Skip to content

Library Of Heaven’s Path 88

ตอนที่ 88 สมาพันธ์นักปรุงยา

“เอาล่ะ วันนี้ก็พอเท่านี้ก่อน ทุกคนกลับไปฝึกตามที่ผมบอก ในการประลองการประเมินผลอาจารย์ในอีกครึ่งเดือนข้างหน้า ผมไม่อยากจะแพ้ หวังว่าทุกคนจะไม่ทำให้ผมแพ้นะ” จางเซวียนบรรยายหลักการต่างๆ ของเคล็ดวิชาให้กับศิษย์ของเขา เมื่อพูดจบก็วางมือลงบนหน้าหนังสือ

ผ่านไปสองวันกับการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆ จางเซวียนเริ่มมีวี่แววของความเป็นอาจารย์มากขึ้น

“ครับ/ค่ะ อาจารย์” จ้าวหย่า เจิ้งหยาง และคนอื่นๆ ต่างกุมมือแน่น ทุกคนหน้าตาเบิกบาน เรื่องเมื่อครู่ พวกเขารู้ดีว่าลู่ฉวินต้องการจะท้าทายจางเซวียน และพวกเขาก็กลายเป็นเครื่องมือเดิมพันอย่างช่วยไม่ได้

หากเป็นเมื่อก่อน ถ้าได้ยินว่าสามารถจะไปเป็นศิษย์ของอาจารย์ลู่ฉวินได้ พวกเขาจะต้องดีใจจนนอนไม่หลับ แต่ตอนนี้ ตีให้ตายพวกเขาก็ไม่ยอมไปเป็นศิษย์ของอาจารย์ลู่ฉวินอย่างเด็ดขาด

จางเซวียนสามารถชี้จุดอ่อนในตัวของพวกเขาทุกคนออกมาได้อย่างง่ายดาย จางเซวียนสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของจ้าวหย่าและหวังหยิ่งได้ แถมยังสามารถคิดค้นเคล็ดวิชาที่สุดแสนจะล้ำลึกแล้วให้พวกเขาเป็นคนตั้งชื่อ ซ้ำยังสามารถหาจุดอ่อนในตัวจูหงจนเจอแล้วทำให้พวกเขาสามารถเอาชนะจูหงได้

อาจารย์จางคนนี้ดูเหมือนจะมีความสามารถแบบชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ทำให้พวกเขาทุกคนล้วนเลื่อมใสในตัวจางเซวียนอย่างมาก

“กลับแล้วนะครับอาจารย์” ลูกศิษย์เริ่มทยอยเดินกลับบ้าน

“นายว่า… พลังหมัดของอาจารย์จางอยู่ที่ห้าสิบห้าจุดเลยหรือ”

“ขนาดอ๋องน้อยไป๋ซวินยังมาขอคำชี้แนะจากเขาเลยหรือ”

เมื่อเดินออกจากห้องเรียน เพื่อนร่วมห้องเรียนของหลิวหยางต่างรุมถามเขาถึงเรื่องการทดสอบความประสงค์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ หลิวหยางก็ไม่ได้ปิดบังอะไร เล่าเรื่องที่เขาพบเจอทั้งหมดให้เพื่อนๆ ฟัง

เมื่อทุกคนรู้ว่าจางเซวียนเป็นนักรบขั้นหกก็ถึงกับตาค้างไปตามๆ กัน พอได้ยินเรื่องที่สุดแสนจะทุเรศของสำนักงานฝ่ายการศึกษา ทุกคนต่างรู้สึกโกรธแค้นจนแทบจะระเบิด

“ทุกคน ที่อาจารย์ลู่ท้าประลองกับอาจารย์จางเซวียนนั้น ฉันคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่จะสร้างชื่อเสียง ทวงคืนความชอบธรรมกลับมาให้กับอาจารย์จางของพวกเรานะ” หลิวหยางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเจดีย์แห่งความประสงค์เสร็จก็รีบพูดต่อทันที “เพราะฉะนั้น ฉันหวังว่าพวกเราทุกคนจะตั้งใจฝึกซ้อม เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับอาจารย์แล้วก็เพื่อพวกเราเองด้วย”

“ถูกต้อง อาจารย์จางเป็นคนที่น่าเลื่อมใส ทั้งยังใจกว้าง เขาไม่ไปคิดเล็กคิดน้อยหรอก ในฐานะศิษย์ของเขา พวกเรามีหน้าที่ช่วยกู้ชื่อเสียงของเขากลับคืนมา”

จ้าวหย่ามองหลิวหยางด้วยสายตาที่เห็นด้วย

“ฉัน… ฉันก็เห็นด้วย” หวังหยิ่งรู้สึกงุนงงแต่ก็ตอบรับ จางเซวียนช่วยรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของเธอ ซ้ำยังช่วยคิดค้นเคล็ดวิชาเพื่อให้เธอฝึกเองโดยเฉพาะ บุญคุณแบบนี้ มันช่างยิ่งใหญ่นัก

“พวกเราก็ขอร่วมด้วย” หยวนเทากับเจิ้งหยางก็เดินมาสมทบ

“งั้นก็ตามนี้ ภายในเวลาครึ่งเดือน พวกเราจะต้องขยันฝึกวรยุทธอย่างเต็มที่ ในพิธีการประลองของศิษย์ใหม่ที่กำลังจะจัดขึ้น พวกเราจะต้องทำให้พวกคนที่ดูถูกอาจารย์จางได้รู้ว่า…” หลิวหยางพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง “ให้รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์จางเก่งกาจที่สุด”

“อีกครึ่งเดือนจะมีการประลอง…”

จางเซวียนไม่รู้เลยว่า ตอนนี้ศิษย์ทั้งห้าคนของเขากำลังคึกคะนองอย่างมาก ตัวเขาเองกลับรู้สึกกลุ้มใจอย่างบอกไม่ถูก

เขาไม่ได้เป็นห่วงจ้าวหย่ากับหวังหยิ่ง เพราะทั้งสองมีพื้นฐานวรยุทธที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว หากรวมกับเคล็ดวิชาที่เขาถ่ายทอดให้ ภายในครึ่งเดือน ความสามารถของพวกเธอต้องเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน ส่วนเจิ้งหยางกับหลิวหยางทั้งสองเป็นคนที่มีพรสวรรค์ ซ้ำยังมีความทะเยอทะยาน ถ้าสอนดีๆ ความสามารถของพวกเขาก็จะต้องเพิ่มขึ้นได้อีกมาก ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือหยวนเทา

เด็กคนนี้ไม่มีพื้นฐานการฝึกวรยุทธอะไรเลย แถมยังไม่มีคนคอยให้ความสนับสนุนอีกต่างหาก ภายในเวลาครึ่งเดือนจะทำให้เขากลายเป็นยอดฝีมือ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยจริงๆ

“นอกจากจะ… ปลุกพลังของสายเลือดมังกรบรรพกาลในตัวเขาขึ้นมา”

จางเซวียนคิดอะไรบ้างอย่างออก

เขาเคยค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับหยวนเทาในหอสมุดเทียบฟ้า พบว่าหยวนเทาเป็นผู้สืบสายเลือดมังกรบรรพกาลซึ่งเป็นสายเลือดของนักรบ ‘แนวรับ’ ถ้าสายเลือดนี้ถูกปลุกขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกวรยุทธหรือพลังการป้องกันก็จะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

ถ้าอยากจะให้หยวนเทาพัฒนาฝีมือขึ้นแบบก้าวกระโดด ก็น่าจะมีแต่วิธีนี้ “แต่… จะปลุกสายเลือดมังกรบรรพกาลในตัวหยวนเทาขึ้นมาได้อย่างไร” แม้จะรู้วิธี แต่ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ

สายเลือดมังกรบรรพกาลเป็นสายเลือดที่สืบทอดต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น เป็นสายเลือดที่หาได้ยากยิ่ง มีการบันทึกเกี่ยวกับสายเลือดนี้อยู่น้อยมาก และการบันทึกส่วนใหญ่จะเป็นรายชื่อของคนที่เป็นผู้สืบทอดสายเลือดเท่านั้น

ส่วนเรื่องการปลุกสายเลือดมังกรบรรพกาล ทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเซวียนก็ไม่น่าจะมีใครรู้

“การปลุกสายเลือดในร่างกายมนุษย์แบ่งเป็น 3 วิธี…

วิธีที่ 1 คือการฝึกวรยุทธ ถ้าฝึกวรยุทธแล้วบรรลุเคล็ดวิชาได้ถึงจุดหนึ่ง ก็จะสามารถปลุกสายเลือดในร่างกายได้ วิธีนี้แม้จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ก็ใช้เวลามากที่สุดเหมือนกัน หลายคนยังไม่ทันจะได้ปลุกสายเลือดในตัวก็แก่ตายไปก่อนแล้ว

วิธีที่ 2 ตรวจสอบถึงที่มาที่ไปของสายเลือดที่สืบทอดมาให้แน่ชัดแล้วหายามากิน พลังของยาจะสามารถช่วยปลุกสายเลือดในตัวได้

วิธีที่ 3 ต้องเป็นคนที่เคยผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายหรือถูกพิษร้ายเข้าร่าง เคยมียอดฝีมือคนหนึ่งถูกศัตรูแทงเจ็ดสิบกว่าแผลถึงจะสามารถปลุกสายเลือดในตัวได้สำเร็จ ส่วนอีกคนถูกศัตรูลอบวางยาพิษจนเลือดไหลออกมาจากเจ็ดทวาร หัวใจหยุดเต้นไปสามวันแต่สุดท้ายก็ฟื้นคืนชีพกลับมาพร้อมกับสายเลือดมังกรที่ถูกปลุกขึ้นเป็นที่เรียบร้อย…”

จางเซวียนนึกสักพักก็มีหนังสือเล่มหนึ่งลอยขึ้นมาในหัวของเขาทันที ซึ่งในหนังสือเล่มนั้นมีการจดบันทึกวิธีการปลุกสายเลือดในตัวมนุษย์อยู่ จางเซวียนเปิดหน้าหนังสืออ่านอย่างจริงจัง

วิธีที่ 1 กับ 2 ยังพอว่า แต่ไอ้วิธีที่ 3 นี่มันอะไรกันเนี่ย… ใช้ความเป็นความตายหรือถูกพิษร้ายเข้าร่าง ถูกแทงเจ็ดสิบแผล ถูกวางยาจนเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด… แล้วถ้าปลุกไม่สำเร็จล่ะ เจ้าตัวไม่ต้องตายไปจริงๆ เลยหรือ?

“มีเพียงวิธีที่ 2 ที่ใช้ได้” จางเซวียนลูบหน้าผาก

วิธีที่ 3 ทำตามไม่ได้เด็ดขาด มีเวลาแค่ครึ่งเดือน ส่วนวิธีที่ 1 ก็ดันใช้เวลามากเกินไป จางเซวียนคิดไปคิดมาก็สรุปได้ว่ามีเพียงวิธีที่ 2 ที่เหมาะสมที่สุด

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นลองไปที่สมาพันธ์นักปรุงยาหาข้อมูลดูหน่อยดีกว่า ไม่แน่ว่าอาจจะมียาที่สามารถใช้ปลุกสายเลือดมังกรบรรพกาลของหยวนเทาและรักษาโรคพลังปราณหยินบริสุทธิ์ของจ้าวหย่าให้หายขาดได้”

จางเซวียนลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องเรียนทันที

จ้าวหย่าและหยวนเทาล้วนเป็นคนที่มีความพิเศษในตัว หากสามารถช่วยปลุกพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างของพวกเขาออกมาได้ พวกเขาจะต้องกลายเป็นยอดฝีมือที่ไม่ด้อยไปกว่าใครแน่

ทุกๆ กลุ่มอาชีพต่างก็มีสมาพันธ์เป็นของตัวเอง อาทิ สมาพันธ์คณาจารย์ สมาพันธ์ช่างตีอาวุธ สมาพันธ์นักวางค่ายกล และสมาพันธ์นักฝึกสัตว์…

แน่นอน นักปรุงยาก็มีสมาพันธ์เช่นกัน

ในฐานะของอาชีพที่มีความพิเศษในตัว แม้ว่าอาชีพนักปรุงยาจะมีเกียรติไม่เท่าอาชีพอาจารย์ แต่ก็เป็นที่เคารพของคนในสังคมอย่างสูง มีคนต้องพึ่งพาพวกเขาอยู่มาก เมื่อมีการฝึกวรยุทธย่อมต้องมีการได้รับบาดเจ็บ หรือไม่ก็กลุ่มคนที่อยากจะบรรลุเคล็ดวิชา ทุกคนล้วนต้องพึ่งพานักปรุงยาด้วยกันทั้งนั้น

ยาที่เหล่านักปรุงยาปรุงขึ้น สามารถช่วยให้ผู้ฝึกวรยุทธบรรลุเคล็ดวิชาได้เร็วกว่าธรรมดา ด้วยเหตุนี้ สมาพันธ์นักปรุงยาจึงมีคนแวะเวียนไปมาหาสู่ไม่ขาดสาย ทุกวันจะมีคนมากมายเดินทางไปซื้อยาและขอคำปรึกษาเรื่องการฝึกวรยุทธต่างๆ

จางเซวียนคนเก่าไม่เคยไปที่สมาพันธ์นักปรุงยามาก่อน แต่ด้วยชื่อเสียงอันโด่งดังของสมาพันธ์ ทำให้เขาพอรู้ตำแหน่งและสถานที่ตั้งของสมาพันธ์นักปรุงยา

ออกจากประตูโรงเรียนแล้วเดินตรงไปอีกสองชั่วโมงก็ถึง

อาคารของสมาพันธ์นักปรุงยามีขนาดใหญ่โตมโหฬาร มองไกลๆ เหมือนกับโบสถ์หลังหนึ่ง บนประตูมีแผ่นป้ายลายมังกรที่เขียนด้วยตัวอักษรประโยคหนึ่งว่า ‘สมาพันธ์นักปรุงยา’

จางเซวียนไม่รอช้า เขาก้าวเข้าไปด้านในทันที

พอเข้าไปในตัวอาคารก็เจอกับห้องโถงขนาดใหญ่ มีคนเดินไปมาอย่างแน่นหนาคึกคัก

“ถ้าอยากจะเรียนรู้วิธีการปลุกสายเลือดมังกรบรรพกาลและการรักษาโรคพลังปราณหยินบริสุทธิ์ คงต้องไปถามนักปรุงยา หรือไม่ก็หาตำราอ่านเอง” จางเซวียนมาที่นี่ในครั้งนี้ เป้าหมายหลักของเขาคือมาหาข้อมูลก่อน ไม่ได้คิดจะมาซื้อยา

โดยส่วนตัวแล้ว จางเซวียนไม่รู้จักนักปรุงยาเลยสักคน ดังนั้นหากจะเดินถามนักปรุงยาคนนั้นคนนี้ แล้วให้พวกเขามาชี้แนะอาจจะเป็นการไม่เหมาะสม ต่างฝ่ายต่างเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน เขาจะมั่นใจได้อย่างไรว่านักปรุงยาที่เจอ คนไหนจะมีความรู้ด้านนี้จริงๆ ก็สายเลือดมังกรบรรพกาลกับโรคพลังปราณหยินบริสุทธิ์เป็นสิ่งที่มีความพิเศษและเฉพาะอย่างมาก

ถ้าเป็นการหาตำรามาอ่านเอง สำหรับคนทั่วไป การอ่านหนังสือเพื่อค้นคว้าหาสิ่งที่มีประโยชน์ที่ตนต้องการจริงๆ เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก แต่สำหรับจางเซวียน เขามีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ในหัว เขาสามารถหาข้อมูลที่มีประโยชน์ที่เขาต้องการได้อย่างง่ายดาย

เมื่อจางเซวียนตัดสินใจแล้ว ก็ตั้งหน้าเดินตรงไปที่หน้าโต๊ะรับแขกของสมาพันธ์ทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!