Skip to content
Home » Blog » Lord of the Mysteries 134

Lord of the Mysteries 134

ตอนที่ 134 : นานกว่าหนึ่งนาที

ในที่สุด…

หัวหน้า ผมรอคำตอบนี้มานานแล้ว

ไคลน์รีบผงกศีรษะหงึกหงัก

“ใช่ครับ ผมรู้สึกดีขึ้นหลังจากแวะสโมสรพยากรณ์ และมั่นใจอย่างมากกว่าหากเข้ารับการทดสอบจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้ ตัวผมสามารถสอบผ่านได้อย่างไม่ยากเย็น อธิบายไม่ถูกเหมือนกันครับ มันเป็นความมั่นใจที่เอ่อล้นจากร่างกาย”

เมื่อตระหนักว่าคำพูดของตนยังค่อนข้างคลุมเครือ ชายหนุ่มรีบเสริม

“บางที ชื่อของโอสถอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะนับตั้งแต่ผมสวมบทบาทเป็นนักทำนายตามชื่อ และปฏิบัติตัวให้อยู่ในกรอบกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูราบรื่นไปเสียหมด ปัจจุบัน ผมสามารถเปลี่ยนวิธีเปิดใช้เนตรวิญญาณให้ไม่เป็นที่ผิดสังเกตของคนรอบข้างได้แล้ว”

ดันน์พลันขมวดคิ้ว มันรีบก้มศีรษะลงพร้อมกับทำสีหน้าครุ่นคิด

“ชื่อของโอสถ…”

ผ่านไปราวสิบวินาทีจึงเงยหน้ามองไคลน์

“คุณต้องการกลับไปแจ้งครอบครัวก่อนไหม เพราะอันที่จริง วันอาทิตย์ช่วงบ่ายถึงเย็นเป็นเวลาพักผ่อนของคุณ หลังจากจ้องเข้าเวรเฝ้าประตูยานิสตลอดทั้งคืน”

เมื่อคำนึงถึงเรื่องที่อลิซาเบธเป็นเพื่อนสนิทของน้องสาว รวมถึงคำมั่นสัญญา ว่าจะช่วยสะสางปัญหาให้เธอภายในหนึ่งสัปดาห์

ไคลน์รีบตอบโดยไม่ลังเล

“พวกเราไม่ควรเสียเวลามากกว่านี้ ให้รถม้าอ้อมไปถนนดารารัตน์ดีกว่าครับ”

“ตกลง คุณไปแจ้งเรื่องกับฟราย ส่วนผมต้องเขียนเอกสารเบิกใช้งาน 3-0782 ก่อน”

ดันน์พูดพลางชี้นิ้วไปยังห้องฝั่งตรงข้ามในแนวทแยง

ฟรายเป็นผู้เก็บซากศพ เรี่ยวแรงของมันมิได้เหลือเฟือตลอดทั้งวันเหมือนผู้ไร้หลับ จึงต้องหาโอกาสงีบทุกครั้งเมื่อมีเวลาว่างเขียนเอกสารเอง

เซ็นอนุมัติเอง

และเดินไปหยิบสิ่งของด้วยตัวเอง…

หัวหน้าครับ ระบบรายการของเหยี่ยวราตรีไม่บกพร่องไปหน่อยหรือ

ไคลน์รำพัน

หลังจากชายหนุ่มเคาะห้องนอนสำหรับเจ้าหน้าที่เหยี่ยวราตรีสามครั้ง ฟรายเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าสุดฉงน ปราศจากการปิดบังทางอารมณ์

“มีอะไรหรือ?”

ขณะงีบ มันย่อมไม่ได้หวีผมเผ้า เสื้อผ้ายับย่นหลายจุด แทบไม่หลงเหลือบรรยากาศสุดเย็นชาตามปรกติ

ถึงอย่างนั้น ภาพลักษณ์ฟรายก็ไม่ต่างจากคนตายที่เพิ่งคลานออกจากโลงศพ

“มีคดีเกี่ยวกับวิญญาณอาฆาต หัวหน้าต้องการพลังของคุณ”

“ตกลง”

ฟรายเลื่อนมือขึ้นมาสางเส้นผมและจัดระเบียบร่างกายให้เรียบร้อย บรรยากาศเย็นชากึ่งขี้เก็กกลับมาอีกครั้ง

หลังจากฟรายแต่งตัวเสร็จ สองบุรุษเดินไปนั่งรอที่ห้องรับแขกของบริษัทหนามทมิฬบรรยากาศรอบตัวเริ่มอุ่นขึ้นหลังจากผ่านไปราวเจ็ดถึงแปดนาที สาเหตุน่าจะมาจากแสงแดดยามบ่ายที่ส่องลอดผ่านหน้าต่าง

โดยไม่ปล่อยให้รอนาน ดันน์·สมิทเดินออกจากฉากกั้นพร้อมกับถือตราสัญญาลักษณ์โบราณไว้ในมือข้างหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่ประมาณครึ่งกำปั้นผู้ใหญ่

ตราดังกล่าวมีสีทองเข้ม กึ่งกลางสลักรูปทองดวงอาทิตย์และสัญญาลักษณ์เส้นตรงลากยาวไปจนถึงขอบ

ของวิเศษรหัส 3-0782…เดิมที สิ่งนี้เคยเป็นสมบัติของสาธารณรัฐอินทิสมาก่อน

ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันที่บิดเบือน

สาธารณะรัฐอินทิสถูกจักรพรรดิโรซายล์เปลี่ยนระบอบการปกครองจากจักรวรรดิเป็นสาธารณะรัฐ ก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นจักรวรรดิในภายหลัง แต่ปัจจุบัน ทางรัฐบาลอินทิสได้เปลี่ยนกลับเป็นสาธารณรัฐตามเดิม

อินทิสตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกของทวีปเหนือ พรมแดนติดกับอาณาจักรโลเอ็นหลายจุดเช่นรัฐเลียบทะเลและเทือกเขาโฮนาซิส

นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งชาติ ศาสนาหลักของจักรวรรดิอินทิสคือเทพสุริยันเจิดจรัสมาตลอด จนกระทั่งเทพแห่งช่างฝีมือถือกำเนิดขึ้น โบสถ์สุริยันเจิดจรัสได้พยายามกีดกันโบสถ์แห่งช่างฝีมือหนักหน่วงทุกวิถีทางแต่ความตั้งใจก็ไม่บรรลุผล จนท้ายที่สุด โบสถ์แห่งช่างฝีมืออ้างว่าได้รับสารจากองค์เทพโดยตรงและสถาปนาตัวเองกลายเป็นโบสถ์แห่งจักรกลไอน้ำ พร้อมกับเปลี่ยนพระนามศาสดาเป็นเทพแห่งจักรกลไอน้ำ

อย่างไรตาม ศาสนาหลักประจำชาติยังคงเป็นโบสถ์สุริยันเจิดจรัส ถึงขั้นเรียกขานชาติตัวเองว่า ‘จักรวรรดิแห่งอาทิตย์’

“ได้เวลาออกเดินทางแล้ว ฟราย คงต้องรบกวนคุณช่วยขับรถม้าแล้ว ซีซาร์คงทนผลข้างเคียงของ 3-0782 ไม่ไหว”

ดันน์มอบคำสั่งอย่างใจเย็น

ซีซาร์·ฟรานซิสคือเจ้าหน้าที่ฝ่าพลเรือนของเหยี่ยวราตรี คอยดูแลการจัดซื้อจัดเก็บพัสดุเข้าคลัง ขณะเดียวกันก็รับหน้าที่เป็นพลขับรถม้า

แต่ผลข้างเคียงของ 3-0782 คนธรรมดาไม่สามารถเข้าใกล้ภายในรัศมี สิบห้าเมตรได้นานกว่าหนึ่งชั่วโมง

หากไคลน์เข้าใจผิด จากถนนซุตแลนไปยังหมู่บ้านลามุดต้องใช้เวลาเดินทางร่วมสองชั่วโมงครึ่ง ยังไม่นับรวมการอ้อมไปถนนดารารัตน์ก่อน

“ตกลงครับ”

ฟรายไม่คัดค้าน เพียงก้มหน้าตรวจสอบว่าตรหลงลืมอุปกรณ์สำคัญใดหรือไม่

ขณะยอดแหลมของวิหารหมู่บ้านถูกฉาบด้วยแสงทองอร่ามจากดวงตะวัน ในที่สุดคณะเหยี่ยวราตรีก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านลามุด

หมู่บ้านลามุดตั้งอยู่ทางชายขอบฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองทิงเก็น สถาปัตยกรรมของอาคารหลายหลังมีลักษณะเก่าแก่คล้ายกับสมัยก่อนยุคไอน้ำ จำนวนโรงงานอุตสาหกรรมแทบไม่ปรากฏ มีเพียงค้าขายกับหมู่บ้านข้างเคียงเล็กน้อย

เมื่อจอดรถม้า ดันน์เหลือบมองร้านทำผมฝั่งตรงข้ามก่อนจะหันกลับมาพูด

“ผมถามคนในก้องที่มาแล้ว การเดินทางเท้าไปยังซากปราสาทบนภูเขาจะใช้เวลาเพียงสิบห้านาที กล่าวกันว่า ที่นั่นเคยเป็นปราสาทของขุนนางในยุคสมัยที่สี่มาก่อน”

“อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น คำอธิบายของชาวบ้านเลือนรางราวกับเป็นเพียงตำนานท้องถิ่น”

“ตกลงครับ ถ้าอย่างนั้น พวกเราควรรีบสะสางคดีให้เสร็จก่อนมืด แล้วค่อยกลับมาพักก่อนภายในหมู่บ้าน ผลัดเวรกันเฝ้า 3-0782 ให้พ้นการรัศมีชาวบ้านทั่วไป”

ผ่านไปแล้วสามชั่วโมงนับตั้งแต่ดันน์·สมิทหยิบ 3-0782 ออกจากประตูยานิส ขีดจำกัดของผู้วิเศษคือหกชั่วโมง คงเป็นการดีหากสะสางปัญหาให้เรียบร้อยก่อนครบกำหนด เวลาที่เหลือจะได้ใช้สลับกันฟื้นฟูร่างกาย

“ตกลง”

ฟรายตอบสั้นห้วน

“ผมไม่คัดค้าน” ไคลน์กล่าวขณะล้วงมือเข้ากระเป๋า มันใช้ปลายนิ้วสัมผัสยันต์หลับใหลและยันต์สยบวิญญาณด้วยสีหน้าประหม่า

เหยี่ยวราตรีสามคนในเสื้อกันลมสีดำ พวกมันเดินตรงไปยังภูเขาโดยใช้ถนนสายหลักของหมู่บ้าน เมื่อถึงทางแยก ถนนเส้นใหม่ตรงหน้าถูกปกคลุมด้วยวัชพืชและพุ่มไม้ทึบนานาชาติ แต่ก็ยังเหลือพื้นที่กว้างพอให้รถม้าสองคันแล่นผ่านพร้อมกัน

เดินเท้าต่อไปไม่นาน ทั้งสามเริ่มมองเห็นกำแพงเสื่อมโทรมด้านนอกปราสาทเก่า ผนังหินยังคงสภาพเดิมไว้หลายส่วน พืชสีเขียวปกคลุมเลื้อยชอนไชทั่ว แต่ด้านในเริ่มปรากฏจุดด่างดำของการผุพังให้เห็น

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ไคลน์พลันเย็นสันหลังวาบ เส้นขนผุดตั้งชันทั่วร่าง

“มีวิญญาณอาฆาตอยู่จริง”

ฟรานกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะมันยืนเพ่งพิจารณาปราสาทโบราณ

ดันน์ชำเลืองไปด้านข้าง สายตาจ้องมองสมาชิกเหยี่ยวราตรีคนล่าสุดซึ่งกำลังยืนตัวสั่น

มันอมยิ้มเล็กน้อย

“ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเรามีทั้ง 3-0782 และฟราย วิญญาณอาฆาตไม่มีทางก่อปัญหารุนแรงแน่นอน”

มือข้างหนึ่งถือปืนพกสั่งทำพิเศษ ส่วนอีกข้างถือตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันที่บิดเบือน ดันน์ย่างกรายไปใกล้ปราสาทโบราณที่คล้ายซากปรักหักพังด้วยมาดสุขุม

ไคลน์เดินตามใกล้ชิดด้านจากหลัง มันเตรียมพร้อมเหนี่ยวไกปืน แกว่งไม้ค้ำ หรือขว้างยันต์ใส่ศัตรูทุกเมื่อ

ดันน์หยุดยืนห่างจากปราสาทโบราณราวห้าเมตร รอบตัวมีคอกม้าผุพัง บ่อบาดาลเก่า รวมถึงอุปกรณ์จำเป็นชนิดอื่นในสภาพเสื่อมโทรม

ฟ้าวว!

ทันใดนั้น สายลมยะเยียบพัดผ่านด้วยบรรยากาศโหยหวนเจือความเศร้า ราวกับกำลังปฏิเสธแขกไม่ได้รับเชิญ

เหยี่ยวราตรีทั้งสามยังคงไม่หยุดฝีมือ เมื่อยิ่งเดินลึกเข้าไป บรรยากาศอบอุ่นและสดชื่นของภูเขาเริ่มเจือจางลง

ประตูทางเข้าหลักถูกทำลายจนไม่สามารถใช้การได้ ทั้งสามจึงต้องไต่กองหินและลอดตัวผ่านช่องว่างซากปรักหักพังด้านนอกแทน

พวกมันเดินย่างกรายเข้าไปในปราสาทด้วยฝีก้าวไม่เร่งร้อน

โถงทางเข้าปรากฏเศษซากเสาหินหลายต้น มอสสีเขียวปกคลุมผนังห้องอย่างถ้วนทั่วแทบทุกอณู สถาปัตยกรรมภายในกว้างขวางโอ่อ่า แต่หน้าต่างกลับคับแคบและติดตั้งในมุมค่อนข้างสูงแสงสว่างจึงส่องเข้ามาได้ไม่มากนัก ส่งผลให้บรรยากาศด้านในมืดสลัว

มีร่องรอยหลายแห่งระบุว่า ปราสาทหลังนี้คือสิ่งก่อสร้างท้ายยุคสมัยที่สี่ รวมถึงยังเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยที่ห้า

ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์อย่างไคลน์ตัดสินโดนใช้สัญชาตญาณและข้อมูลเนตรวิญญาณประกอบ

ทันใดนั้น บุคคลปริศนารูปร่างสูงใหญ่ พลันปรากฏตัวท่ามกลางกลุ่มหมอกสีดำเข้ม มันสวมชุดเกราะดำสนิทครบทุกส่วน ในมือถือดาบเล่มยักษ์ที่คนธรรมดาไม่มีทางยกไหว

คล้ายกับภาพความฝันของเอลิซาเบธที่ชายหนุ่มเคยเห็นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน จุดสีแดงสองดวงลอดผ่านช่องว่างหมวกเหล็กในลักษณะเย็นชา คล้ายกับอีกฝ่ายกำลังโมโหที่สามบุคคลบังอาจรุกล้ำปราสาทแห่งนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต

“พวกแกรบกวนการนอนของฉัน! บาปครั้งนี้ต้องชดใช้ด้วยเลือดเนื้อเท่านั้น”

เมื่อกล่าวจบ มันปรี่ประชิดตัวดันน์ด้วยความเร็วสูงพร้อมกับตวัดดาบใส่

ดันน์ถอยหลังหลบรวดเร็ว ก่อนจะยกมือเล็งและเหนี่ยวไกลูกโม่ส่วนกลับ

เคร้ง!

กลุ่มปราบมารมิอาจทะลวงผ่านชุดเกราะลวงตาดำสนิท เกิดเป็นเสียงกังวานกึกก้องอย่างผิดธรรมชาติ

ไคลน์และฟรายรีบกระโดดถอยไปคนละทางพร้อมกัน ฝ่ายหนึ่งยกปืนเล็งไปยังจุดแสงตรงดวงตาอัศวินเกราะดำ ก่อนจะลั่นไกยิงด้วยใบหน้าสุขุม

ส่วนเหยี่ยวราตรีอีกคนใช้พลังบางอย่างแปรเปลี่ยนดวงตาตนเองให้กลายเป็นสีเทาอมขาวจดจ้องเพ่งจิตไปยังวิญญาณอาฆาตโดยไม่กะพริบตา

อัศวินเกราะสีดำร้องคำรามด้วยโทสะ มันพุ่งกระโจนใส่ดันน์พลางเหวี่ยงดาบใหญ่ฟันกวาดเป็นแน่วแน่

โครม!

คมดาบหาได้ทำร้ายดันน์ แต่ส่งผลให้หัวหน้าเหยี่ยวราตรีลอยกระเด็น กระแทกผนังหินรุนแรงจนกระอักเลือดสดสีแดงฉาน

ตามด้วยเสียงหล่นตุบ

ของวิเศษรหัส 3-0782 หล่นลงบนพื้น

วิญญาณอาฆาตฉวยโอกาสใช้เท้าขวาตะบันเตะใส่ ‘ตราอันตราย’ จนกระเด็นออกปราสาทโบราณ

เป็นระยะทางเกินกว่าสิบห้าเมตร

ไคลน์ไม่กล้ายิงบุ่มบ่ามเนื่องจากเห็นอีกฝ่ายทนทานกระสุน มันกัดริมฝปากเจ็บใจพลางแสดงสีหน้ากระวนกระวาย คงเป็นการยากจะให้สงบสติขณะกำลังเผชิญเหตุวิกฤติตรงหน้า

ปัง!

ชายหนุ่มตัดสินใจลั่นกระสุนปราบมารใส่วิญญาณอาฆาตเดาสุ่ม ลูกตะกั่วเงินพุ่งกระแทกหมวกเหล็กจนเกิดประกายไฟแลบ แต่ก็ไม่เกิดความเสียหายชัดเจนเช่นเดิม

“ถุงมือขวา!”

ฟรายตะโกนเสียงสั่น บุรุษที่เคยมีบรรยากาศเย็นชาตลอดเวลา ยามนี้กลับแสดงท่าทีกระวนกระวาย

เมื่อกล่าวจบ ฟรายยกปืนเล็งไปยังถุงมือเหล็กข้างขวาของอัศวินเกราะดำ

ปัง! ปัง!ไคลน์ลั่นไกยิงตามคำบอกใบ้ของฟรายโดยไม่มั่วคิดสิ่งใดให้หนักสมอง สองบุรุษเหยี่ยวราตรีลงมือในจังหวะแทบพร้อมเพรียง

ในหนนี้ อีกฝ่ายไม่กล้าใช้เกราะเหล็กรับเหมือนก่อนหน้า มันรีบยกดาบใหญ่ปัดกระสุนสองนัดออกไปให้พ้นทางปัง!

วิญญาณอาฆาตกระโจนใส่ไคลน์ด้วยเร็วเหนือจินตนาการ ชายหนุ่มถูกกระแทกจนร่างกายเสียการทรงตัว

ขณะไคลน์กระเด็นถอยหลัง มันเห็นหน้าอกตนเองยุบลงและพร้อมกับกระอักเลือดคำใหญ่ทางปาก

ทว่า…ไคลน์กลับไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อยมิได้เกิดความรู้สึกด้านลบใดๆ ทั้งนั้น

คล้ายกับฉุกคิดบางสิ่งได้ ชายหนุ่มรีบกลิ้งตัวตามน้ำพลางแสร้งกรีดร้องแหกปาก

และเป็นดังคาด ปราสาทโบราณ วิญญาณอาฆาต รวมถึงเสาหินของห้องโถง ทุกสิ่งในการมองเห็นเริ่มพังครืน กำแพงผนังที่ทีมอสเขียวปกคลุมถล่มลงจนฝุ่นควันคละคลุ้งถัดมา ภาพตรงหน้าไคลน์พลันแตกละเอียดคล้ายเศษกระจก กลุ่มหมอกดำหนาแน่นจะบดบังสายตัวชั่วขณะ

ฉากเหตุการณ์ทั้งหมดถูกย้อนกลับไปในช่วงก่อนหน้า เมื่อครั้งที่อัศวินเกราะดำเพิ่งปรากฏตัว

ความต่างเพียงจุดเดียวคือ ดันน์·สมิทกำลังก้มศีรษะลงพลางกำหมัดสองข้างแน่น นัยน์ตาที่เคยเทาหม่นกลายเป็นดำสนิท จ้องมองวิญญาณอาฆาตไม่กะพริบใช่แล้ว…ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพียงความฝันที่ดันน์สร้างขึ้นมา มันดึงวิญญาณของไคลน์และฟรานเข้าไปพร้อมกัน

เพียงแต่ไคลน์ค่อนข้างพิเศษ ยังหลงเหลือสตินึกคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล และยังควบคุมร่างกายได้อย่างอิสระ

ไคลน์ทราบว่าร่างจริงของตนยังยืนห่างจากหัวหน้าเพียงสองเมตร และอีกฝ่ายมิได้กระอักเลือดหรือกรีดร้อง

ทันใดนั้น ดันน์เหยียดตัวยืนตรงอย่างผ่อนคลาย สายตายังคงมองไปยังดวงวิญญาณอาฆาตที่คิดฟันพวกตนด้วยดาบ

หัวหน้าเหยี่ยวราตรีกล่าวอย่างใจเย็น

“ครบหนึ่งนาทีแล้ว…”

เมื่อสิ้นเสียง วิญญาณอาฆาตพลันชะงักงันและส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ตามร่างกายผุดหมอกสีดำเข้มข้นหลายจุด คล้ายกับกำลังถูกชำระล้างหายไป

ไม่ว่าซอมบี้หรือวิญญาณ หากยังไม่กลายเป็นวิญญาณร้ายเต็มตัว ดวงจิตของพวกมันจะถูกปัดเป่าเมื่อยืนแช่ภายในรัศมี สิบห้าเมตรของ 3-0782 ครบหนี่งนาที

สุดยอด…!

หัวหน้า คุณแม่มอย่างเจ๋ง!

ไคลน์เหลือบมองด้านข้างด้วยสีหน้าสรรเสริญ มันเกือบแสดงท่าทีสะใจอย่างออกนอกหน้า

การสร้างฝันร้ายของหัวหน้าไม่ใช่เพื่อจัดการอีกฝ่าย แต่ใช้สำหรับถ่วงเวลาให้ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันแสดงผลครบกำหนด

บรรยากาศรอบตัวเริ่มกลับมาอบอุ่นและสดชื่นอีกครั้ง กลุ่มหมอกดำเข้มระเหยหายไปด้วยความเร็วสูง อากาศเย็นยะเยียบบางเบาลงทุกขณะ

เพียงไม่นาน ร่างอัศวินเกราะดำได้สลายกลายเป็นเงาโปร่งใส ก่อนจะกลมกลืนหายไปกับความว่างเปล่าในที่สุด

เคร้ง!

ถุงมือเหล็กสีดำหนี่งข้างหล่นกระทบพื้นหินปราสาท ผิวโลหะฉาบด้วยคราบไอเย็นสีขาว

ขณะไคลน์กำลังจะเตือนให้ดันน์อย่าลืมเก็บ ‘ไอเท็มดร็อป’ กลับไป พลังวิญญาณของมันพลันบิดเบี้ยวปั่นป่วนสถานหนัก

ไคลน์สัมผัสได้…บริเวณใกล้กับบันไดที่แบ่งแยกห้องโถงและห้องอาหารออกจากกัน ใครบางคนกำลังเรียกหาตนด้วยความรู้สึกทุกข์ทรมานรุนแรง!

……………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!