Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 210

Cover Renegade Immortal 1

210. เรียนรู้วิชาร่างอวตาร

ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น เขากระจายสัมผัสวิญญาณออกและตรวจสอบพื้นที่รอบๆขณะที่เหาะเหินด้วยความรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาหยุดลงมองไปทางเหนือ ทิศเหนือห่างไปสองพันลี้มีเซียนสองคนกำลังมุ่งหน้ามาทางทิศตะวันออก

เซียนทั้งคู่เป็นบุรุษ หนึ่งในนั้นเยาว์วัยและเป็นเพียงขั้นพื้นฐานลมปราณระดับต้น อีกคนเป็นชายวัยกลางคนที่มีระดับแกนลมปราณระดับต้น

ม่ายกั๋วหรงเป็นศิษย์ของสำนักเฮ่าหรันได้ทำตามคำสั่งของอาจารย์เพื่อไปงานรวบรวมไค่หลิงประจำปีของสำนักเมฆาฟ้า งานรวบรวมไค่หลิงเป็นเพียงการประมูลเม็ดยาที่จัดตั้งโดยสำนักเมฆาฟ้า

สำนักเมฆาฟ้ามีชื่อเสียงในด้านการผลิตเม็ดยาในแคว้นซู แม้กระทั่งแคว้นอันดับสี่ยังมาเพื่อแลกเปลี่ยนเม็ดยาซึ่งเกิดขึ้นทุกสิบปีในการรวบรวมไค่หลิงขนาดใหญ่ที่สุด ส่วนการรวบรวมประจำปีส่วนใหญ่เป็นเพียงการพบปะผู้เยาว์รุ่นใหม่ในแคว้นซูเท่านั้น

งานรวบรวมไค่หลิงขนาดเล็กนี้ไม่ได้มีเม็ดยาล้ำค่าอันใด เป็นเพียงสิ่งของธรรมดา แต่สำหรับเซียนเยาว์วัยพวกนี้นับว่าได้เท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ

กล่าวได้ว่าเม็ดยาที่สำนักเมฆาฟ้าสร้างขึ้นดีกว่าเม็ดยาอื่นถึงสิบในร้อยส่วน ทำให้เม็ดยาทั้งหมดที่สำนักเมฆาฟ้าสร้างขึ้นเป็นที่ต้องการอย่างมาก

อีกทั้งสำนักเมฆาฟ้าไม่ได้มีไว้ขายสำหรับคนภายนอกเว้นแต่ระหว่างงานรวบรวมไค่หลิงพวกนี้ ดังนั้นแม้มันจะมีช่องว่างสองปีระหว่างการรวบรวม ทุกๆสำนักในแคว้นจ้าวจะส่งศิษย์ผู้เยาว์หลายคนมาที่นี่ด้วย

ม่ายกั๋วหรงภูมิใจมากที่เขานำศิษย์ในสำนักหลายคนมาด้วยแต่เขารู้ได้ว่าเหตุผลที่สามารถเข้าร่วมได้ขนาดนี้เป็นเพราะมีอาจารย์ดี

เมื่อคิดเช่นนี้สายตาม่ายกั๋วหรงตกลงบนชายวัยกลางคนเบื้องหน้า คนผู้นี้ดูธรรมดามาก ใบหน้ามีสีเหลืองมากและดูซับซ้อนราวกับสามารถตายได้ทุกเมื่อ แต่ม่ายกั๋วหลงไม่กล้ากระทบกระทั่งเขา เขาเคารพคนเบื้องหน้าอย่างบริสุทธิ์ใจเพราะชายวัยกลางคนคืออาจารย์ของตัวเองและยังมีขั้นแกนลมปราณระดับต้นด้วย ความสัตย์จริงพวกนี้ทำให้ม่ายกั๋วหรงรู้สึกโชคดีที่มีอาจารย์เช่นนี้

กล่าวได้ว่าการเป็นศิษย์ของเซียนขั้นแกนลมปราณเป็นเรื่องหายากมาก แม้กระทั่งในสำนักเฮ่าหรัน สถานะของเม่ยกั๋วหรงในสำนักได้พุ่งขึ้นทันทีและเขากลายเป็นศิษย์สายในโดยพลัน แม้เขาจะยังไม่ใช่ศิษย์หลัน หากระดับฝกึฝนของเม่ยกั๋วหรงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยไปสู่ขั้นพื้นฐานลมปราณระดับปลาย เขาจะกลายเป็นศิษย์หลักโดยอัตโนมัติ

สิ่งที่ทำให้เขาเคารพอาจารย์อย่างมากก็คืออาจารย์เป็นหนึ่งในนักปรุงยาไม่กี่คนของสำนัก แม้เม็ดยาที่อาจารย์สร้างไม่ได้ดีเท่าสำนักเมฆาฟ้าแต่นับว่าไม่ได้ไกลกันเท่าไหร่

จึงทำให้สถานะของอาจารย์เขาสูงมากในสำนักและทำให้สถานะของเม่ยกั๋วหรงเพิ่มขึ้นอย่างดีทีเดียว

“รักษาความสงบของเจ้าไว้และอย่าคิดอะไรไม่จำเป็น เราใกล้กับสำนักเมฆาฟ้าอย่างมาก อย่าทำให้สำนักเฮ่าหรันเสียหน้าอันใด” น้ำเสียงแหบพร่าขัดขวางความคิดเม่ยกั๋วหรง เขาหยุดฝันกลางวันและติดตามเบื้องหลังอาจารย์อย่างใกล้ๆ

ผ่านไปชั่วครู่ ม่ายกั๋วหรงมองอาจารย์ตัวเองและถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ท่านอาจารย์ สำนักเมฆาฟ้า..”

ก่อนที่จะทันได้พูดจบ เขาเห็นใบหน้าสีเหลืองของชายวัยกลางคนเปลี่ยนไป เขาหยุดลงและหันกลับด้วยสายตาเพ่งพินิศบางสิ่งในระยะไกล จากนั้นตะโกนขึ้น “หุบปาก!”

ม่ายกั๋วหรงตกตะลึง เขาหันหน้าและมองไปแต่เป็นเพียงก้อนเมฆและท้องฟ้าสีฟ้าเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เขามีความสงสัยแต่พลันได้ยินเสียงฟ้าร้องคำรามหลายครั้งและเห็นก้อนเมฆผลักขึ้นมาด้วยพลังแข็งแกร่ง

ใบหน้าม่ายกั๋วหรงเปลี่ยนไปเป็นหวาดกลัวทันที

ในเวลาเดียวกันเขาเห็นเงาหนึ่งเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้าตรงเข้ามาทางพวกเขา ในเพียงไม่กี่ลมหายใจร่างเงานั้นเข้ามาใกล้มาก

ม่ายกั๋วหรงเห็นไดชัดว่าคนผู้นั้นสวมชุดคลุมสีดำและศีรษะสีขาว ใบหน้าเย็นชาและให้ความรู้สึกเหมือนปิศาจ

ในสายตาม่ายกั๋วหรงระดับฝึกฝนของคนผู้นี้ลึกดังมหาสมุทรและสายตาเย็นชาของเขาทำให้ใครก็ตามที่มองรู้สึกหวาดกลัว

ม่ายกั๋วหรงก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว เขายืนเบื้องหลังอาจารย์ ใบหน้าซีดขาวและจิตใจรู้สึกเย็นชา

“จิตสังหารแข็งแกร่งเช่นนี้!” อาจารย์ของม่ายกั๋วหรง นักปรุงยาของเฮ่าหรันนามว่าซิ่วลี่ รูม่านตาหรี่เล็กโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาส่งสัมผัสวิญญาณออกมาและพบว่าระดับฝึกฝนของชายผู้นี้สูงมากกว่าเขา กลิ่นอายที่เขาปล่อยออกมาทำให้ตกตะลึงยิ่งนัก

ในมุมมองของเขา แม้ว่าชายผู้นี้ไม่ได้บรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด แต่เขากลับรู้สึกเหมือนกับเจอเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดในสำนัก

ทำให้เขาไม่กล้าก่อกวนชายผู้นี้ แม้กระทั่งเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดในสำนักเฮ่าหรันยังไม่มีจิตสังหารเหมือนเขา

ซิ่วลี่ใช้ชีวิตเพื่อสร้างเม็ดยา ดังนั้นเขาจึงสัมผัสความผันผวนพลังปราณได้อย่างแหลมคม เขาจินตนาการได้ว่าชายผู้นี้ต้องสังหารคนไปมากเท่าไหร่ถึงจะมีจิตสังหารแข็งแกร่งแบบนี้ เขาต้องระมัดระวังไม่เช่นนั้นจะเกิดหายนะขึ้นได้

เช่นนั้นเขาคารวะด้วยสองมือและพูดขึ้น “สหายเซียน ข้าซิ่วลี่จากสำนักเฮ่าหรันและนี่คือศิษย์ของข้า ท่านดูเหมือนจะเร่งรีบ เกิดอะไรขึ้นหรือไม่? หากมีสิ่งใดที่ข้าช่วยได้โปรดอย่าชักช้า”

ชายหนุ่มผมขาวคือหวังหลิน เขาตรวจสอบเซียนทั้งสองคนและดวงตาตกลงบนซิ่วลี่ หวังหลินคารวะด้วยสองมือและเอ่ยขึ้น “สหายเซียน ที่นี่คือแคว้นอะไร?”

ซิ่วลี่ตกตะลึง เขามองหวังหลินเล็กน้อยจากนั้นตอบกลับ “ที่นี่คือแคว้นซู สหายเซียนมาจากที่ใด?”

“แคว้นซู…” หวังหลินพึมพำกับตัวเองโดยไม่ตอบคำถามอีกคถาม เขาตบกระเป๋าทันที

การกระทำของเขาทำให้ใบหน้าซิ่วลี่เปลี่ยนไปอย่างมาก เขาคว้าร่างศิษย์ตัวเองอย่างรวดเร็วและพาถอยกลับหลายก้าวด้วยใบหน้าระมัดระวังตัว

หวังหลินมองเขา จากนั้นอ้าแขนออกเผยให้เห็นหินหยกชิ้นหนึ่ง เขาวางหินหยกบนหน้าผากและแผนที่หนึ่งปรากฎในใจ

นี่คือแผนที่ที่ได้รับมาจากโจวซื่อจงที่สำนักเจดีย์เทพสงคราม มันมีแผนที่ของแคว้นใกล้กับแคว้นฮัวเฝิน

เมื่อเขาได้ยินว่าเป็นแคว้นซู เขารู้สึกราวกับได้ยินชื่อแคว้นแห่งนี้จากที่ไหนมาก่อน หลังตรวจสอบหินหยก จึงพบทันทีว่าตัวเองอยู่ที่ไหน

แคว้นซูมีชายแดนติดทิศเหนือของฮัวเฝิน แคว้นซวนหวู่อยู่ทางทิศตะวันออกและกระทั่งมีชายแดนเล็กๆติดกับทะเลปิศาจ ส่วนที่เหลือเป็นเทือกเขาที่เรียกกันว่าหินพังทลาย

กล่าวได้ว่าแคว้นซูเป็นแคว้นที่ใกล้กับเทือกเขาหินพังทลายอย่างมาก จากรายละเอียดในหินหยก แคว้นแห่งนี้มีขนาดใหญ่มากและมีเซียนจำนวนมาก อีกทั้งแคว้นแห่งนี้ใกล้จะได้เป็นแคว้นเซียนอันดับสี่

เป็นเพราะมีเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายมากกว่าสิบคนในแคว้นซู เซียนที่ทรงพลังแข็งแกร่งพวกนี้คือแกนหลักของแคว้น

ตราบใดที่หนึ่งในคนพวกนี้ทำการทะลวงสู่ขั้นตัดวิญญาณ ทั้งแคว้นจะเพิ่มอันดับเป็นแคว้นอับดับสี่

ซึ่งเป็นเหตุผลที่ตอนแคว้นฮัวเฝินเพิ่มขึ้นสู่อันดับสี่ พวกเขาตัดสินใจบุกรุกแคว้นซวนหวู่แทนที่จะเป็นแคว้นซู

นอกเหนือจากนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับแคว้นซู แคว้นซวนหวู่เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับฮัวเฝิน

มีข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับสำนักใจแคว้นซู หวังหลินตรวจสอบหินหยกเล็กน้อยจากนั้นเก็บไป เขามองซิ่วลี่และถามขึ้น “สหายเซียน ที่แห่งนี้คือส่วนไหนของแคว้นซู?”

ซิ่วลี่จับกระเป๋าแน่นพร้อมกับตื่นตัวเต็มที่ เมื่อได้ยินคำถามของหวังหลินจึงขบคิดเล็กน้อยจากนั้นตอบขึ้นมา “ที่นี่คือเทือกเขาเมฆาฟ้า!”

หวังหลินพยักหน้า เขามองไปรอบๆและจดจ้องไปบนพื้นที่ห่างไกลจากนั้นพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “เช่นนั้นหากข้าเดินทางไปหมื่นลี้ไปที่ยอดภูเขาเมฆาฟ้า นั่นจะเป็นสำนักเมฆาฟ้าใช่ไหม?”

ใบหน้าซิ่วลี่เผยอาการตกใจ “ท่านมีธุรกิจกับสำนักเมฆาฟ้าหรือ?”

หวังหลินยิ้มเบาบาง เขามองซิ่วลี่และคารวะด้วยสองมือ “ขอบคุณ ลาก่อน!” หลังกล่าวเช่นนั้นหวังหลินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเป็นเส้นแสงและหายตัวไป

จนเมื่อหวังหลินจากไปแล้วซิ่วลี่จึงหายใจออกมาได้ เบื้องหลังเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อและเมื่อถูกลมเย็นพัดเข้าใส่ เขารู้สึกหนาวเย็นด้านหลัง

ความกดดันที่หวังหลินพามาหาเขามีมหาศาลมาก ความจริงที่ซิ่วลี่คือนักปรุงยานั่นหมายความว่าเขาแก้ไขสถานการณ์ได้ดีกว่าเซียนคนอื่นในระดับเดียวกัน หากไม่เช่นนั้นเขาคงตื่นตระหนกตอนที่พูดคุยกับหวังหลินไปเรียบร้อยแล้ว

เขาสูดหายใจลึกจากนั้นมองศิษย์ตัวเองหนึ่งครา ดวงตาม่ายกั๋วหรงยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขามองทิศทางที่หวังหลินจากไปและเอ่ยขึ้น “อา…อาจารย์ คนผู้นั้นมีระดับฝึกตนอะไรกัน? เขาเป็นผู้อาวุโสขั้นวิญญาณแรกกำเนิดใช่ไหม?”

ซิ่วลี่ส่ายศีรษะและเอ่ยขึ้น “คนผู้นั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร หากข้าเดาถูกเขาต้องหนีออกมาจากทะเลปิศาจ คนพวกนั้นไม่ใช่คนะรรมดาในแคว้นซูแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นคนที่มีจิตสังหารแข็งแกร่งเช่นนั้น”

ม่ายกั๋วหรงตกตะลึง “จิตสังหารหรือ?”

ซิ่วลี่เอ่ยอย่างช้าๆ “ทุกครั้งที่เจ้าสังหารคนผู้หนึ่ง เจ้าจะได้รับเจตจำนงชั่วร้ายเล็กน้อย แต่หลังจากรวบรวมเจตจำนงชั่วร้ายได้มากพอมันจะเปลี่ยนเป็นกลิ่นอายชั่วร้าย กลิ่นอายชั่วร้ายนี้เป็นวัตถุดิบฝึกตนที่ดีเยี่ยมสำหรับเซียนบางคน หลังจากรวบรวมกลิ่นอายชั่วร้ายเป็นเวลานานมันจะเปลี่ยนเป็นจิตสังหาร และจิตสังหารของคนผู้นี้นับได้ว่ามหึมา เขาไม่ใช้วิชาอันใดเพียงแค่จิตสังหารที่ปล่อยออกมาก็ทำให้จิตใจผู้คนหวาดกลัวแล้ว ข้าไม่รู้ว่าคนผู้นี้รู้วิธีใช้จิตสังหารของตัวเองหรือไม่ หากเขาทำได้นั่นจะมีผลต่อเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดด้วย”

เม่ยกั๋วหรงสูดหายใจลึก เขาถามอย่างช้าๆ “ท่านอาจารย์ จากสิ่งที่ท่านพูด เขาไม่ได้บรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดหรือ?”

ซิ่วลี่ขบคิดชั่วขณะ เขาพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “แม้เขาจะไม่ได้อยู่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดแต่ก็ใกล้มากแล้ว หากข้าเข้าใจไม่ผิด คนผู้นี้บรรลุขั้นแกนลมปราณระดับปลายสูงสุด เพื่อหลีกหนีปัญหาที่ไม่จำเป็น ห้ามพูดเรื่องนี้กับคนอื่น แม้จะกลับไปสำนักเฮ่าหรันก็จงอย่าบอกใคร เข้าใจไหม?”

เม่ยกั๋วหรงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แม้ซิ่วลี่จะไม่พูดอะไรเลย เขาก็ไม่คิดจะพูดเรื่องนี้อยู่แล้วเพราะความประทับใจที่ชายคนนั้นทิ้งไว้น่ากลัวเกินไป อีกทั้งไม่ต้องการสร้างปัญหาอะไรไม่จำเป็น

ส่วนหวังหลินหลังจากกำหนดตำแหน่งที่แน่ชัด เขาเหาะเหินไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับตรวจสอบพื้นที่ด้วยสัมผัสวิญญาณไปด้วย จากแผนที่ สำนักเมฆาฟ้าควรจะอยู่ข้างหน้า

หวังหลินพยักหน้าเงียบๆ เขาดีใจที่ศิษย์อาจารย์คู่นั้นไม่โกหกเขา หลังกำหนดตำแหน่งแล้วหวังหลินหยุดลง เมื่อสำนักเมฆาฟ้าอยู่ข้างหน้าจึงตัดสินใจหาสถานที่ใกล้ๆเพื่อปิดประตูฝึกฝน

หวังหลินหยุดห่างจากภูเขาของสำนักเมฆาฟ้าไปราวๆเจ็ดถึงแปดพันลี้ เขามองรอบๆและเผยใบหน้าพึงพอใจ จากนั้นตบกระเป๋าและกระบี่เหินลอยออกมา หวังหลินส่งกระบี่ออกไปขุดด้านเทือกเขา

ไม่นานนักถ้ำแห่งหนึ่งถูกเซาะออกมาจากด้านข้างเทือกเขา ถ้ำแห่งนี้ถูกสร้างจากความชอบของหวังหลินซึ่งมีสองห้อง หลังจากหวังหลินเข้าถ้ำมาพลันครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นเปิดอีกห้องหนึ่ง

หลังทำเรื่องทั้งหมด เขาออกจากถ้ำพร้อมกับตบกระเป๋าและธงกฎเกณฑ์ลอยออกมา ทั้งสองมือสร้างผนึกขึ้นและชี้ไปที่ธง ผืนธงเริ่มสะบัดโดยไม่มีแรงลมและขยายออกมากกว่าสิบเท่าอย่างรวดเร็ว

จากนั้นฝ่ามือหวังหลินเริ่มสร้างผลึกหลายแบบและส่งลำแสงหลายเส้นออกมา ธงกฎเกณฑ์เริ่มยืดออกไปเรื่อยๆสร้างกระโจมที่สามารถปกคลุมท้องฟ้าได้

หวังหลินตะโกนขึ้นอย่างสงบนิ่ง “กระจาย!”

ด้วยสองคำนั้น กระโจมสีดำเริ่มสั่นเทาทันที กฎเกณฑ์หลายพันตกลงมาจากผืนธงและลงไปในเทือกเขา ในไม่ช้ากฎเกณฑ์ทั้งหมดจึงปกคลุมไปทั่วทั้งเทือกเขา

หวังหลินสูดหายใจลึก เขาสะบัดแขนและธงกฎเกณฑ์หดลงกลับเข้าสู่ฝ่ามือ หวังหลินสะบัดแขนขวาอีกครั้งและธงกฎเกณฑ์พุ่งแทงเข้าไปในภูเขา

มองจากภายนอก ถ้ำหายไปจากเทือกเขาและทุกสิ่งดูเหมือนเดิม

หวังหลินขบคิดเล็กน้อย ฝ่ามือขยับและสร้างกฎเกณฑ์อีกหลายอย่าง เขาวางมันไว้ในเทือกเขาโดยไมีตำแหน่งแตกต่างกัน ในที่สุดหลังจากสร้างกฎเกณฑ์ป้องกันอย่างแน่นหนาจึงผ่อนคลายลง

ร่างกายเคลื่อนไหวไปข้างหน้า เมื่อสัมผัสกับด้านข้างภูเขา ร่างหวังหลินจึงหายไปและเข้าไปในถ้ำ ภายในถ้ำเขารีบสัมผัสกระเป๋าและของสิ่งหนึ่งปรากฎในฝ่ามือ

มันคือหินหยกมังกรเขียวที่ลี่มู่หวานให้เขามา แม้ว่ามันจะมีรอยร้าวบางส่วนแต่ไม่มีผลต่อการใ้งาน หลังจากหวังหลินมองมันเล็กน้อยเขากระตุ้นวิชาเซียนบนหินหยก ทันใดนั้นเสียงคำรามดังออกมาจากหินหยก มังกรเขียวออกมาและหมุนเป็นวงกลมล้อมรอบหวังหลิน มังกรมีขนาดใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นออกผ่านกำแพงถ้ำราวกับไม่มีสิ่งใดหยุดมันได้

มังกรเขียวร้องคำรามและรวมเข้ากับถ้ำสร้างเป็นชั้นป้องกันอีกชั้นหนึ่ง

ถ้ำแห่งนี้กล่าวได้ว่าปลอดภัยที่สุดที่หวังหลินเคยสร้างมา

หวังหลินใช้ความพยายามอย่างมากในการป้องกันถ้ำแห่งนี้ เหตุผลก็คือเพื่อป้องกันบางสิ่งที่ไม่คาดคิด เขาจะอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานานมาก

หวังหลินยืนในถ้ำและขบคิดเป็นเวลานาน เขาเผยแววตามั่นใจและชี้มือไปที่คิ้ว เจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋วและเจ้าปิศาจน้อยออกมาจากหน้าผาก

หลังปิศาจสองตัวปรากฎ พวกมันมีปฏิกิริยาแตกต่างกัน เจ้าปิศาจน้อยปรากฎมันมองหวังหลินด้วยแววตาจงรักภักดีและยกย่องสรรเสริญ ตอนนี้ตราบใดที่หวังหลินสั่งการมันแม้จะเป็นการต่อสู้กับเซียนขั้นตัดวิญญาณ มันจะออกไปโดยไม่ลังเลแม้จะตายแน่นอน

ส่วนฉวี่ลี่กั๋วเมื่อมันปรากฎตัว มันลอบมองรอบๆตัวแต่ปั้นใบหน้าเคารพนับถือและยิ้มอย่างถูกใจเบื้องหน้าหวังหลิน

หวังหลินชี้ไปที่ห้องหินหนึ่งห้องและเอ่ยขึ้น “จากวันนี้ต่อไป พวกเจ้าปิศาจทั้งสองจะอาศัยในห้องหินนั้น หากพวกเจ้าออกจากห้องนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้าจะสังหารพวกเจ้าซะ”

ฉวี่ลี่กั่วตกตะลึง แค่มันกำลังจะพูด เจ้าปิศาจน้อยไม่ลังเลเลยและลอยเข้าหาห้องหินที่หวังหลินชี้ ฉวี่ลี่กั่วลังเลชั่วครู่แต่กลืนคำพูดไปอย่างรวดเร็ว หากเจ้าหมายเลขสองตกลงอย่างง่ายๆ เช่นนั้นหากเขากลับคำพูดและลังเล นั่นหมายความว่าเขาแพ้เจ้าหมายเลขสอง ดังนั้นจึงเข้าไปในห้องเช่นกัน

หลังปิศาจทั้งสองตัวเข้าไปในห้อง หวังหลินส่งขอบเขตจวี่ออกมาและตรวจสอบพื้นที่ เขาวางสัมผัสวิญญาณไว้เบื้องหลังส่วนหนึ่งก่อนจะถอนมันออกมา

หากเจ้าปิศาจทั้งสองตัวไม่ฟังคำสั่งและพยายามหนี มันจะถูกขอบเขตจวี่โจมตี หวังหลินต้องป้องกันไว้เพราะปิศาจทั้งสองตัวนี้ถูกเขาสร้างขึ้นมา เดิมทีเขาไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่สิ่งที่เขากำลังจะทำไม่สามารถเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ดังนั้นจึงขังเจ้าปิศาจทั้งสองตัวไว้ในห้อง

หลังจากนั้นหวังหลินขบคิดชั่วครู่ เขาเดินเข้ามาใจกลางห้อง นั่งลงขัดสมาธิและสูดหายใจลึก หวังหลินชี้ไปที่คิ้วตัวเองและบอลแสงสีรุ้งลูกหนึ่งลอยออกมา รูปร่างเผยให้เห็นเป็นลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า

หลังมองไปที่ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าที่วิวัฒน์มาชั่วขณะจึงสะบัดแขนขวาและลูกปัดลอยไปด้านข้าง เขานำขวดหยกออกมาหลายขวดและวางลงทั้งสองด้าน

ต่อมาหวังหลินหลับตาอย่างเงียบเชียลและเริ่มทำสมาธิ

วันเวลาผ่านไปจวบจนหนึ่งปี ในปีที่ผ่านมานอกจากการรวบรวมน้ำจากลูกปัด หวังหลินไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีก

ระหว่างการทำสมาธิทั้งปีนี้เขาบีบอัดพลังปราณส่วนเกินให้กลายเป็นการหมุนสามรอบและภายในสามรอบนี้มีเส้นสีแดงบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย

ในเวลาหนึ่งปีหวังหลินได้ทำการห้ามปรามเส้นใบสีแดงอย่างสมบูรณ์แต่เขาไม่กล้าผ่อนคลายนัก แม้เส้นใยจะมีขนาดเล็กแต่มันมีพลังของบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์ หากไม่มีคุณสมบัติควบคุมมันได้จะทำให้ร่างกายถูกทำลายด้วยเส้นใย แม้ว่าร่างกายของเขาจะผ่านการปรับโครงสร้างหนึ่งครั้งแต่เขาก็ไม่ต้องการใช้ร่างกายเป็นเครื่องทดสอบ

นอกเหนือจากนั้นหวังหลินใช้เวลาที่เหลือเพื่อเรียนรู้วิชาร่างอวตาร นี่เป็นหนทางที่การไร้ความสามารถทะลวงขั้นวิญญาณแรกกำเนิดจะทำได้

แม้กระทั่งตอนนี้หวังหลินยังจดจำถ้ำในหลังภูเขาของเจดีย์เทพโบราณได้ชัดเจน เขาสามารถเข้าถึงความทรงจำที่จดจำวิชาร่างอวตารที่สลักไว้ในถ้ำได้

ก่อนหน้านั้นเขาใช้เวลาเรียนรู้วิชานี้นานมากและเรียนรู้ความลับของมัน วิชานี้ใช้เพื่อสร้างร่างจริงเช่นร่างคู่ขนาน

อาศัยร่างอวตารเพื่อเพิ่มระดับการฝึกฝนจากนั้นเมื่อทะลวงผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิด ให้เก็บร่างอวตารรวมกลับเข้าร่างกายและเพิ่มโอกาสการทะลวงผ่าน

ทว่าร่างอวตารมีข้อเสียหนึ่ง มันไม่มีระดับฝึกตนตอนที่ถูกสร้างมาและช่วงชีวิตของมันเพียงสามสิบปี

เหตุผลที่หวังหลินไม่ได้ใช้วิธีนี้ตอนนั้นเป็นเพราะเขาไม่มีเม็ดยาสำหรับตัวเองเพียงพอ ดังนั้นเขาจะมีให้ร่างอวตารตัวเองได้อย่างไร? แต่ตอนนี้หวังหลินเห็นวิชานี้ไม่เพียงแค่ค้ำระดับฝึกตนของตัวเองไว้แต่ได้ช่วยบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดด้วย

แผนการของเขาคือใช้ร่างอวตารบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดในสามสิบปี จากนั้นหลอมรวมกับเข้ากับร่างกายเพื่อทำให้เขาอ้อมการป้องกันที่ไม่ให้บรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้

หนทางนี้เขาไม่จำเป็นต้องทำลายระดับฝึกตนเพื่อผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิด ทว่าความยากเดียวในแผนนี้ก็คือทำให้ร่างอวตารทะลวงผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิดในสามสิบปีจริงๆ

ด้วยการช่วยเหลือของมิติฝืนลิขิตฟ้า เวลาสามารถขยายออกขึ้นได้มากกว่าหกเท่าจากปกติ หวังหลินมีเวลา 180 ปีสำหรับร่างอวตารเพื่อบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด

แต่มีอีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญมากและนั่นก็คือเม็ดยา!

ปัญหานี้จะถูกแก้ไขที่สำนักเมฆาฟ้า! ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมหลังจากหวังหลินมาถึงและพบกับสำนักเมฆาฟ้าใกล้ๆจึงได้ตัดสินใจปิดด่านฝึกฝนที่นี่

ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่ง เบื้องหน้าเขาคือขวดสีขาวสามขวดที่มีน้ำพลังปราณรวบรวมจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าวิวัฒน์ตลอดทั้งปี ของเหลวนี้เป็นของขวัญชิ้นแรกที่เขาทำเพื่อร่างอวตาร

หลังขบคิดชั่วขณะ ดวงตาเผยความมุ่งมั่น ฝ่ามือสร้างผนึกขึ้นหนึ่งชิ้นและเขาทำตามขั้นตอนของวิชาร่างอวตารเพื่อสร้างร่างอวตารของตนเอง

วิชาร่างอวตารนี้ไม่ได้ยากมากนักหากท่านสามารถมองเห็นรายละเอียดทั้งหมดในวิชานี้ได้ มันไม่ได้เกี่ยวกับพรสวรรค์หรือพลัง ไม่เช่นนั้นเฉินจงที่มีพรสวรรค์แย่ที่สุดในเจดีย์เทพสงครามคงไม่เป็นเพียงคนเดียวนอกจากผู้สร้างที่เห็นความลับของวิชาร่างอวตารนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!