ตอนที่ 134 : นานกว่าหนึ่งนาที
ในที่สุด…
หัวหน้า ผมรอคำตอบนี้มานานแล้ว
ไคลน์รีบผงกศีรษะหงึกหงัก
“ใช่ครับ ผมรู้สึกดีขึ้นหลังจากแวะสโมสรพยากรณ์ และมั่นใจอย่างมากกว่าหากเข้ารับการทดสอบจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้ ตัวผมสามารถสอบผ่านได้อย่างไม่ยากเย็น อธิบายไม่ถูกเหมือนกันครับ มันเป็นความมั่นใจที่เอ่อล้นจากร่างกาย”
เมื่อตระหนักว่าคำพูดของตนยังค่อนข้างคลุมเครือ ชายหนุ่มรีบเสริม
“บางที ชื่อของโอสถอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะนับตั้งแต่ผมสวมบทบาทเป็นนักทำนายตามชื่อ และปฏิบัติตัวให้อยู่ในกรอบกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูราบรื่นไปเสียหมด ปัจจุบัน ผมสามารถเปลี่ยนวิธีเปิดใช้เนตรวิญญาณให้ไม่เป็นที่ผิดสังเกตของคนรอบข้างได้แล้ว”
ดันน์พลันขมวดคิ้ว มันรีบก้มศีรษะลงพร้อมกับทำสีหน้าครุ่นคิด
“ชื่อของโอสถ…”
ผ่านไปราวสิบวินาทีจึงเงยหน้ามองไคลน์
“คุณต้องการกลับไปแจ้งครอบครัวก่อนไหม เพราะอันที่จริง วันอาทิตย์ช่วงบ่ายถึงเย็นเป็นเวลาพักผ่อนของคุณ หลังจากจ้องเข้าเวรเฝ้าประตูยานิสตลอดทั้งคืน”
เมื่อคำนึงถึงเรื่องที่อลิซาเบธเป็นเพื่อนสนิทของน้องสาว รวมถึงคำมั่นสัญญา ว่าจะช่วยสะสางปัญหาให้เธอภายในหนึ่งสัปดาห์
ไคลน์รีบตอบโดยไม่ลังเล
“พวกเราไม่ควรเสียเวลามากกว่านี้ ให้รถม้าอ้อมไปถนนดารารัตน์ดีกว่าครับ”
“ตกลง คุณไปแจ้งเรื่องกับฟราย ส่วนผมต้องเขียนเอกสารเบิกใช้งาน 3-0782 ก่อน”
ดันน์พูดพลางชี้นิ้วไปยังห้องฝั่งตรงข้ามในแนวทแยง
ฟรายเป็นผู้เก็บซากศพ เรี่ยวแรงของมันมิได้เหลือเฟือตลอดทั้งวันเหมือนผู้ไร้หลับ จึงต้องหาโอกาสงีบทุกครั้งเมื่อมีเวลาว่างเขียนเอกสารเอง
เซ็นอนุมัติเอง
และเดินไปหยิบสิ่งของด้วยตัวเอง…
หัวหน้าครับ ระบบรายการของเหยี่ยวราตรีไม่บกพร่องไปหน่อยหรือ
ไคลน์รำพัน
หลังจากชายหนุ่มเคาะห้องนอนสำหรับเจ้าหน้าที่เหยี่ยวราตรีสามครั้ง ฟรายเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าสุดฉงน ปราศจากการปิดบังทางอารมณ์
“มีอะไรหรือ?”
ขณะงีบ มันย่อมไม่ได้หวีผมเผ้า เสื้อผ้ายับย่นหลายจุด แทบไม่หลงเหลือบรรยากาศสุดเย็นชาตามปรกติ
ถึงอย่างนั้น ภาพลักษณ์ฟรายก็ไม่ต่างจากคนตายที่เพิ่งคลานออกจากโลงศพ
“มีคดีเกี่ยวกับวิญญาณอาฆาต หัวหน้าต้องการพลังของคุณ”
“ตกลง”
ฟรายเลื่อนมือขึ้นมาสางเส้นผมและจัดระเบียบร่างกายให้เรียบร้อย บรรยากาศเย็นชากึ่งขี้เก็กกลับมาอีกครั้ง
หลังจากฟรายแต่งตัวเสร็จ สองบุรุษเดินไปนั่งรอที่ห้องรับแขกของบริษัทหนามทมิฬบรรยากาศรอบตัวเริ่มอุ่นขึ้นหลังจากผ่านไปราวเจ็ดถึงแปดนาที สาเหตุน่าจะมาจากแสงแดดยามบ่ายที่ส่องลอดผ่านหน้าต่าง
โดยไม่ปล่อยให้รอนาน ดันน์·สมิทเดินออกจากฉากกั้นพร้อมกับถือตราสัญญาลักษณ์โบราณไว้ในมือข้างหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่ประมาณครึ่งกำปั้นผู้ใหญ่
ตราดังกล่าวมีสีทองเข้ม กึ่งกลางสลักรูปทองดวงอาทิตย์และสัญญาลักษณ์เส้นตรงลากยาวไปจนถึงขอบ
ของวิเศษรหัส 3-0782…เดิมที สิ่งนี้เคยเป็นสมบัติของสาธารณรัฐอินทิสมาก่อน
ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันที่บิดเบือน
สาธารณะรัฐอินทิสถูกจักรพรรดิโรซายล์เปลี่ยนระบอบการปกครองจากจักรวรรดิเป็นสาธารณะรัฐ ก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นจักรวรรดิในภายหลัง แต่ปัจจุบัน ทางรัฐบาลอินทิสได้เปลี่ยนกลับเป็นสาธารณรัฐตามเดิม
อินทิสตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกของทวีปเหนือ พรมแดนติดกับอาณาจักรโลเอ็นหลายจุดเช่นรัฐเลียบทะเลและเทือกเขาโฮนาซิส
นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งชาติ ศาสนาหลักของจักรวรรดิอินทิสคือเทพสุริยันเจิดจรัสมาตลอด จนกระทั่งเทพแห่งช่างฝีมือถือกำเนิดขึ้น โบสถ์สุริยันเจิดจรัสได้พยายามกีดกันโบสถ์แห่งช่างฝีมือหนักหน่วงทุกวิถีทางแต่ความตั้งใจก็ไม่บรรลุผล จนท้ายที่สุด โบสถ์แห่งช่างฝีมืออ้างว่าได้รับสารจากองค์เทพโดยตรงและสถาปนาตัวเองกลายเป็นโบสถ์แห่งจักรกลไอน้ำ พร้อมกับเปลี่ยนพระนามศาสดาเป็นเทพแห่งจักรกลไอน้ำ
อย่างไรตาม ศาสนาหลักประจำชาติยังคงเป็นโบสถ์สุริยันเจิดจรัส ถึงขั้นเรียกขานชาติตัวเองว่า ‘จักรวรรดิแห่งอาทิตย์’
“ได้เวลาออกเดินทางแล้ว ฟราย คงต้องรบกวนคุณช่วยขับรถม้าแล้ว ซีซาร์คงทนผลข้างเคียงของ 3-0782 ไม่ไหว”
ดันน์มอบคำสั่งอย่างใจเย็น
ซีซาร์·ฟรานซิสคือเจ้าหน้าที่ฝ่าพลเรือนของเหยี่ยวราตรี คอยดูแลการจัดซื้อจัดเก็บพัสดุเข้าคลัง ขณะเดียวกันก็รับหน้าที่เป็นพลขับรถม้า
แต่ผลข้างเคียงของ 3-0782 คนธรรมดาไม่สามารถเข้าใกล้ภายในรัศมี สิบห้าเมตรได้นานกว่าหนึ่งชั่วโมง
หากไคลน์เข้าใจผิด จากถนนซุตแลนไปยังหมู่บ้านลามุดต้องใช้เวลาเดินทางร่วมสองชั่วโมงครึ่ง ยังไม่นับรวมการอ้อมไปถนนดารารัตน์ก่อน
“ตกลงครับ”
ฟรายไม่คัดค้าน เพียงก้มหน้าตรวจสอบว่าตรหลงลืมอุปกรณ์สำคัญใดหรือไม่
…
ขณะยอดแหลมของวิหารหมู่บ้านถูกฉาบด้วยแสงทองอร่ามจากดวงตะวัน ในที่สุดคณะเหยี่ยวราตรีก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านลามุด
หมู่บ้านลามุดตั้งอยู่ทางชายขอบฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองทิงเก็น สถาปัตยกรรมของอาคารหลายหลังมีลักษณะเก่าแก่คล้ายกับสมัยก่อนยุคไอน้ำ จำนวนโรงงานอุตสาหกรรมแทบไม่ปรากฏ มีเพียงค้าขายกับหมู่บ้านข้างเคียงเล็กน้อย
เมื่อจอดรถม้า ดันน์เหลือบมองร้านทำผมฝั่งตรงข้ามก่อนจะหันกลับมาพูด
“ผมถามคนในก้องที่มาแล้ว การเดินทางเท้าไปยังซากปราสาทบนภูเขาจะใช้เวลาเพียงสิบห้านาที กล่าวกันว่า ที่นั่นเคยเป็นปราสาทของขุนนางในยุคสมัยที่สี่มาก่อน”
“อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น คำอธิบายของชาวบ้านเลือนรางราวกับเป็นเพียงตำนานท้องถิ่น”
“ตกลงครับ ถ้าอย่างนั้น พวกเราควรรีบสะสางคดีให้เสร็จก่อนมืด แล้วค่อยกลับมาพักก่อนภายในหมู่บ้าน ผลัดเวรกันเฝ้า 3-0782 ให้พ้นการรัศมีชาวบ้านทั่วไป”
ผ่านไปแล้วสามชั่วโมงนับตั้งแต่ดันน์·สมิทหยิบ 3-0782 ออกจากประตูยานิส ขีดจำกัดของผู้วิเศษคือหกชั่วโมง คงเป็นการดีหากสะสางปัญหาให้เรียบร้อยก่อนครบกำหนด เวลาที่เหลือจะได้ใช้สลับกันฟื้นฟูร่างกาย
“ตกลง”
ฟรายตอบสั้นห้วน
“ผมไม่คัดค้าน” ไคลน์กล่าวขณะล้วงมือเข้ากระเป๋า มันใช้ปลายนิ้วสัมผัสยันต์หลับใหลและยันต์สยบวิญญาณด้วยสีหน้าประหม่า
เหยี่ยวราตรีสามคนในเสื้อกันลมสีดำ พวกมันเดินตรงไปยังภูเขาโดยใช้ถนนสายหลักของหมู่บ้าน เมื่อถึงทางแยก ถนนเส้นใหม่ตรงหน้าถูกปกคลุมด้วยวัชพืชและพุ่มไม้ทึบนานาชาติ แต่ก็ยังเหลือพื้นที่กว้างพอให้รถม้าสองคันแล่นผ่านพร้อมกัน
เดินเท้าต่อไปไม่นาน ทั้งสามเริ่มมองเห็นกำแพงเสื่อมโทรมด้านนอกปราสาทเก่า ผนังหินยังคงสภาพเดิมไว้หลายส่วน พืชสีเขียวปกคลุมเลื้อยชอนไชทั่ว แต่ด้านในเริ่มปรากฏจุดด่างดำของการผุพังให้เห็น
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ไคลน์พลันเย็นสันหลังวาบ เส้นขนผุดตั้งชันทั่วร่าง
“มีวิญญาณอาฆาตอยู่จริง”
ฟรานกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะมันยืนเพ่งพิจารณาปราสาทโบราณ
ดันน์ชำเลืองไปด้านข้าง สายตาจ้องมองสมาชิกเหยี่ยวราตรีคนล่าสุดซึ่งกำลังยืนตัวสั่น
มันอมยิ้มเล็กน้อย
“ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเรามีทั้ง 3-0782 และฟราย วิญญาณอาฆาตไม่มีทางก่อปัญหารุนแรงแน่นอน”
มือข้างหนึ่งถือปืนพกสั่งทำพิเศษ ส่วนอีกข้างถือตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันที่บิดเบือน ดันน์ย่างกรายไปใกล้ปราสาทโบราณที่คล้ายซากปรักหักพังด้วยมาดสุขุม
ไคลน์เดินตามใกล้ชิดด้านจากหลัง มันเตรียมพร้อมเหนี่ยวไกปืน แกว่งไม้ค้ำ หรือขว้างยันต์ใส่ศัตรูทุกเมื่อ
ดันน์หยุดยืนห่างจากปราสาทโบราณราวห้าเมตร รอบตัวมีคอกม้าผุพัง บ่อบาดาลเก่า รวมถึงอุปกรณ์จำเป็นชนิดอื่นในสภาพเสื่อมโทรม
ฟ้าวว!
ทันใดนั้น สายลมยะเยียบพัดผ่านด้วยบรรยากาศโหยหวนเจือความเศร้า ราวกับกำลังปฏิเสธแขกไม่ได้รับเชิญ
เหยี่ยวราตรีทั้งสามยังคงไม่หยุดฝีมือ เมื่อยิ่งเดินลึกเข้าไป บรรยากาศอบอุ่นและสดชื่นของภูเขาเริ่มเจือจางลง
ประตูทางเข้าหลักถูกทำลายจนไม่สามารถใช้การได้ ทั้งสามจึงต้องไต่กองหินและลอดตัวผ่านช่องว่างซากปรักหักพังด้านนอกแทน
พวกมันเดินย่างกรายเข้าไปในปราสาทด้วยฝีก้าวไม่เร่งร้อน
โถงทางเข้าปรากฏเศษซากเสาหินหลายต้น มอสสีเขียวปกคลุมผนังห้องอย่างถ้วนทั่วแทบทุกอณู สถาปัตยกรรมภายในกว้างขวางโอ่อ่า แต่หน้าต่างกลับคับแคบและติดตั้งในมุมค่อนข้างสูงแสงสว่างจึงส่องเข้ามาได้ไม่มากนัก ส่งผลให้บรรยากาศด้านในมืดสลัว
มีร่องรอยหลายแห่งระบุว่า ปราสาทหลังนี้คือสิ่งก่อสร้างท้ายยุคสมัยที่สี่ รวมถึงยังเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยที่ห้า
ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์อย่างไคลน์ตัดสินโดนใช้สัญชาตญาณและข้อมูลเนตรวิญญาณประกอบ
ทันใดนั้น บุคคลปริศนารูปร่างสูงใหญ่ พลันปรากฏตัวท่ามกลางกลุ่มหมอกสีดำเข้ม มันสวมชุดเกราะดำสนิทครบทุกส่วน ในมือถือดาบเล่มยักษ์ที่คนธรรมดาไม่มีทางยกไหว
คล้ายกับภาพความฝันของเอลิซาเบธที่ชายหนุ่มเคยเห็นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน จุดสีแดงสองดวงลอดผ่านช่องว่างหมวกเหล็กในลักษณะเย็นชา คล้ายกับอีกฝ่ายกำลังโมโหที่สามบุคคลบังอาจรุกล้ำปราสาทแห่งนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต
“พวกแกรบกวนการนอนของฉัน! บาปครั้งนี้ต้องชดใช้ด้วยเลือดเนื้อเท่านั้น”
เมื่อกล่าวจบ มันปรี่ประชิดตัวดันน์ด้วยความเร็วสูงพร้อมกับตวัดดาบใส่
ดันน์ถอยหลังหลบรวดเร็ว ก่อนจะยกมือเล็งและเหนี่ยวไกลูกโม่ส่วนกลับ
เคร้ง!
กลุ่มปราบมารมิอาจทะลวงผ่านชุดเกราะลวงตาดำสนิท เกิดเป็นเสียงกังวานกึกก้องอย่างผิดธรรมชาติ
ไคลน์และฟรายรีบกระโดดถอยไปคนละทางพร้อมกัน ฝ่ายหนึ่งยกปืนเล็งไปยังจุดแสงตรงดวงตาอัศวินเกราะดำ ก่อนจะลั่นไกยิงด้วยใบหน้าสุขุม
ส่วนเหยี่ยวราตรีอีกคนใช้พลังบางอย่างแปรเปลี่ยนดวงตาตนเองให้กลายเป็นสีเทาอมขาวจดจ้องเพ่งจิตไปยังวิญญาณอาฆาตโดยไม่กะพริบตา
อัศวินเกราะสีดำร้องคำรามด้วยโทสะ มันพุ่งกระโจนใส่ดันน์พลางเหวี่ยงดาบใหญ่ฟันกวาดเป็นแน่วแน่
โครม!
คมดาบหาได้ทำร้ายดันน์ แต่ส่งผลให้หัวหน้าเหยี่ยวราตรีลอยกระเด็น กระแทกผนังหินรุนแรงจนกระอักเลือดสดสีแดงฉาน
ตามด้วยเสียงหล่นตุบ
ของวิเศษรหัส 3-0782 หล่นลงบนพื้น
วิญญาณอาฆาตฉวยโอกาสใช้เท้าขวาตะบันเตะใส่ ‘ตราอันตราย’ จนกระเด็นออกปราสาทโบราณ
เป็นระยะทางเกินกว่าสิบห้าเมตร
ไคลน์ไม่กล้ายิงบุ่มบ่ามเนื่องจากเห็นอีกฝ่ายทนทานกระสุน มันกัดริมฝปากเจ็บใจพลางแสดงสีหน้ากระวนกระวาย คงเป็นการยากจะให้สงบสติขณะกำลังเผชิญเหตุวิกฤติตรงหน้า
ปัง!
ชายหนุ่มตัดสินใจลั่นกระสุนปราบมารใส่วิญญาณอาฆาตเดาสุ่ม ลูกตะกั่วเงินพุ่งกระแทกหมวกเหล็กจนเกิดประกายไฟแลบ แต่ก็ไม่เกิดความเสียหายชัดเจนเช่นเดิม
“ถุงมือขวา!”
ฟรายตะโกนเสียงสั่น บุรุษที่เคยมีบรรยากาศเย็นชาตลอดเวลา ยามนี้กลับแสดงท่าทีกระวนกระวาย
เมื่อกล่าวจบ ฟรายยกปืนเล็งไปยังถุงมือเหล็กข้างขวาของอัศวินเกราะดำ
ปัง! ปัง!ไคลน์ลั่นไกยิงตามคำบอกใบ้ของฟรายโดยไม่มั่วคิดสิ่งใดให้หนักสมอง สองบุรุษเหยี่ยวราตรีลงมือในจังหวะแทบพร้อมเพรียง
ในหนนี้ อีกฝ่ายไม่กล้าใช้เกราะเหล็กรับเหมือนก่อนหน้า มันรีบยกดาบใหญ่ปัดกระสุนสองนัดออกไปให้พ้นทางปัง!
วิญญาณอาฆาตกระโจนใส่ไคลน์ด้วยเร็วเหนือจินตนาการ ชายหนุ่มถูกกระแทกจนร่างกายเสียการทรงตัว
ขณะไคลน์กระเด็นถอยหลัง มันเห็นหน้าอกตนเองยุบลงและพร้อมกับกระอักเลือดคำใหญ่ทางปาก
ทว่า…ไคลน์กลับไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อยมิได้เกิดความรู้สึกด้านลบใดๆ ทั้งนั้น
คล้ายกับฉุกคิดบางสิ่งได้ ชายหนุ่มรีบกลิ้งตัวตามน้ำพลางแสร้งกรีดร้องแหกปาก
และเป็นดังคาด ปราสาทโบราณ วิญญาณอาฆาต รวมถึงเสาหินของห้องโถง ทุกสิ่งในการมองเห็นเริ่มพังครืน กำแพงผนังที่ทีมอสเขียวปกคลุมถล่มลงจนฝุ่นควันคละคลุ้งถัดมา ภาพตรงหน้าไคลน์พลันแตกละเอียดคล้ายเศษกระจก กลุ่มหมอกดำหนาแน่นจะบดบังสายตัวชั่วขณะ
ฉากเหตุการณ์ทั้งหมดถูกย้อนกลับไปในช่วงก่อนหน้า เมื่อครั้งที่อัศวินเกราะดำเพิ่งปรากฏตัว
ความต่างเพียงจุดเดียวคือ ดันน์·สมิทกำลังก้มศีรษะลงพลางกำหมัดสองข้างแน่น นัยน์ตาที่เคยเทาหม่นกลายเป็นดำสนิท จ้องมองวิญญาณอาฆาตไม่กะพริบใช่แล้ว…ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพียงความฝันที่ดันน์สร้างขึ้นมา มันดึงวิญญาณของไคลน์และฟรานเข้าไปพร้อมกัน
เพียงแต่ไคลน์ค่อนข้างพิเศษ ยังหลงเหลือสตินึกคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล และยังควบคุมร่างกายได้อย่างอิสระ
ไคลน์ทราบว่าร่างจริงของตนยังยืนห่างจากหัวหน้าเพียงสองเมตร และอีกฝ่ายมิได้กระอักเลือดหรือกรีดร้อง
ทันใดนั้น ดันน์เหยียดตัวยืนตรงอย่างผ่อนคลาย สายตายังคงมองไปยังดวงวิญญาณอาฆาตที่คิดฟันพวกตนด้วยดาบ
หัวหน้าเหยี่ยวราตรีกล่าวอย่างใจเย็น
“ครบหนึ่งนาทีแล้ว…”
เมื่อสิ้นเสียง วิญญาณอาฆาตพลันชะงักงันและส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ตามร่างกายผุดหมอกสีดำเข้มข้นหลายจุด คล้ายกับกำลังถูกชำระล้างหายไป
ไม่ว่าซอมบี้หรือวิญญาณ หากยังไม่กลายเป็นวิญญาณร้ายเต็มตัว ดวงจิตของพวกมันจะถูกปัดเป่าเมื่อยืนแช่ภายในรัศมี สิบห้าเมตรของ 3-0782 ครบหนี่งนาที
สุดยอด…!
หัวหน้า คุณแม่มอย่างเจ๋ง!
ไคลน์เหลือบมองด้านข้างด้วยสีหน้าสรรเสริญ มันเกือบแสดงท่าทีสะใจอย่างออกนอกหน้า
การสร้างฝันร้ายของหัวหน้าไม่ใช่เพื่อจัดการอีกฝ่าย แต่ใช้สำหรับถ่วงเวลาให้ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันแสดงผลครบกำหนด
บรรยากาศรอบตัวเริ่มกลับมาอบอุ่นและสดชื่นอีกครั้ง กลุ่มหมอกดำเข้มระเหยหายไปด้วยความเร็วสูง อากาศเย็นยะเยียบบางเบาลงทุกขณะ
เพียงไม่นาน ร่างอัศวินเกราะดำได้สลายกลายเป็นเงาโปร่งใส ก่อนจะกลมกลืนหายไปกับความว่างเปล่าในที่สุด
เคร้ง!
ถุงมือเหล็กสีดำหนี่งข้างหล่นกระทบพื้นหินปราสาท ผิวโลหะฉาบด้วยคราบไอเย็นสีขาว
ขณะไคลน์กำลังจะเตือนให้ดันน์อย่าลืมเก็บ ‘ไอเท็มดร็อป’ กลับไป พลังวิญญาณของมันพลันบิดเบี้ยวปั่นป่วนสถานหนัก
ไคลน์สัมผัสได้…บริเวณใกล้กับบันไดที่แบ่งแยกห้องโถงและห้องอาหารออกจากกัน ใครบางคนกำลังเรียกหาตนด้วยความรู้สึกทุกข์ทรมานรุนแรง!
……………………