้อมกับชักชวนเพื่อน
“ไม่เอา…” เจิ้งหยางส่ายหัว
“เอาน่า ไปดูกัน ไม่แน่นะ ที่นั่นอาจจะมีสุดยอดปรมาจารย์ในด้านเพลงหอกอยู่ก็ได้” โม่วเซียวปลอบประโลมเพื่อนของเขา “มันก็ไม่เสียหายอะไรนี่ แค่เข้าไปดู”
“ก็ได้” เขาเดินตามโม่วเซียวไปอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก คนที่รออยู่ในห้องเรียนนั้นคือจางเซวียน เขากำลังเตรียมตัวรับสมัครศิษย์ใหม่ทางด้านนอก แต่เด็กหนุ่มสองคนเดินสวนเข้ามาพอดี
“คารวะอาจารย์” โม่วเซียวคำนับ
“อืม” จางเซวียนเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย “พวกคุณมาที่นี่เพื่อตามหาปรมาจารย์สินะ”
“นี่คือพี่ชายของผม เพลงหอกของเขานับว่ายอดเยี่ยมเหนือเด็กในระดับเดียวกันมาก ผมหวังว่าคุณคงจะให้คำชี้แนะกับเขาได้บ้าง” โม่วเซียวรีบกล่าวแนะนำเพื่อนของเขา
“โม่วเซียว” เจิ้งหยางดึงแขนเพื่อนอย่างไม่เห็นด้วย
“อะไรรึ” โม่วเซียวถามอย่างสับสน
“นายมองไปรอบๆ สิ…” เจิ้งหยางขมวดคิ้ว
ห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ นี้น่าจะจุคนได้แค่ประมาณสิบคนเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นห้องเรียนที่เล็กมากๆ ขนาดของห้องเรียนมักจะสะท้อนถึงศักยภาพของอาจารย์ อาจารย์ที่อยู่ในระดับบน ห้องเรียนจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งอาจบรรจุลูกศิษย์ได้มากกว่าหนึ่งร้อยคนในเวลาเดียวกัน แต่นี่ดูสิ ห้องเรียนนี้มีขนาดเล็กเพียงแค่อุ้งมือ แสดงว่าอาจารย์ประจำห้องนี้น่าจะอยู่แค่ระดับปลายแถว
“อืม มันเล็กมากจริงๆ เสียด้วย…” โม่วเซียวสังเกตเห็นขนาดของห้อง หัวใจของเขาเต้นตึกตัก ตอนแรกเขาอยากแค่ช่วยปลอบใจให้กับความผิดหวัง คลายความอึดอัดในใจของเพื่อนก็เท่านั้น
แต่มาถึงตอนนี้ ไม่แน่ว่าการปลอบของเขาจะทำให้เพื่อนแย่ยิ่งไปกว่าเดิม เพราะปรมาจารย์ที่เขาตามหาเป็นเพียงแค่อาจารย์ปลายแถวที่มีห้องสอนเล็กเท่ารูหนูเท่านั้น
“แสดงเพลงหอกของนายให้ฉันดูสิ” จางเซวียนพอเดาความรู้สึกของเด็กหนุ่มทั้งสองได้ เขากล่าวอย่างใจเย็น
“ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว อย่างไรอาจารย์ท่านนี้ก็ต้องชี้แนะนาย และถ้าเราไม่พอใจหรือไม่เห็นด้วยกับคำชี้แนะของเขา เราก็แค่ปฏิเสธแล้วไปตามหาอาจารย์ท่านอื่นแทน แค่นั้นเอง” โม่วเซียวให้กำลังใจเจิ้งหยางเมื่อเห็นสีหน้าของเขาดูลังเลไม่แน่ใจ
“อืม ก็ได้” เจิ้งหยางผงกหัว อาจารย์ก็เหมือนกับศิษย์ จะต้องถูกศิษย์ทดสอบศักยภาพความเป็นอาจารย์ เพื่อที่บรรดาศิษย์จะนำมาพิจารณาประกอบการเลือกด้วยเช่นเดียวกัน หลังจากที่คิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เจิ้งหยางก็ดึงหอกจากด้านหลังและประกอบส่วนต่างๆ ของมันเพื่อเตรียมตัวแสดง
วิ้ง!
ด้วยความยาวของหอกในมือ ท่าทีของเจิ้งหยางเปลี่ยนไปทันที เช่นเดียวกับประกายสะท้อนจากปลายหอกคมกริบที่เพิ่งถูกดึงออกมาจากฝัก
ซวบ ซวบ ซวบ ซวบ!
หอกยาวแทงไปด้านหน้าอย่างแรงจนเกิดคลื่นเสียงกระแทกออกไปดังสนั่นห้อง บริเวณนั้นเหมือนถูกสายลมอันแข็งแกร่งฉีกกระชาก เขาเคลื่อนไหวอย่างผู้เชี่ยวชาญ แม้ว่าเจิ้งหยางจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่ความสามารถด้านหอกของเขาก็ไม่ได้เลวร้ายซะทีเดียว
ฟุ่บ!
เขาใส่เคล็ดวิชาลงไปเพื่อสั่นสะเทือนปลายหอก และทุ่มพลังโจมตีไปยังเสาหินที่อยู่ไม่ห่างนัก บังเกิดเสียงก้องสะท้อนดังขึ้นในอากาศ
จากนั้นตัวเลขก็ปรากฏบนเสา 110
อย่างที่คาดไว้ มันมากกว่าร้อยกิโลกรัม ความสามารถด้านการทำลายล้างของมัน แม้แต่นักรบขั้นจวีซีระดับสูงสุดก็ยังไม่สามารถทำได้
“อาจารย์น่าจะพอชี้แนะให้ผมได้บ้าง” เขาจัดหอกพักเป็นแนวตั้ง ยืนตรงรอรับคำชี้แนะอย่างสง่าผ่าเผย สีหน้าไม่ปรากฏให้เห็นถึงร่องรอยความกังวลหรือเมื่อยล้าแต่อย่างใด เหมือนว่าไม่ยินดียินร้ายอะไร
ถ้าจะวิเคราะห์ตามหลักจากความเป็นจริงแล้ว ด้วยขนาดห้องเรียนเพียงเท่านี้ เจิ้งหยางก็ไม่ได้คาดหวังกับอาจารย์คนนี้ไว้สูง เขาคิดว่าความสามารถของจางเซวียนคงแค่ระดับมาตรฐานทั่วๆ ไป ไม่แย่แต่ก็ไม่ถึงกับเลิศเลอ
เขานิ่งราวกับพิสูจน์จุดยืนของตนที่มีต่ออาจารย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า จางเซวียนหรี่ตา มันยากที่จะเข้าใจว่าเจิ้งหยางคิดอะไรอยู่ เขาค่อยๆ เปิดตาขึ้นพร้อมกับแอบซ่อนรอยยิ้มเล็กๆ ไว้ตรงมุมปาก “คุณได้รับบาดเจ็บทางอารมณ์ ตีความง่ายๆ คือ… คุณเพิ่งถูกทิ้งมา”
หลังจากที่ได้ยิน เจิ้งหยางพลันสายตาหม่นหมองและสีหน้าเปลี่ยนไปทันที