Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 211

Cover Renegade Immortal 1

211. สำนักเมฆาฟ้า

ปฏิทินซูซาคุปีที่ 134,500 ในแคว้นซูมีลำแสงเกิดขึ้นในดินแดนของตนเอง สามวันผ่านไปทุกสำนักได้ส่งศิษย์ออกมาเพื่อตรวจสอบแต่ในที่สุดกลับไม่พบอะไรนอกจากถ้ำรกร้าง

กล่าวลือว่ามีสมบัติปรากฎขึ้นที่นี่แต่ถูกคนอื่นเอาออกไปแล้ว

ข่าวลือนี้เซียนบางคนปฏิเสธที่จะเชื่อมัน ขณะที่เซียนอีกฝ่ายเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงเพราะลำแสงปรากฎใกล้กับสำนักเมฆาฟ้า ข่าวลือที่ว่ามันเป็นสมบัติต้องถูกสำนักเมฆาฟ้าได้ไป

ในปีเดียวกัน สำนักเมฆาฟ้าสามารถหลอมเม็ดยาเทียนซุนได้ คุณภาพของเม็ดยาได้บรรลุขั้นห้าระดับต้น ผลลัพธ์ของเม็ดยาคือทำให้เซียนขั้นวิญญารแรกกำเนิดที่สูญเสียร่างกายตนเองได้สามารถสร้างร่างใหม่ได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องขโมยร่างเพื่อเกิดใหม่

เมื่อเม็ดยานี้ปรากฎขึ้น ชื่อเสียงของสำนักเมฆาฟ้าที่มีอยู่แล้วยิ่งโด่งดังขึ้นไปอีก แคว้นอันดับสี่รอบๆทั้งหมดต้องการได้เม็ดยา แต่ในท้ายสุดสำนักจื่อโม่จากแคว้นอันดับสี่แห่งหนึ่งได้เม็ดยาไปผ่านการตกลงอย่างลับๆ ก่อนที่พวกเขาจะจากไปได้วางค่ายกลหนึ่งบนสำนักเมฆาฟ้า ค่ายกลนี้แข็งแกร่งมากแม้กระทั่งแคว้นอันดับสี่ธรรมดายังมีปัญหาที่จะทำลายมัน

สิ้นเดือนนั้นสำนักเมฆาฟ้าเปิดประตูเพื่อรับสมัครคนซึ่งเกิดขึ้นทุกๆสามสิบปี

ตระกูลเซียนหลากหลายแห่งในแคว้นจ้าวได้ส่งลูกหลานของตนเองเข้าไปในสำนักเมฆาฟ้าเพื่อหวังว่าจะสามารถเข้าร่วมสำนักและประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่

ทว่าความต้องการเข้าร่วมสำนักเมฆาฟ้าแปลกประหลาดอย่างมาก ไม่เหมือนสำนักอื่นที่มองหาพรสวรรค์ของคนผู้หนึ่ง แต่การรับสมัครของสำนักเมฆาฟ้าขึ้นอยู่กับวิชาพิเศษ

ทำให้การรับสมัครที่เกิดขึ้นทุกๆสามสิบปีมีเพียงคนราวๆสิบคนที่ถูกคัดเลือก มันน้อยมากจริงๆเมื่อเปรียบกับผู้คนหลายพันที่รวมตัวกันเพื่องานนี้

ด้วยชื่อเสียงของสำนักเมฆาฟ้าและการรับศิษย์ไม่กี่คนเข้าไป เซียนเกือบทั้งหมดที่ไม่มีสำนักหรือเบื้องหลังต่างฝันที่จะเข้าไปเป็นศิษย์ของสำนักเมฆาฟ้า

บนยอดของภูเขาสำนักเมฆาฟ้ามีปริศนาหลายแถวสลักจากหินหยกอยู่ในตำหนักอมตะ สิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของสำนักเมฆาฟ้า หยกสลักชิ้นอื่นถูกซ่อนด้วยวิชาต่างชนิดกัน มองไกลๆจะเห็นเพียงป่าสีเขียวชอุ่ม ไม่มีสิ่งใดอื่น

คำสีเขียวสามคำถูกยึดไว้ในอากาศโดยเวทตะเกียงยักษ์ซึ่งไว้แขวนบนประตู

คำสามคำนั้นคือ “สำนักเมฆาฟ้า”

เมื่องานรับสมัครซึ่งเกิดขึ้นทุกสามสิบปีและกินเวลาสิบวันได้เริ่มขึ้น คำสามคำนั้นปรากฎในอากาศและเมื่อสิบวันผ่านไปมันถึงจะหายไป

เป็นผลให้เซียนทั้งหมดที่กระจายตัวและตระกูลเซียนทั้งหลายในแคว้นจ้าวต่างรู้กันว่าเมื่อสามคำนั้นปรากฎในอากาศ การรับสมัครของสำนักเมฆาฟ้าได้เริ่มขึ้นแล้ว เมื่อสามคำนั้นหายไปแปลว่าการรับสมัครได้สิ้นสุดลง

เช้านี้ไม่มีเมฆในท้องฟ้า ลำแสงกระบี่หลายเส้นลอยจากทุกทิศทางเข้าหาสำนักเมฆาฟ้า เมื่อพวกเขาอยู่ห่างรอบๆสำนักเมฆาฟ้าไปหนึ่งพันลี้ พวกเขาออกจากกระบี่เหินของตัวเองเผยเป็นผู้เยาว์หลายคน ทั้งหมดต่างอายุค่อนข้างน้อย บางคนมาด้วยตัวเองขณะที่บางส่วนมาพร้อมกับผู้อาวุโส

การแสดงความเคารพต่อสำนักเมฆาฟ้า โดยพื้นฐานแล้วคนทั้งหมดที่ต้องการเข้าร่วมสำนักต้องออกจากกระบี่เหินของตนเองห่างไปหนึ่งพันลี้และเดินตรงมาที่สำนักด้วยเท้า

หากมองลงไปจากท้องฟ้าตอนนี้จะเห็นได้ว่าภายในรัศมีหนึ่งพันลี้จากสำนักเมฆาฟ้ามีผู้คนนับไม่ถ้วนกำลังเดินเข้าหาสำนัก

ภายนอกประตูสำนักเมฆาฟ้ามีเซียนยืนอยู่สามคนซึ่งรับผิดชอบการจัดการที่พักและสิ่งจำเป็นของคนที่พยายามเข้าร่วมสำนัก

ห่างจากทางเข้าสำนักเมฆาฟ้าไปห้าร้อยลี้มีหนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษกำลังเดินกันอยู่ บุรุษมีอายุราว 27 หรือ 28 ปี เขาเดินอย่างสบายและตรงไปทางสำนักเมฆาฟ้า บนเสื้อปักด้วยกระบี่เหินสีม่วงแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นศิษย์สายในของสำนักกระบี่

ด้านข้างเขาเป็นสตรีอายุยี่สิบปี เธอสวมชุดสีม่วงด้วยสายสะพายสีเดียวกันรอบเอว เธอมีทรวดทรงองเอวเยี่ยมมากแต่เผยความน่ารักเล็กน้อย

เมื่อมองดูใกล้ๆ สตรีคนนี้น่าสนใจมาก บรรยายความสวยของเธอได้ว่าราวกับดอกไม้งามนับว่าไม่ผิดนัก สตรีสาวบุ้ยริมฝีปากและลูบขาตัวเอง “พี่ใหญ่ สำนักเมฆาฟ้ามีดีอะไรที่ข้าต้องมาด้วยทางนี้เนี่ย? ข้าไม่ชอบปรุงยา ข้าชอบสำนักกระบี่” เธอบ่น

ใบหน้าบุรุษยังคงเดิม เขามองหญิงสาวจากนั้นโขกหน้าผากเธอและยิ้มขึ้น “มีการสังหารมากเกินไปในสำนักกระบี่ มันไม่เหมาะสมกับเจ้า ข้ารู้แน่ว่าสำนักเมฆาฟ้าเป็นสำนักที่สำคัญมากในแคว้นซู แม้แคว้นซูจะเผชิญกับภัยพิบัติใหญ่หลวง มันไม่ส่งผลกระทบต่อสำนักเมฆาฟ้า หากเจ้าสามารถเข้าไปในสำนักเมฆาฟ้าได้ พี่ของเจ้าจะโล่งใจ หากบิดาและมารดายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะโล่งใจเช่นกัน”

เมื่อหญิงสาวได้ยินที่พี่ของเธอพูดถึงครอบครัว ใบหน้าเธอมืดมนเล็กน้อยหลังขบคิดชั่วครู่จึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นเธอชี้เข้าไปในป่าและพูดกับพี่ชาย “พี่ใหญ่หากข้าเข้ไปในสำนักเมฆาฟ้า ข้าจะสร้างเม็ดยาสำหรับท่าน จากนั้นเมื่อระดับฝึกฝนของท่านสูงขึ้น เราถึงจะกลับบ้านได้และสอนบทเรียนเจ้าแก่พวกนั้นกัน”

เมื่อชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นเขาเปลี่ยนไปและดวงตาปรากฎแสงเย็นชา ด้วยความกลัวว่าน้องสาวจะรู้เรื่องเขาจึงไม่เคยเล่าเรื่องจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนั้น

ดวงตาหญิงสาวเบิกกว้างขณะที่เธอมองไปที่ชายหนุ่มเบื้องหน้าเธอและหัวเราะ “พี่ใหญ่ดูชายคนนั้นสิ สวมชุดตลกจัง”

ชายหนุ่มมองขึ้นไปและเห็นได้ว่าห่างไปสองร้อยฟุตเบื้องหน้าเป็นชายหนุ่มสวมชุดขาดๆกำลังเดินเข้าหาสำนัก กล่าวได้ว่าคนทั้งหมดมาที่นี่เพื่อพยายามเข้าร่วมสำนักเมฆาฟ้าซึ่งรวมถึงเซียนอิสระหรือคนที่มาจากตระกูลเซียน มันเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะมาที่นี่

ดังนั้นมันเป็นเรื่องยากที่จะเห็นคนแต่งตัวเช่นนี้ เขาดูเหมือนชาวบ้านบนภูเขาธรรมดาทั่วไป

ราวกับได้ยินเสียงหญิงสาว ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาและมองพวกเขาโดยไม่หยุดเดิน เขาถอนสายตาออกและเดินหน้าต่อ

แววตาประหลาดใจปรากฎในชายหนุ่ม เขารู้ว่าน้องสาวของเขาน่าดึงดูดใจมากและในระหว่างการเดินทางมาที่นี่ คนส่วนใหญ่ที่ผ่านไปต่างจดจ้องไปที่เธอโดยเฉพาะหลังจากเข้ามาในระยะหนึ่งพันลี้ของสำนักเมฆาฟ้า ทุกคนที่พวกเขาพบเจอต่างมองน้องสาวเป็นพิเศษ แต่ดวงตาของหนุ่มคนนี้สงบนิ่งราวกับน้ำและเมื่อเขาเห็นน้องสาวกลับไม่มีการสั่นไหวในแววตาเขาเลย

ชายหนุ่มส่งสัมผัสวิญญาณออกมาและพบว่าระดับฝึกฝนของชายคนนั้นเป็นเพียงแค่ขั้นรวบรวมลมปราณระดับสองหรือระดับสามเท่านั้น หลังจากมองเล็กน้อยจึงถอนสายตาขึ้น

หญิงสาวมองชายหนุ่มด้วยแววตาน่าสนใจ เธอเดินเข้าหาอย่างรวดเร็วและตะโกนขึ้น “นี่ เจ้าก็มาที่นี่เพื่อเข้าร่วมสำนักเหมือนกันหรอ?”

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เขาไม่ได้รบกวนเธอและเดินหน้าต่อไป

หญิงสาวส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ เธอกระโจนข้ามชายหนุ่มและร่อนลงเบื้องหน้าเขาพลางกล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้าเป็นใบ้หรอ? ข้าถามว่า เจ้ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมสำนักหรือ?”

ชายหนุ่มมองหญิงสาวและกล่าวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “คำถามนั้นไร้ความหมายหรือไม่?” เช่นนั้นเขาเดินรอบหญิงสาวและส่ายศีรษะ

ใบหน้าหญิงสาวเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอขบคิดเล็กน้อยและตระหนักได้ว่าสิ่งที่เธอพูดครั้งก่อนนั้นไร้ความหมายจริงๆ นับตั้งแต่ที่ชายหนุ่มมาที่นี่ เธอยังถามว่าเขามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมสำนักอีกหรือ

พี่ชายของหญิงสาวเผยรอยยิ้มเบาบาง เขาไม่ได้โกรธที่ชายหนุ่มคนนั้นตอบเลย แต่เมื่อน้องสาวถามคำถามนั้นเขารู้สึกเหมือนกัน

หญิงสาวกระทืบพื้นและไล่ทันชายหนุ่ม เธอเดินไปด้านข้างและพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “สิ่งที่ข้าถามไม่ได้ไร้ความหมาย ด้วยเสื้อผ้าของเจ้าไม่ว่าเจ้าจะดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่มาที่นี่เพื่อเข้าร่วมสำนัก มองไปที่คนอื่นๆสิ ไม่มีใครแตกตัวเหมือนกับเจ้าเลย เจ้าต้องรู้ว่าเมื่อสำนักเมฆาฟ้ารับศิษย์…”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วอีกครั้งและลอบถอนหายใจ จากมุมมองของเขา หญิงสาวคนนี้เหมือนกับลูกเจี๊ยบเกิดใหม่และเป็นเรื่องน่ารำคาญมากกว่า

หากไม่ใช่ว่าระดับฝึกฝนของเขาต่ำมากในตอนนี้ เขาคงได้สะบัดแขนเสื้อและพัดหญิงที่กำลังกวนเขาให้เจ็บปวดแทน

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและเป็นยามบ่ายของวันนั้น ดวงอาทิตย์เป็นประกายในท้องฟ้าและเม็ดเหงื่อไหลซึมออกจากหน้าผากชายหนุ่ม เขายิ้มอย่างขื่นขมในใจ นานแล้วนับตั้งแต่ที่เขาลมหายใจขาดห้วงเหมือนคนธรรมดา

ขณะเดียวกันนั้นหญิงสาวถัดจากเขาหยิบของในกระเป๋าและนำเอาลิ้นจี่ออกมา หลังวางมันเข้าในปาก เธอมองชายหนุ่มและยกมือขึ้นเข้าหาเขาพร้อมกับถามว่า “เจ้าต้องการนี่ไหม?”

ชายหนุ่มไม่แลเหลียว เขาส่ายศีรษะและเดินหน้าต่อไป

หญิงสาวแค่นเสียงทางจมูกเล็กน้อยและไม่กวนอีกต่อไป เธอกลับไปด้านข้างพี่ชายและวางลิ้นจี่ทั้งหมดในฝ่ามือเขา

สองชั่วโมงถัดมาประตูสำนักเมฆาฟ้าปรากฎให้เห็นไกลสายตา ชายหนุ่มถอนหายใจหลังจากมองไปที่ประตูอันงดงามแห่งนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่เขาจะคิดถึงสำนักเหิงยั่ว

ชายหนุ่มคนนี้คือหวังหลิน

กล่าวให้ถูกก็คือร่างอวตารของหวังหลินที่สูกสร้างโดยวิชาร่างอวตาร ร่างนี้ถูกสร้างจากร่างหลักมีเลือดและมีเนื้อของจริง

แต่ร่างนี้มีอายุขัยเพียงสามสิบปีเท่านั้น

นี่เป็นเพียงแผนเดียวของเขาในการทะลวงผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิดโดยไม่สูญเสียระดับฝึกฝน ส่วนร่างหลักได้ซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งใกล้กับสำนักเมฆาฟ้า

เขาได้ทิ้งถ้ำที่ใช้ก่อนหน้านี้ไปแล้วเพราะเมื่อร่างอวตารปรากฎ ลำแสงส่องทะลุไปถึงยอดฟ้า

ซึ่งทำให้เขารีบทิ้งถ้ำและค้นหาสถานที่ใหม่เพื่อปิดประตูฝึกฝน

ขณะที่ร่างหลักปิดประตูฝึกฝน ร่างอวตารนี้อาศัยในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ตีนภูเขามาสองสามเดือน เมื่อเขาได้ยินว่าสำนักเมฆาฟ้าเปิดรับสมัคร จึงขบคิดเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจหาทางเข้าไป

จึงเป็นเหตุให้เกิดสถานการณ์ปัจจุบัน แผนดั้งเดิมของหวังหลินเมื่อเขาใช้น้ำพลังปราณจนหมด จะเข้าไปลักพาตัวศิษย์ของสำนักเมฆาฟ้ามาคนหนึ่งและกลมกลืนเข้าสำนักเพื่อขโมยเม็ดยา

แต่ตอนนี้กลับมีการรับสมัครเกิดขึ้น หากเขาสามารถเข้าสำนักได้โดยไม่มีปัญหา หวังหลินจึงตัดสินใจยกเลิกแผนเดิมก่อน

คนทั้งหมดที่สามารถเข้าสำนักเมฆาฟ้าไปได้จะถูกพาไปด้านในภูเขาเพื่อพักผ่อน เมื่อช่วงเวลาสิบวันผ่านไป สำนักเมฆาฟ้าจะมีกระบวนการคัดเลือก

หญิงสาวที่เดินกับหวังหลินถูกศิษย์ที่ประตูสำนักเมฆาฟ้านำไป พี่ชายเธอก็จากไปด้วยแต่ก่อนที่เขาจะไปได้หันมามองหวังหลินไม่กี่ครั้ง

ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่ง แม้ระดับฝึกตนของเขาจะเสียไปแต่ประสบการณ์ยังอยู่ที่นี่ ชายเบื้องหน้าเขาแน่นอนว่ายังไม่ใช่ขั้นแกนลมปราณและอย่างดีที่สุดคือขั้นพื้นฐานลมปราณระดับปลาย หากหวังหลินใช้ร่างหลัก เขาสามารถสังหารได้ง่ายๆ

หลังพักผ่อนที่สำนักเมฆาฟ้ามาหลายวัน คำสามคำเหนือท้องฟ้าค่อยๆจางหายไปจนกระทั่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย สัญญาณช่วงการรับสมัครคนของสำนักเมฆาฟ้าได้สิ้นสุดลงแล้ว

เรื่องต่อไปก็คือรับคนราวๆสิบคนเพื่อเข้าร่วมเป็นศิษย์ของสำนักเมฆาฟ้า คนอื่นนอกเหนือจากนั้นจะถูกขับไล่ออกจากภูเขา

วันนี้เอง ผู้คนหลายพันคนที่ต้องการเข้าร่วมสำนักเมฆาฟ้าได้นั่งขัดสมาธิบนเวทีขนาดใหญ่ที่ตีนภูเขาพร้อมกับกำลังรอการทดสอบ ในเหล่าคนพวกนี้มีทั้งชายหญิง แก่และเยาว์วัย และบางคนกระทั่งบรรลุขั้นแกนลมปราณขณะที่คนอื่นๆเหมือนกับหวังหลินคือมีเพียงขั้นรวบรวมลมปราณระดับสองหรือระดับสามเท่านั้น

มีศิษย์ของสำนักเมฆาฟ้าหลายสิบคนยืนอยู่ขอบเวทีด้วยใบหน้าไม่แตกต่างกัน พวกเขามีแววตาอันภาคภูมิใจ นอกเหนือจากนั้นพวกเขาเป็นสมาชิกของสำนักเมฆาฟ้าดังนั้นตำแหน่งพวกเขาต่างสูงกว่าคนที่ต้องการเข้าร่วม

ไม่นานนักชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีขาวปัดลายเม็ดยาสามเม็ดบนแขนเสื้อได้ลอยลงมาจากภูเขา เขาลอยไปในบริเวณเหนือเทวีและมองทุกคนก่อนจะพูดน้ำเสียงโทนต่ำ “หากท่านหวังจะเข้าร่วมสำนักเมฆาฟ้าของข้า จงลดการแบ่งชนชั้นลง หากทำไม่ได้ก็จงออกไปตอนนี้ซะ”

เมื่อพูดจบ ไม่มีใครในหลายพันคนบนเวทีจากไป พวกเขามองขึ้นมาที่ชายผู้นั้นด้วยแววตามุ่งมั่น ในคนพวกนี้มีเซียนขั้นแกนลมปราณไม่กี่คน พวกเขารู้ว่าคำพูดของชายวัยกลางคนหมายถึงพวกเขา

หลังรอเพียงเล็กน้อยชายวัยกลางคนสะบัดแขนขวาและเกิดการระเบิดขึ้นใจกลางเวที ผลักดันให้คนใกล้ๆหนีห่างเปิดเป็นเส้นผ่าศูนย์กลางสิบฟุตบนเวที

ในเวลาเดียวกันหมอกสีดำลอยขึ้นเป็นแนวจากพื้นดิน มันดูโอ่อ่าอย่างมาก เสาหมอกสีดำหนาแห่งนี้ให้ความรู้สึกราวกับแขนยักษ์คว้าท้องฟ้าขึ้นไป หลังมันขึ้นจากพื้นมันตั้งตรงสู่ท้องฟ้า หากมองจากด้านล่างจะไม่สามารถเห็นยอดได้

น้ำเสียงชายวัยกลางคนลอยเข้าหาฝูงชน “ใช้วิธีไหนก็ได้ที่ท่านต้องการ ตราบใดที่สามารถสัมผัสถึงวัสดุในเสาหมอกดำแห่งนี้ได้เมื่อนั้นท่านผ่านคุณสมบัติ จำกัดเวลาคือหกชั่วโมง!” เช่นนั้นเขาร่อนลงด้านข้างและยืนอย่างเงียบๆมองดูเสาหมอกดำแห่งนี้

ใบหน้าหวังหลินยังคงปกติ เขาจ้องไปที่เสาหมอกดำและเริ่มคิด แม้ว่าเขาจะเป็นร่างอวตารแต่เมื่อสร้างขึ้นมามันไม่ได้มีระดับฝึกฝนหรือสัมผัสวิญญาณใดจากร่างหลักแต่วิชาทั้งหมดและความทรงจำจากเทพโบราณยังคงอยู่ครบถ้วน

ดวงตาหวังหลินสั่นเทาเล็กน้อย เขาวิเคราะห์เสาหมอกจนเริ่มเผยรอยยิ้มบนใบหน้าช้าๆ จากมุมมองของเขา เสาแห่งนี้เป็นกฎเกณฑ์รูปแบบหนึ่งอย่างชัดเจนและเป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้ทดสอบทุกคนที่พยายามมองผ่านมัน

หนทางนี้ต้องเป็นการกำจัดผู้คนที่มาเข้าร่วมด้วยความตั้งใจไม่ดีแต่หวังหลินไม่แน่ใจว่ากฎเกณฑ์จะตอบสนองอย่างไร

ศิษย์แบบไหนที่สำนักเมฆาฟ้าต้องการหาด้วยกฎเกณฑ์แบบนี้กัน?

จามความรอบรู้ด้านกฎเกณฑ์ของหวังหลิน มันเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะแก้ไขกฎเกณฑ์นี้ได้ ซึ่งเป็นผลให้แม้จะมีคนหลายพันคนบนเวที แทบไม่มีใครสามารถมองผ่านกฎเกณฑ์ได้

และหากหวังหลินสามารถมองผ่านกฎเกณฑ์ได้นั่นนับว่าโดดเด่นเกินไปและบางคนอาจจะโต้แย้งเรื่องที่เขาต้องการเข้าร่วมสำนัก แต่เรื่องนี้ยังไม่ใช่ส่วนสำคัญที่สุด หวังหลินกังวลว่าหากเขาไม่รู้ว่าสำนักเมฆาฟ้าต้องการศิษย์แบบไหนและหวังหลินสามารถทำลายกฎเกณฑ์ได้ เช่นนั้นเขาจะได้รับความสนใจจากสำนักเมฆาฟ้ามากเกินไป ซึ่งทำให้ความเสี่ยงนี้ไม่คุ้มค่าเลย

ดังนั้นหวังหลินจึงไม่ได้ทำลายกฎเกณฑ์ทันทีแต่รอคอยไว้ เขาไม่เชื่อว่าสำนักเมฆาฟ้าจะเพียงแค่รวบรวมคนและบอกพวกเขาว่าไม่มีใครผ่านคุณสมบัติ

หากการวิเคราะห์ของเขาถูกต้อง บางคนควรจะค้นหาคำตอบนี้เจอในไม่ช้า

เวลาสามชั่วโมงผ่านไปในพริบตา บางคนในฝูงชนกระสับกระส่าย พวกเขาต่างพยายามหยั่งเชิงด้วยสัมผัสวิญญาณแต่เมื่อไหร่ที่สัมผัสวิญญาณเข้าใกล้หมอกดำ พลังลึกลับสายหนึ่งจะผลักมันออก ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิธีไหนจะพบแต่ความล้มเหลว

ในที่สุดคนผู้หนึ่งตบกระเป๋าและนำไม้แกะสลักออกมา ไม้มีรูปร่างราวกับอินทรี เขาท่องบทไม่กี่คำจากนั้นโยนไม้แกะสลักเข้าหาเสาหมอกดำ

ชายวัยกลางคนที่รับผิดชอบการรับสมัครศิษย์ไม่ได้กล่าวอะไรเกี่ยวกับการกระทำนี้แต่เขามองไปที่เสาอย่างเงียบๆ หวังหลินสังเกตได้ว่าแม้ชายวัยกลางคนจะมีสีหน้าสงบ ศิษย์ของสำนักเมฆาฟ้ารอบๆต่างเผยใบหน้าประหลาดใจชั่วขณะ

เมื่อไม้รูปอินทรีปรากฎ มันขยายขนาดขึ้นและในที่สุดเปลี่ยนเป็นอินทรีสีทองพุ่งเข้าหาเสา แต่ขณะที่มันสัมผัสกับเสาหมอก แขนข้างหนึ่งปรากฎออกมาคว้าอินทรีทองและดึงมันเข้าไปในหมอกมืด

คนที่ส่งอินทรีทองออกมามีใบหน้าเปลี่ยนไปทันที เขายืนขึ้นอย่างรวดเร็วและหันหน้าเข้าหาชายวัยกลางคน “ผู้น้อยขอยอมแพ้และขอให้ผู้อาวุโสคืนสมบัติ สิ่งนี้เป็นสมบัติประจำตระกูล ได้โปรดท่านอาวุโส!”

ชายวัยกลางคนตรวจสอบคนผู้นั้นและเอ่ยอย่างช้าๆ “ไม้อินทรีทองเป็นสมบัติตกทอดของตระกูลกงซุน สำนักของเราจะไม่เก็บไว้แน่นอน เมื่อเจ้าจากไปแล้วมันจะกลับไปหาเจ้าเมื่อทุกคนออกไป”

ใบหน้าชายผู้นั้นผ่อนคลายเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความขอบคุณขณะที่เดินลงเวที

ชายวัยกลางคนเน้นเสียงอีกครั้ง “ข้าได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า พวกเจ้าสามารถใช้สิ่งใดก็ได้ตราบใดที่สามารถเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในชัดเจน เมื่อนั้นเจ้าผ่านคุณสมบัติ”

ตอนนี้ผู้เยาว์คนหนึ่งบนเวทีถามขึ้นอย่างรอบคอบ “แต่หากเราพูดว่าสิ่งใดอยู่ข้างในเสา เช่นนั้นคนอื่นที่อยู่ที่นี่จะไม่รู้เหมือนกันหรือ?”

ชายวัยกลางคนยิ้มและตอบกลับ “เป็นไปไม่ได้! หากว่าหนึ่งในพวกเจ้าสามารถมองผ่านหมอกได้ เจ้าจะรู้ความลับที่วางไว้ที่นี่”

เมื่อแขนออกมาจากเสาหมอกดำ ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น เขาเฝ้ารอดูกฎเกณฑ์ตลอดเวลาและเมื่อแขนปรากฎขึ้น ช่องว่างหนึ่งได้ปรากฎ ด้วยความรู้ของเขาและดวงตาสวรรค์ เขาจึงเห็นเม็ดยาหลายเม็ดที่ลอยอยู่ในเสาหมอกข้างในได้ทันที

ใบหน้าหวังหลินเป็นเช่นปกติแต่หัวใจเต้นผิดจังหวด ทว่าเขาครุ่นคิดชั่วขณะและไม่ได้ทำอะไรผลีผลาม เวลานี้หลายคนเริ่มไม่อยู่กับที่และในฝูงชนต่างนำสมบัติของตัวเองออกมาเพื่อพยายามทำลายหมอกมืด

คนแล้วคนเล่าเริ่มโจมตีด้วยสมบัติวิเศษ ทุกๆครั้งจะมีแขนข้างหนึ่งโผล่ออกมาคว้าสมบัติและดึงมันเข้าไปในหมอกมืด หากชายวัยกลางคนไม่ได้พูดอะไรเช่นนั้นพวกเขาคงไม่กล้าใช้สมบัติทั้งหมดนี้ แต่สำนักเมฆาฟ้าได้กล่าวไว้แล้วว่าหากพวกเขายอมแพ้ สมบัติทั้งหมดจะถูกส่งคืนเมื่อพวกเขาจากไป เป็นผลให้ทุกคนไม่กังวลและสมบัติวิเศษหลายชิ้นปรากฎในท้องฟ้าทีละอย่าง

มองผ่านรอยร้าวจากการโจมตี หวังหลินจึงสามารถเห็นทุกสิ่งที่อยู่ในกฎเกณฑ์ได้ชัดเจน นอกจากนั้นเขามีเนตรสวรรค์ที่สามารถมองผ่านกฎเกณฑ์ได้

ภายในนั้นมีเม็ดยา 11 เม็ด หินหยก 11 ก้อนและเตาปรุงยาที่มีแผ่น 11 แผ่นสลักอยู่บนนั้น

หวังหลินไม่รู้ว่าสามอย่างนี้เป็นตัวแทนของอะไร แต่ขณะที่แสงสีทองปรากฎรอบหมอกดำ เมื่อนั้นแสงสีทองกระพริบหนึ่งครั้งภายในหมอกเช่นเดียวกัน หลังแสงสีทองวนรอบเสาเล็กน้อยมันกลายเป็นหินหยกและลอยเข้าสู่ฝ่ามือหญิงสาวนางหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ณ จุดนี้เองดวงตาชายวัยกลางคนสว่างขึ้น เขาเคลื่อนร่างไปถัดจากนางอย่างรวดเร็วและวางหยกในมือนาง หลังมองหินหยกเล็กน้อย เขายิ้มและพูดขึ้น “เจ้าผ่าน!” พร้อมกันนั้นเขาสะบัดแขนและศิษย์คนหนึ่งจากสำนักเมฆาฟ้าออกมาพานางไป

“นำนางขึ้นไปบนภูเขา!” ชายวัยกลางคนยิ้มให้หญิงสาว เขาสะบัดแขนเสื้อและกลับไปตำแหน่งที่เขาอยู่และรอให้คนถัดไปผ่าน

สตรีนางนั้นยังคงรู้สึกราวกับทุกสิ่งไม่ชัดเจนขณะที่ยังงุนงงเธอได้ถูกนำขึ้นไปบนภูเขาจากศิษย์สำนักเมฆาฟ้าคนหนึ่ง

เมื่อเห็นว่าผ่านการทดสอบหนึ่งคน ทุกคนบนเวทีต่างเริ่มพูดคุยกันและกันแต่สำหรับคนของสำนักเมฆาฟ้ากลับไม่ได้ถูกก่อกวนเลย

ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น เขาเห็นชัดเจนว่าไม่ใช่เพราะหญิงสาวเห็นผ่านหมอกดำได้ แต่หินหยกภายในหมอกดำเลือกนาง

และเมื่อชายวัยกลางคนเห็นหินหยกตกในฝ่ามือนาง เขาไม่ได้ประกาศว่าเธอผ่านทันทีแต่เข้าไปตรวจสอบก่อนจะประกาศมัน หวังหลินตัดสินว่าชายวัยกลางคนเข้าไปตรวจสอบว่าหยกเลือกเธอจริงๆ ดังนั้นหากเขาทำอะไรผลีผลามเช่นก่อนเขาคงได้เผยจุดอ่อนไปแล้ว

หวังหลินเหยียดยิ้ม วิธีที่สำนักเมฆาฟ้าแห่งนี้รับศิษย์นับว่าประหลาดมาก

ขณะนั้นเอง แสงสีทองพลันเริ่มกระพริบจากเสาอีกครั้ง ดวงตาหวังหลินกระพริบและฝ่ามือขวาลอบสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาหนึ่งอย่าง ด้วยพลังปราณที่เขามีตอนนี้สามารถใช้ได้เพียงกฎเกณฑ์ง่ายๆและไม่สามารถใช้วงกลมมายาได้เลย

แต่กฎเกณฑ์ที่เขาครอบครองคือกฎเกณฑ์โบราณที่ตกทอดมาจากเทพโบราณ มันไม่ใช่สิ่งที่เซียนธรรมดาจะเปรียบได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!