ตอนที่ 88 : รายงาน
“ธุระ?”
เบ็นสันถามด้วยสีหน้าสงสัย
ด้านเมลิสซ่าก็จ้องมองไม่ต่างกัน เธอรู้สึกว่าวันนี้ไคลน์ทำตัวแปลกไปจากปรกติ แต่ก็ยังแปลกน้อยกว่าอลิซาเบธและเซเลน่า
ไคลน์อมยิ้ม มันอธิบายด้วยข้ออ้างที่เตรียมไว้ล่วงหน้า
“มีเอกสารโบราณบางฉบับที่แสดงรายละเอียดผิด ฉันสัญญากับเพื่อนร่วมงานว่าจะรีบแก้และส่งให้ทันตอนเช้า ดังนั้นจึงมีตัวเลือกแค่สองข้อ ทางแรกคือ รีบแก้ตอนนี้และนอนหลับฝันดี กับทางที่สอง รีบตื่นก่อนปรกติหนึ่งชั่วโมงครึ่งเพื่อไปแก้งานที่บริษัท…ฉันคิดว่าแบบแรกเหมาะกว่า”
“กะแล้วเชียว จิตใจของนายไม่อยู่กับโป๊กเกอร์เลย ที่แท้ก็เป็นห่วงงานนี่เอง”
เบ็นสันยิ้มเมื่อคลายข้อสงสัย
“ไม่สิ ฉันต้องขอโทษนายด้วยซ้ำ การชวนเล่นโป๊กเกอร์คงทำให้ต้องใช้ความคิดมากกว่าปรกติสินะ”
“ตกลง พวกเราจะรอนาย”
เมลิสซ่ามองออกไปนอกบ้าน พร้อมกับขจัดข้อข้องใจที่มีต่อไคลน์
ปัจจุบันเป็นเวลาเกือบห้าทุ่ม เลยเวลาวิ่งรถม้าสาธารณะแล้ว ทั้งแบบรางและไร้ราง ตัวเลือกเดียวจึงเป็นรถม้าแบบส่วนตัว ค่าบริการอยู่ที่สองซูลต่อสี่สิบห้านาที
สามพี่น้องโบกมือลาเจ้าของบ้านและเดินไปขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกล
“ฉันได้ยินมาว่า รถม้าส่วนตัวชอบโขกสับราคาเกินจริงไปมาก”
เบ็นสันพูดเสียงค่อย มันค่อนข้างหงุดหงิดที่กำไรจากไพ่โปเกอร์พลันสูญสลายในพริบตา
ไคลน์ยิ้ม
“เป็นราคาที่สมเหตุสมผลแล้ว เพราะนี่ก็เกือบห้าทุ่ม ให้เดินกลับเองคงไม่ดีแน่”
“ล้อเล่นน่า ฉันแค่คิดว่า ถ้ามีแขกคนอื่นร่วมทางกลับด้วยกันก็คงจะดี สี่สิบห้านาทีสามารถไปส่งได้ตั้งหลายบ้าน”
เบ็นสันพูดขณะมองผ่านกระจกหน้าต่างห้องโดยสารรถม้า สายตาชำเลืองกลุ่มแขกงานเลี้ยงที่แยกย้ายขึ้นรถม้ากลับบ้าน
ช่วยกันหารสินะ…
ไคลน์ใช้มือซ้ายลูบคลำไม้ค้ำเลี่ยมเงินและเงยหน้าพูดกับเบ็นสัน
“พวกเราไม่มีปัญหาก็จริง แต่คนอื่นมีแน่ ครอบครัวพวกเขาพยายามรักษาภาพลักษณ์ให้เป็นที่นับหน้าถือตา คงไม่ยอมร่วมทางให้เสื่อมเสียชื่อเสียง…ดูเหมือนครอบครัวชนชั้นกลางจะเป็นแบบนี้กันหมด”
“หืม”
เบ็นสันพยักหน้าเห็นด้วย
“ตระกูลวู้ดใช้จ่ายหรูหราเกินตัวกว่าที่ฉันคิดไว้มาก ทั้งที่รายได้รวมของครอบครัวตกเพียงสัปดาห์ละสี่ปอนด์เท่านั้น… ดูเหมือนความต้องการ ‘ถูกนับหน้าถือตา’ จะเป็นเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างชนชั้นกลางกับลิงบาบูนขนหยิกสินะ”
นายเป็นอะไรกับลิงบาบูนขนหยิกมากไหม
ไคลน์หัวเราะชอบใจ
เมลิสซ่าไม่กล่าวสิ่งใด ตั้งแต่ก้นสัมผัสกับเบาะรถม้า เธอเอาแต่สำรวจไคลน์เป็นระยะด้วยสายตาเย็นชา ทำเอาคนถูกจ้องเสียวไปถึงสันหลัง
ท่ามกลางถนนที่ค่อนข้างเงียบและมืด รถม้าแล่นด้วยความเร็วสูงจนถึงถนนซุตแลนภายในยี่สิบนาที
“รอฉันที่นี่ก่อน ไม่เกินห้านาทีแน่นอน”
ไคลน์เน้นยำ ก่อนจะสวมหมวกและถือไม้ค้ำเดินลงจากรถม้าเช่า
ในเมื่อรถม้าถูกคิดค่าบริการตามเวลา ไม่ใช่ระยะทาง คนขับจึงชอบใจที่ลูกค้าต้องการให้จอดนิ่งๆ
หลังจากจ้ำเท้าขึ้นไปบนชั้นสอง มันใช้มือเคาะประตูสำนักงานบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬ
ผ่านไปราวสิบวินาที ใครบางคนเดินมาเปิดประตูให้ไคลน์
เลียวนาร์ด·มิเชล มันสวมเชิ้ตและเสื้อกั๊ก
“คุณมีเวรด้วยหรือ?”
เลียวนาร์ดขมวดคิ้วถาม
สำหรับไคลน์ นอกเหนือจากเวรยามเฝ้าประตูยานิสสัปดาห์ละครั้ง ตารางงานที่เหลือจะคล้ายกับพนักงานปรกติ คือการอยู่เวรทั่วไปตอนกลางวัน ส่วนเวรยามกลางคืนจะเป็นหน้าที่ของผู้ไร้หลับ พวกมันชื่นชอบยามวิกาลเหนือสิ่งอื่นใด
แต่ว่า การนอนแค่วันละสองชั่วโมงจะทำให้หัวล้านและความจำเสื่อม
ดูอย่างหัวหน้าเป็นต้น…ไคลน์นินทาในใจ
“ผมมีบางสิ่งต้องรายงานหัวหน้า”
ไคลน์ตอบห้วน
“ภารกิจ?”
เลียวนาร์ดยังคงถาม แต่มันขยับตัวเปิดทางให้ไคลน์เดินเข้าไป
เมื่อเข้าไปในห้องรับแขก มันชำเลืองเห็นดันน์เดินผ่านฉากกั้นเข้ามาในห้อง ฝ่ายนั้นสวมเสื้อกันลมสีดำตัวเก่งเหมือนทุกครั้ง
“หัวหน้า ผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติโดยบังเอิญ”
“เล่ามา”
ดันน์ไม่อ้อมค้อม
ไคลน์เล่าเกริ่นตั้งแต่ต้นจนจบ รวมถึงวิธีการที่ตนใช้แก้ไขปัญหา
…
“…ผมจึงคิดว่า พวกเราควรเริ่มสืบสวนเฮเนส·วินเซนต์”
ย้อนกลับไปในเหตุการณ์ ไคลน์ประเมินแล้วว่า ตัวตนชั่วร้ายไม่กล้ากลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดและออกอาละวาดสุ่มสี่สุ่มห้าแน่
หลักฐานก็คือ มันเอาแต่แสร้งทำตัวเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาตลอดเวลา สิ่งนี้หมายถึง พลังวิญญาณของมันกำลังอยู่ในภาวะฟื้นฟู ต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าจะสำแดงเดช
และเป็นเหตุผลที่อลิซาเบธสามารถหลอกล่อเซเลน่ามายังห้องนอนได้ราบรื่น
“คุณทำได้ดีมาก ชิงลงมือก่อนที่ตัวตนชั่วร้ายจะยึดครองร่างเด็กสาว และฟื้นฟูพลังวิญญาณกลับมาอย่างสมบูรณ์”
ดันน์กล่าวกับไคลน์ด้วยเสียงราบเรียบ
“ที่เหลือให้เราจัดการเอง คุณกลับไปพักผ่อนที่บ้านเถอะ”
ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยสีหน้าโล่งอก
“ผมนึกว่าคุณจะใช้ภารกิจนี้เป็นบททดสอบรับน้องเสียอีก คิดว่าจะปล่อยให้ผมลุยเดี่ยวตามลำพังกับเฮเนส·วินเซนต์”
จากคาถาที่อลิซาเบธท่องให้ฟัง มีความเป็นไปได้สูงว่า ตัวตนชั่วร้ายที่เฮเนส·วินเซนต์แอบติดต่อ จะเป็นบุคคลอันตรายเหนือจินตนาการ
“นั่นเพราะคุณถูกกำหนดให้ต้องไปทำภารกิจอื่นแล้ว”
นักกวีเลียวนาร์ดพูดแทรกพลางยืนหัวเราะอยู่ด้านข้าง
“อะไรนะ?”
ดันน์อมยิ้ม ก่อนจะอธิบายเชิงปลอบใจ
“ประมาณหนึ่งทุ่มของวันนี้ ทางกรมตำรวจไหว้วานภารกิจทั่วไปมาให้เหยี่ยวราตรีช่วยเหลือ ผมประเมินแล้วว่าปราศจากสัญญาณอันตราย จึงมอบหมายให้คุณจัดการตามลำพัง รายละเอียดไว้ค่อยฟังพรุ่งนี้ทีเดียว…ส่วนวันหยุดของคุณต้องถูกเลื่อนไปเป็นอังคารหรือพุธแทน ขอให้คืนนี้หลับฝันดี”
หัวหน้า…แบบนั้นผมก็นอนไม่พอกันพอดี
แถมพรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ ผมมีนัดจัดชุมนุมไพ่ทาโรต์ในช่วงบ่ายนะ
ตนควรส่งข้อความหาแฮงแมนและจัสติสเพื่อแจ้งยกเลิกชุมนุมดีไหม?
ไม่ดีกว่า…ไคลน์ส่ายศีรษะเบาๆ ก่อนกล่าวคำอำลากับดันน์และเลียวนาร์ด
เมื่อเดินลงมาถึงบันไดขั้นล่างสุด มันแอบชำเลืองมองเข้าไปในหน้าต่างรถม้าคันที่สามพี่น้องเช่ากลับบ้าน
เมลิสซ่ากำลังจ้องมองไคลน์อยู่ คนทั้งสองจึงสบตาโดยบังเอิญ
มุมปากมันพลันกระตุกเล็กน้อย ส่วนเด็กสาวรีบเบือนหน้าหนี ก่อนที่ไคลน์จะเดินขึ้นรถม้าและแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ภายใต้แสงจันทร์แดงฉานและท้องฟ้ายามราตรีมืดสนิท รถม้าเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงโดยเปลี่ยนถนนเส้นแล้วเส้นเล่า
เมื่อกลับถึงบ้าน ไคลน์ยกห้องน้ำฝักบัวชั้นบนให้เบ็นสัน ส่วนตัวมันเดินไปเคาะประตูห้องนอนเมลิสซ่า
เด็กสาวมีแผนจะเข้าไปอาบน้ำในห้องที่เหลือ เธอจึงเปิดประตูพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เมลิสซ่า มีอะไรอยากถามหรือเปล่า? ฉันคิดว่าเธอมีนะ”
ไคลน์ซักไซ้ตรงไปตรงมา
อย่าเอาแต่จ้องมองและคิดไปเอง…
เมลิสซ่ากล่าวด้วยริมฝีปากสั่นระริก ดวงตาจ้องมองไคลน์อย่างเคลือบแคลง
“ไคลน์ นายทำอะไรกับอลิซาเบธกันแน่? เธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แถมหลังจากนั้นไม่นาน เซเลน่าก็เปลี่ยนไปด้วยเหมือนกัน”
ไคลน์เตรียมคำตอบไว้แล้ว
“เธอรู้ใช่ไหมว่าทั้งอลิซาเบธและเซเลน่าหลงใหลในศาสตร์เร้นลับ?”
“ฉันทราบ…แต่ไม่ได้เห็นด้วย ทุกสิ่งในโลกสามารถอธิบายด้วยหลักเหตุและผล”
เมลิสซ่าตอบในสิ่งที่ตัวเองคิด และเงียบงันไปครู่หนึ่ง
“สิ่งไหนที่ยังอธิบายไม่ได้ แปลว่าพวกเรายังมีความรู้เกี่ยวกับมันไม่มากพอ”
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
เคยคิดแบบนั้น…จนกระทั่งตายแล้วมาเกิดใหม่บนโลกนี้
ไคลน์ยิ้มแห้งด้วยสีหน้าสำนึกผิด ก่อนจะกระแอมเล็กน้อย
“หากพูดถึงศาสตร์เร้นลับก็ต้องพูดถึงภาษาเฮอร์มิส ภาษาเก่าแก่โบราณซึ่งถูกใช้ในพิธีกรรมและบทสวดมากมาย อลิซาเบธทราบว่าฉันเชี่ยวชาญเฮอร์มิส มันคือวิชาพื้นฐานที่นักประวัติศาสตร์ต้องเรียน เธอจึงขอร้องให้ฉันช่วยสอนวิธีอ่านออกเสียงเฮอร์มิส เพื่อจะได้ทราบความหมายและท่องคาถาอย่างชัดถ้อยชัดคำ”
เมลิสซ่าพยักหน้าเบาๆ เธอเริ่มยอมรับคำอธิบายของพี่ชาย หรืออย่างน้อยก็เข้าใจทั้งสองฝ่ายมากขึ้น
“ส่วนเรื่องที่อลิซาเบธและเซเลน่าแปลกไป ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน…”
ไคลน์รีบเอาตัวเองออกจากปัญหา ก่อนจะใช้เหตุผลสนับสนุนให้น่าเชื่อถือ
“แต่ก็พอจะเดาได้บ้าง”
“พอจะเดาได้?”
เมลิสซ่าแสดงสีหน้าประหลาดใจ
ไคลน์ยกมือซ้ายขึ้นมาจับคาง แสร้งทำสีหน้าครุ่นคิด
“เดาจากบทคาถาที่อลิซาเบธมาปรึกษา อักษรเฮอร์มิสเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับการทำนาย รวมถึงการบูชาตัวตนที่ชั่วร้าย…ไม่ผิดแน่…ระหว่างพิธีกรรม เซเลน่าทำการท่องคาถาเป็นภาษาเฮอร์มิสต่อหน้าทุกคนใช่ไหม?”
มันหวังใช้ความหวาดกลัว หลอกล่อน้องสาวให้ออกห่างจากพิธีกรรมเวทมนตร์ หรือถ้าเป็นไปได้ ช่วยเลิกคบกับเซเลน่าและอลิสซาเบธไปเลยจะดีมาก
“ใช่…”
เมลิสซ่าชะงักเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“ฉันพอจะเข้าใจสาเหตุที่อลิซาเบธกับเซเลน่ามีท่าทีแปลกไปแล้ว…”
ไคลน์ช่วยสรุปแทน
“เป็นเพราะพิธีกรรมทำนายกระจกวิเศษขัดต่อหลักความเชื่อของโบสถ์ อลิซาเบธจึงหาทางยับยั้งไม่ให้เซเลน่าถลำลึกไปมากกว่านี้ จึงมาหาฉันเพื่อให้ช่วยแปลความหมายของคาถาที่เซเลน่าท่อง…แบบนี้ใช่ไหม?”
“ก็คงงั้น…”
เมลิสซ่าไม่ปฏิเสธ เพราะเธอก็เข้าใจเช่นนี้
มันถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย บทสนทนาราบรื่นกว่าที่คิดไว้
“ในอนาคต เธอต้องกำชับให้เซเลน่าเคร่งครัดหลักจารีตมากขึ้น”
เมื่อพูดจบ ไคลน์ทำสัญลักษณ์สี่จุดบนหน้าอก คล้ายกับสิ่งที่นักบวชรัตติกาลชอบทำ
“เข้าใจแล้ว”
เมลิสซ่าตอบโดยไม่ลังเล
“และห้ามนำเรื่องที่เราคุยกัน ไปบอกอลิซาเบธหรือเซเลน่าเด็ดขาด เพราะฉันให้สัญญากับอลิซาเบธว่าจะไม่บอกใคร”
“ตกลง”
เมลิสซ่าผงกศีรษะเบาๆ
…
แปดโมงเช้า ณ บริษัทหนามทมิฬ
ไคลน์ถอดหมวกทักทายโรแซนและไบรท์ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทำงานหัวหน้า
หลังจากผลักประตู มันกวาดสายตามองหาบุคคลที่ต้องการ แล้วก็ต้องตกตะลึงสุดขีด เมื่อได้เห็นดันน์·สมิทมีอาการค่อนข้างย่ำแย่
ใบหน้าขาวซีด นัยน์ตาเทาที่เคยลุ่มลึกกลับหม่นหมอง
“เกิดอะไรขึ้นครับ? หรือจะเกี่ยวกับคดีของเฮเนส·วินเซนต์?”
ไคลน์ถามด้วยน้ำเสียงกังวล
ดันน์ใช้นิ้วนวดคลึงหน้าผาก ก่อนจะซดกาแฟหนึ่งอึกและตอบ
“เฮเนส·วินเซนต์ตายแล้ว”
“มีคนชิงลงมือปิดปากก่อนพวกเราไปถึงหรือครับ?”
มันรีบนั่งลงหน้าดันน์โดยไม่วางไม้ค้ำในมือ
อีกฝ่ายไม่ตอบทันที เพียงถอนหายใจยาว ก่อนจะเริ่มอธิบายด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย
นัยน์ตาดันน์·สมิทแฝงความหวาดกลัวไว้ชัดเจน มันพึมพำซ้ำไปมาก่อนจะเล่าต่อ
“ผมกับเลียวนาร์ดไปที่บ้านของเฮเนส·วินเซนต์เมื่อคืน และเฉกเช่นปรกติ ไม่มีสิ่งแปลกประหลาดรอบบ้าน ภายในก็ไม่มีจุดผิดสังเกต ผมจึงลองเข้าฝันเขาเพื่อหาเบาะแส ภายในฝันของหมอนั่น…ในนั้น…ในความฝัน ผมได้เห็นไม้กางเขนขนาดใหญ่สูงเสียดฟ้า…บนกางเขนมีชายเปลือยกายถูกตอกตรึงไว้ด้วยตะปูสีดำ แขนสองข้างเหยียดกางออก ศีรษะห้อยลงพื้นคล้ายโคมไฟระย้า ตามลำตัวมีรอยเลือดเปรอะเปื้อนเป็นทางยาว…ทันทีที่เห็นภาพดังกล่าวชัดเจน ตัวผมหมดสติไปทันที ถูกส่งออกจากความฝันของเฮเนส·วินเซนต์ในพริบตา…และเมื่อตื่นขึ้น เลียวนาร์ดบอกกับผมว่า เฮเนส·วินเซนต์เสียชีวิตในขณะนอนหลับ”
“กางเขนใหญ่ยักษ์ ห้อยกลับหัวกลับหาง บุรุษเปลือยกายที่ร่างกายมีเลือดเปื้อนเปรอะ คล้ายกับตำนาน ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ ที่องค์กรลับบางแห่งเคารพบูชาเลยนะครับ แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว”
ไคลน์พยายามหาข้อสรุปจากสิ่งที่ได้ฟัง
น่าแปลกมาก…
ภาพและตำนานของพระผู้สร้างปรากฏบนโลกมานานกว่าหนึ่งพันปีแล้ว แต่ทำไมองค์กรลับที่เคารพบูชาเทพตนนี้ ถึงเพิ่งเริ่มก่อตั้งได้เพียงสองถึงสามร้อยปีเท่านั้น ดังเช่นชุมนุมแสงเหนือ และชุมนุมกางเขนเหล็กโลหิต
ดันน์ยังคงใช้นิ้วนวดหน้าผาก
“พวกเราจะตามสืบเรื่องนี้ต่อ แต่สำหรับคุณ ต้องไปจัดการกับภารกิจเดี่ยวให้เรียบร้อยเสียก่อน”
……………………