300. หินหยกสวรรค์ (1)
หลังจากผลักฝ่ามือออก พลังปราณทั้งหมดในร่างกายหวังหลินหายไปทันทีเนื่องจากกับดักอสูร หวังหลินเคยชินกับสถานการณ์เช่นนี้ดังนั้นจึงกระดกเม็ดยาอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะละลายในปาก พลันนำหินหยกออกมาเปิดค่ายกลขึ้นและเลือกสถานที่แบบสุ่ม
เมื่อผีเสื้อแดงเงยศีรษะขึ้น หวังหลินก็หายตัวไปแล้ว แววตานางปรากฎสายตาอันหนาวยะเยือก
“คนผู้นี้สามารถเข้าถึงค่ายกลเคลื่อนย้ายได้ ดังนั้นตัวตนของเข้าต้องไม่ธรรมดา รวมถึงจิตใจแห่งเต๋าของเขาแข็งแกร่งมากจึงระมัดระวังอย่างสูง มีเขตแดนประหลาดและสมบัติวิเศษนับไม่สิ้น เขาต้องเป็นศิษย์ระดับสูงสุดของแคว้นอันดับห้าแน่ๆ…” แววตาของนางส่องสว่างขึ้นขณะหันตัวกลับและเหาะเหินออกไปไกลเพื่อค้นหาปราณสวรรค์
หวังหลินไม่ได้ตรวจสอบพื้นที่อย่างละเอียด เมื่อมาถึงจึงช่วยไม่ได้ที่จะตื่นตกใจ พื้นที่ส่วนนี้ราวกับโลกแห่งลาวาอัคคีที่ปกคลุมอยู่บนพื้น มีฟองความร้อนพุ่งขึ้นมาเป็นครั้งราวและส่งกลิ่นเหม็นฉุนกระจาย
ท้องฟ้ามืดมิดและรอยแยกอวกาศปรากฎขึ้น
หวังหลินลอยอยู่ในอากาศพลันมองไปรอบๆด้าน พื้นที่ส่วนนี้แตกต่างจากอีกสองแห่งที่เขาจากมาอย่างมาก มันดูเหมือนพร้อมจะล่มสลายได้ทุกเมื่อโดยเฉพาะรอยแยกอวกาศในท้องฟ้าที่ดูราวกับปากของปิศาจ
หวังหลินขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าทำไมค่ายกลเคลื่อนย้ายของสำนักต้าโหลวทั้งหมดถึงได้ตั้งอยู่บนชิ้นส่วนอันตรายพวกนี้ นี่หมายความว่ายิ่งพื้นที่ชิ้นส่วนอันตรายเท่าไหร่ก็ยิ่งมีพลังปราณสวรรค์มากเท่านั้นหรือ?
หวังหลินเหาะเหินออกจากค่ายกลเคลื่อนย้ายด้วยคำถามเหล่านี้ในหัว เขากระจายสัมผัสวิญญาณออกมาขณะเหาะเหินลงเพื่อหลบเลี่ยงรอยแยกอวกาศ ทุกสิ่งทุกอย่างยังดีอยู่จนกระทั่งเขาห่างจากพื้นได้ร้อยฟุตและรอยแยกอวกาศแห่งหนึ่งปรากฎด้านข้างเขาอย่างเงียบๆ
หวังหลินตกใจเพราะสัมผัสวิญญาณสังเกตไม่ได้เลย ทว่าเขาไม่ใช่เด็กใหม่ในโลกแห่งเซียนดังนั้นจึงตอบสนองอย่างรวดเร็ว ขณะที่รอยแยกอวกาศปรากฎหวังหลินจึงฝืนบังคับร่างกายให้เคลื่อนไปด้านข้าง
รอยแยกปรากฎอย่างรวดเร็วแต่หายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน แทบในทันทีที่มันปรากฎมันก็หายไปแล้ว
หน้าผากหวังหลินปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบขณะมองด้านข้างตนเอง รอยแหว่งบนเสื้อผ้าของเขาหายไปราวกับถูกกลืนกิน
หวังหลินมองรอบๆอย่างระมัดระวัง ในตอนนี้ความอันตรายเปรียบได้เทียบเท่ากับดินแดนของเทพโบราณเลยด้วยซ้ำ
วิธีการที่รอยแยกอวกาศจะปรากฎขึ้นนับว่าน่าขนลุกเกินไป หวังหลินไม่สามารถตรวจจับมันได้เลย เขาขบคิดเล็กน้อยก่อนจะลดตัวลงอย่างช้าๆ ใช้เวลาเกือบชั่วโมงเพื่อเหาะลงไปในระยะหนึ่งร้อยฟุต
ตำแหน่งนี้ค่อนข้างสูงซึ่งไม่มีรอยแยกอวกาศหลายแห่งปรากฎขึ้นที่ความสูงนี้และความร้อนจากลาวาไม่ได้ทรงพลังนัก ทว่าความระมัดระวังของหวังหลินไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อยขณะที่เขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้อย่างช้าๆ เขาต้องการดูว่าทำไมสำนักกระบี่ต้าโหลวถึงได้วางค่ายกลเคลื่อนย้ายไว้ที่นี่
พื้นที่รอบๆไม่ได้เงียบสนิท มันมีเสียงดังก้องออกมาจากพื้นทุกชั่วขณะหรือไม่ก็การประทุของฟองความร้อน เสียงพวกนี้ผสมกันทำให้ผู้คนรู้สึกร้อนในใจ
ขณะที่เหาะเหินหวังหลินค่อยๆศึกษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่แห่งนี้ พื้นที่ส่วนนี้ไม่ได้ใหญ่มาก ความจริงมันเป็นพื้นที่ที่เล็กที่สุดที่เขาเคยไปมาก นอกจากหลุมบนพื้นทางทิศตะวันออกแล้วไม่มีสิ่งใดแปลกปลอมที่นี่อีก
หลังจากนั้นพักใหญ่หวังหลินมาถึงด้านบนหลุม เขามองลงไปและเห็นว่าเป็นหลุมมืดสนิทข้างใน
พลันครุ่นคิดเล็กน้อยและไม่ซี้ซั้วเข้าไปแต่ใช้เวลาหลายวันเพื่อค้นหาตลอดพื้นที่แห่งนี้ให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดอื่นอีกก่อนจะมาถึงหลุมอีกครั้ง
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นและขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไป แสงหนึ่งปรากฎในท้องฟ้าขณะที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายโผล่ออกมาในอากาศ
หวังหลินเผยใบหน้ายินดี เขากำลังกังวลที่จะเข้าไปแต่หากมีใครสักคนเข้าไปก่อนเขามันจะปลอดภัยสำหรับหวังหลินมากกว่า
ในตอนนี้ร่างทั้งสองคนปรากฎภายในค่ายกลเคลื่อนย้ายและแต่ละคนมีกระบี่เล่มหนึ่งเบื้องหลังตนเอง หลังจากเดินออกมาหนึ่งในนั้นพูดขึ้นทันที “น้องหก นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้ามาที่นี่ดังนั้นเจ้าต้องให้ความสนใจรอยแยกอวกาศพวกนั้น จำไว้ว่าต้องกระตุ้น ’วิถีค้นหาสูงสุด’ ตลอดเวลา!”
คนด้านข้างเขาพยักหน้าถี่รัว จากนั้นทั้งสองคนเหาะเข้าหาหลุมอย่างระมัดระวัง
ระหว่างทางที่ลงมา รอยแยกอวกาศหลายแห่งปรากฎใกล้พวกเขาแต่ทั้งสองดูเหมือนจะตรวจจับได้และเคลื่อนที่ออกห่างได้ล่วงหน้า ความเร็วที่เคลื่อนลงมากระทั่งมากกว่าหวังหลินหลายเท่า
ระดับของเซียนทั้งคู่คือขั้นตัดวิญญาณระดับต้น ดังนั้นจึงไม่สามารถตรวจจับหวังหลินได้ซึ่งบรรลุสัมผัสวิญญาณของเซียนตัดวิญญาณระดับปลาย
น้องหกมองไปที่หลุมบนพื้นและเอ่ยถาม “พี่สาม หรือนี่คืออารามอสูรสวรรค์?”
“ถูกต้อง ที่นี่คือหนึ่งในอารามอสูรทั้งสิบหกแห่ง ท่านบรรพชนพบสถานที่แห่งนี้โดยบังเอิญหังจากเข้ามาดินแดนสวรรค์หลายครั้ง แต่สถานที่แห่งนี้มีคนรู้จักหลายคน ครั้งล่าสุดที่ข้ามาที่นี่มีกลุ่มคนสามกลุ่มอยู่เพื่อค้นหาเหล่าวิญญาณอสูรสวรรค์” พี่สามตอบคำถามจากนั้นดูเหมือนจะนึกสิ่งหนึ่งได้และเอ่ยออกมา “จำไว้ว่าเจ้าไม่สามารถใช้เคลื่อนพริบตาข้างในได้ ดังนั้นเจ้าควรจะต้องระมัดระวังให้ดี”
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ร่างพวกเขาจมลงและเข้าไปในหลุม
เงาร่างหวังหลินปรากฎข้างนอก ร่างเขาหายวับไปอย่างเงียบๆขณะเข้าไปในหลุมเช่นกัน หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาเพื่อตรวจสอบรอบด้านอย่างละเอียดและติดตามรอยทั้งสอคนเบื้องหน้าเขาไปด้วย
“พี่ใหญ่สาม หลังจากครั้งนั้นจะยังมีวิญญาณอสูรสวรรค์เหลืออยู่อีกหรือ? และแม้จะพอมีเหลืออยู่บ้างมันคงยากที่จะได้มาด้วยพวกเราเพียงแค่สองคน”
“น้องหกไม่เข้าใจ หากมีวิญญาณอสูรสวรรค์หลงเหลืออยู่ พวกมันคงอ่อนแอมากเนื่องจากขาดแคลนพลังปราณสวรรค์เป็นอาหาร เมื่อเราค้นพบสักตัวและนำกลับไปที่สำนัก เราจะทำคุณประโยชน์ให้สำนักอย่างงาม ตอนนั้นท่านบรรพชนก็สามารถหาวิญญาณอสูรสวรรค์หนึ่งดวงที่นี่ ทำให้ดาวเคราะห์ต้าโหลวเป็นปึกแผ่นและทำให้สำนักต้าโหลวมีชื่อเสียง”
หวังหลินตื่นเต้นขณะที่ฟังทั้งสองคนคุยกัน แม้เขาจะไม่รู้ว่าอารามอสูรสวรรค์คืออะไร ฟังจากชื่อและที่ทั้งสองคนพูดคุยกันแล้วเขาจึงพอจะเดาได้ว่ามันคืออะไร
สถานที่แห่งนี้ควรจะเป็นบ้านของเหล่าอสูรสวรรค์ในดินแดนสวรรค์แห่งนี้ อสูรสวรรค์ไม่ได้ตายทั้งหมดในภัยพิบัติและบางส่วนยังหลงเหลืออยู่จากการผสมพันธุ์
ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำไมที่นี่จึงมีค่ายกลเคลื่อนย้าย
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นขณะที่ติดตามพวกเขาไป หลุมนี้ไม่ได้ลึกมากดังนั้นพวกเขาจึงร่อนลงบนพื้นอย่างรวดเร็วและพลันเคลื่อนที่ไปเบื้องหน้า
หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกและตกใจ สถานที่แห่งนี้คือถ้ำขนาดใหญ่ โครงสร้างราวกับรังผึ้งที่มีทางเข้านับไม่ถ้วน
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะเหาะเข้าหาหนึ่งในทางเข้าพวกนี้ ทางเข้าแห่งนี้เป็นเหมือนกับที่หนึ่งในสองคนเบื้องหน้าเขาเข้าไป
ขณะที่เหาะเหินหวังหลินหยุดลงขณะที่เห็นในสัมผัสวิญญาณว่าทั้งสองคนเบื้องหน้าหยุดกึกห่างไปราวหนึ่งร้อยฟุต ข้างหน้าทั้งสองคนคือรูปปั้นหินสูงนับสิบฟุต
รูปปั้นหินแห่งนี้คืออสูรรูปร่างคล้ายนกยักษ์
“ครั้งก่อนท่านบรรพชนพบวิญญาณอสูรสวรรค์ที่นี่ ศิษย์น้องจงป้องกันตัวเองไว้ขณะที่ข้ารวบรวมพลังปราณสวรรค์รอบๆนี่”
หลังจากน้องหกได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นกระบี่เล่มหนึ่งลอยออกมาจากแผ่นหลังและลอยคว้างเหนือศีรษะ เขาสังเกตการณ์รอบๆอย่างระมัดระวัง หากมีสิ่งใดผิดปกติจะรับรู้ทันที
ศิษย์พี่สามมองไปที่น้องหกด้วยใบหน้าพึงพอใจและสูดหายใจลึก หลังจากใช้วิชาบางอย่างที่ไม่รู้จัก เส้นโลหิตในฝ่ามือโผล่ออกมาขณะที่เขาผลักไปสู่รูปปั้นหิน เกิดเสียงดังก้องขึ้นหนึ่งขุด รูปปั้นหินถูกผลักไปด้านข้างและใบหน้าเขาซีดเผือด พลันเคลื่อนถอยกลับไปสองสามก้าวและขยับฝ่ามือเกิดเป็นสายลมรุนแรงพัดไปบนรูปปั้น
รูปปั้นเคลื่อนที่อีกครั้งเกิดเป็นหลุมขนาดเท่ากำปั้นบนพื้นดิน เสี้ยวพลังปราณสวรรค์ออกมาจากหลุมนั้น
เขาตบกระเป๋าอย่างรวดเร็วและนำเอาขวดน้ำเต้าสีเขียวขนาดเล็กออกมา พลังปราณสวรรค์ถูกน้ำเต้านี้ดูดซับรวดเร็วมาก
“น้องหก การเก็บเกี่ยวครั้งนี้นับว่าดีมาก มีพลังปราณสวรรค์เพียงพอให้สร้างหยกสวรรค์สองชิ้นให้เราคนละชิ้น และมีพอให้สำนักที่กำหนดขั้นต่ำไว้” ศิษย์พี่สามหัวเราะขณะเคลื่อนรูปปั้นหินกลับอย่างช้าๆไว้ที่เดิม
น้องหกพยักหน้า มองไปที่น้ำเต้าและถามขึ้น “นั่นต้องเป็นน้ำเต้าชำระวิญญาณใช่ไหม?”
พี่ใหญ่สามนำเม็ดยาออกมาและกลืนลงไป เขาโบกน้ำเต้าในฝ่ามือและพูดอย่างภูมิใจ “ถูกต้อง นี่คือน้ำเต้าชำระวิญญาณที่ท่านบรรพชนหลอมขึ้นมาเป็นการส่วนตัวซึ่งมีเพียงสามชิ้น ด้วยสิ่งนี้จะสามารถรวบรวมพลังปราณสวรรค์ได้อย่างรวดเร็วและไม่จำเป็นต้องเสียเวลาปรับแต่งมันอีก”
หวังหลินเห็นเหตุการณ์นี้ด้วยสัมผัสวิญญาณและความสนใจของเขาตกลงไปบนน้ำเต้า น้ำเต้านี้นับว่าเป็นสมบัติที่ดีเยี่ยม หากเขามีมันจะลดเวลาที่ต้องใช้ในการปรับแต่งพลังปราณสวรรค์และทำให้เขาเก็บรวบรวมได้มากขึ้น
หวังหลินยิ้มอย่างเยือกเย็น จากสังเกตทั้งสองคนซึ่งต้องเป็นคนของสำนักต้าโหลวแน่ๆ นับตั้งแต่ที่เขาไปก่อกวนสำนักให้โกรธเกี้ยวไปแล้ว หวังหลินหาทางขโมยสมบัติชิ้นนั้นอาจจะดียิ่ง
ทั้งสองคนต่างเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับต้น แม้ว่าน้องหกพึ่งจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณและระดับฝึกฝนยังไม่เสถียร ทว่าทั้งสองคนต้องมีของบางสิ่งซ่อนไว้แน่นอน ดังนั้นหวังหลินจึงไม่ทำอะไรผลีผลามและรอคอยจังหวะที่เหมาะสม
ทั้งสองคนนี้พูดคุยกันเล็กน้อยก่อนจะเหาะเหินไปที่ทางเข้าถ้ำ
สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยทางคดเคี้ยว หากหวังหลินไม่ได้ใช้สัมผัสวิญญาณจับบนตัวพวกเขาก็คงจะหลงทางแน่ หลังจากทั้งสองเคลื่อนร่างออกไปพักใหญ่ พี่ใหญ่สามหยุดลงขณะจ้องไปยังพื้นที่ห่างไกลด้วยใบหน้าประหลาดใจ
ห่างไปช่วงหนึ่งมีร่างศพกำลังพิงกับผนัง บอลแสงในกำมือของศพกำลังเปล่งแสงอ่อนๆ