375. สำนักหลอมวิญญาณ
เมื่อช่องว่างเกิดขึ้น พลังปราณจำนวนมากจากข้างนอกได้เข้าไปในร่างหวังหลิน ขณะเดียวกันวิญญาณดั้งเดิมที่แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็เริ่มควบแน่น แม้ว่ามันจะไม่ได้ฟื้นฟูดังเดิมขึ้นแต่มันไม่ได้กระจายกันอีก
หวังหลินหลับตาทันทีและบ่มเพาะอย่างเงียบๆ
สามวันหลังจากนั้น ท้องฟ้ามืดครึ้มและหิมะปกคลุมทั้งภูเขา มองไกลดูราวกับทั้งภูเขาฝังอยู่ในหิมะ
เกล็ดหิมะตกลงมาทางหวังหลินทว่าละลายห่างออกไปสามนิ้ว เกิดเป็นรอยน้ำวงกลมรอบตัวเขาอย่างช้าๆ
รอยแผลเป็นรูปใบชาบนหน้าผากอันสะดุดตาไม่มีอีกต่อไปขณะที่ด้านหน้าเขาบ่งบอกว่ามันกำลังจางหายไป
เมื่อหวังหลินลืมตาขึ้นมันเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ
“รอยแผลรูปชาได้หายไปแล้วสิบในร้อยส่วน ผนึกคลายออกและระดับฝึกฝนของข้าฟื้นฟูกลับมาที่ขั้นพื้นฐานลมปราณระดับต้น ทำให้ข้าสามารถใช้สมบัติจำนวนมากในกระเป๋าได้ เรื่องนี้ต้องขอบคุณอสูรยุง ตราบใดที่ข้าไม่พบเซียนขั้นตัดวิญญาณ ข้าจะปลอดภัย”
“ทว่าหินหยกสวรรค์ได้ถึงขีดจำกัดที่ร่างกายข้าสามารถทนได้ในตอนนี้ หากข้าใช้มันอีกข้ากลัวว่าร่างกายจะกลายเป็นฝุ่นผงด้วยพลังปราณสวรรค์ก่อนที่เขตแดนและผนึกจะถูกทำลาย”
“ตอนนี้ข้าสามารถทำได้แค่พยายามบรรลุขั้นแกนลมปราณให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เมื่อข้าบรรลุขั้นแกนลมปราณข้าจะสามารถใช้หินหยกสวรรค์ได้อีกชิ้นและลองทำลายเขตแดนและผนึกให้เสร็จสิ้น”
“อย่างไรก็ตามข้าเพียงแค่มีหินวิญญาณระดับสูงหลายก้อนดังนั้นข้าไม่สามารถเก็บมันไว้ใช้เช่นนี้ได้ ข้าจำเป็นต้องหาสถานที่ที่มีพลังปราณหนาแน่นและสงบเงียบเพื่อบ่มเพาะ ข้าต้องฟื้นฟูระดับฝึกเซียนของข้าให้กลับมาดังเดิมภายในเวลาเก้าปีไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น!”
หลังจากคิดสักพักดวงตาพลันว่างขึ้นและกระโดดขึ้นบนหลังอสูรยุง
มันร้องอย่างมีความสุขและพาหวังหลินออกไป
หวังหลินก้มศีรษะมองลงมาที่หมู่บ้านอัคคีเมฆา หลังจากสังหารพวกชายกำยำและชายหน้าบาก ความโกรธส่วนมากของเขาได้รับการปลดปล่อย หวังหลินลูบศีรษะเจ้ายุงและมันร้องคำรามมุ่งหน้าตรงไป
“ช้าลง!” ใบหน้าหวังหลินเปลี่ยนแปลง ระดับฝึกฝนของเขาแค่ฟื้นฟูมาถึงขั้นพื้นฐานลมปราณระดับต้นเท่านั้น ดังนั้นเขาไม่สามารถทนต่อความเร็วเจ้ายุงที่มีระดับใกล้เคียงขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายได้
เจ้ายุงค่อยๆบินช้าลงโดยทันที
ขณะนั่งบนหลังของมัน หวังหลินนำหยกแผนที่ออกมามองไปทางทิศใต้ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำนักหลอมวิญญาณแห่งแคว้นพิลูตั้งอยู่
“หนึ่งในสามสำนักใหญ่แห่งแคว้นพิลูบนทวีปซูซาคุต้องมีพลังปราณอุดมสมบูรณ์ภายในสำนักเป็นแน่!”
เหตุผลที่เขาเลือกสำนักหลอมวิญญาณนั่นก็เพราะมันเป็นสำนักประหลาดมาก มีเพียงศิษย์หลักไม่กี่ร้อยคนเท่านั้นแต่กลับมีศิษย์สายนอกมากกว่าหมื่นคน
เมื่อเปรียบกับอีกสองสำนักใหญ่ในแคว้นพิลู สำนักหลอมวิญญาณมีจำนวนศิษย์หลักน้อยที่สุด การจะเปรียบเทียบกับอีกสองสำนักใหญ่ด้วยศิษย์หลักเพียงไม่กี่ร้อยคนนั้นแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่มีแค่สำนักหลอมวิญญาณที่มีสมบัติอันที่ดีเยี่ยมแต่ระดับฝึกฝนของศิษย์หลักก็ทรงพลังเช่นกัน
สำนักหลอมวิญญาณไม่เคยรับสมัครศิษย์จากเหล่าเด็กทั่วไป มีเพียงทางเดียวที่จะกลายเป็นศิษย์หลักแห่งสำนักหลอมวิญญาณได้นั่นก็คือการเป็นศิษย์สายนอกก่อน
ทุกๆสามปีเหล่าศิษย์สายนอกจะมีการประลองหนึ่งครั้งซึ่งหนึ่งในนั้นจะถูกเลือกกลายเป็นศิษย์หลัก เหล่าศิษย์หลักต่างก็แข่งขันทุกๆสามปีเช่นกันแต่ในการแข่งขันนั้นจะมีหนึ่งคนถูกเตะออกไป นั่นหมายความว่าหากมีคนกลายเป็นศิษย์หลัก พวกเขายังมีโอกาสถูกเตะออกได้อีก
การเป็นศิษย์สายนอกเป็นเรื่องง่ายดาย ตราบใดที่จ่ายหินวิญญาณเพียงพอ การจะมีสถานะเป็นศิษย์สายนอกขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
มีภูเขาใหญ่จำนวนมากล้อมรอบสำนักหลอมวิญญาณซึ่งมีพลังปราณหนาแน่นมากกว่าธรรมดาหลายเท่า ซึ่งที่เหล่านี้เป็นตำแหน่งที่ศิษย์สายนอกอาศัยอยู่
แม้ว่าพวกเขาคือศิษย์สายนอก แต่ความจริงแล้วเพียงแค่จ่ายหินวิญญาณเพื่อเช่าถ้ำให้ฝึกฝนข้างในเท่านั้น
วิธีการของสำนักหลอมวิญญาณดันประหลาดมากและหาเจอยากในซูซาคุ ไม่มีใครรู้เหตุผลที่พวกเขาทำเช่นนี้
ด้วยเหตุนี้หวังหลินจึงเลือกสำนักหลอมวิญญาณ แผนที่มีข้อมูลเกี่ยวกับสำนักหลอมวิญญาณอย่างละเอียด หวังหลินเชื่อว่าคนที่ขายหินหยกให้เคยมาที่นี่ครั้งนึงและกลายเป็นศิษย์สายนอกของสำนักหลอมวิญญาณในช่วงเวลาหนึ่ง
แคว้นพิลูเป็นแคว้นเซียนอันดับห้าและมีตระกูลเซียนนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ในเหล่าสามสำนักใหญ่ ตระกูลเหล่านี้ต่างก็ส่งศิษย์จำนวนมากมาเข้าสำนักใหญ่ทุกสามปี
ไม่มีศิษย์คนไหนในตระกูลเซียนจะได้รับสิทธิพิเศษ พวกเขาต้องเริ่มจากจุดล่างสุดเว้นแต่ว่าจะมีพรสวรรค์ที่ฝืนสวรรค์เท่านั้น
หวังหลินมาถึงใกล้ๆสำนักหลอมวิญญาณหลังขี่บนอสูรยุงเป็นเวลาเจ็ดวัน เมื่อห่างจากสำนักห้าร้อยลี้ เขาลงจากเจ้ายุงและนำกระบี่เหินธรรมดาออกมา พลันกระโดดขึ้นกระบี่และเหาะเหินไปทางสำนัก
หลังจากนั้นไม่นานสำนักหลอมวิญญาณก็เข้ามาสู่ระยะสายตา ทว่าห่างจากสำนักไม่กี่ลี้กลับมีแสงบางๆป้องกันไม่ให้เขาเข้าไป
หวังหลินรู้ได้ว่ามันเป็นค่ายกลป้องกันของสำนักดังนั้นเขาจึงเก็บกระบี่เหินทันทีและร่อนลงไป
ขณะนี้เองลำแสงสีม่วงและสีแดงเข้ามาผ่านหวังหลินจากข้างหลังเกิดเป็นคลื่นเสียงกระแทก ต้นไม้ในป่าทั้งหมดล้มลงจากแรงลมที่แสงพวกนั้นสร้างขึ้น
เมื่อแสงสีแดงเข้ามาใกล้ ชายชราผมสีแดงเข้าสู่ระยะสายตา ใบหน้าเขาผู้นี้ประหลาดมาก ปากและจมูกมีขนาดใหญ่แต่ดวงตาเล็กกระจิ๊ดริด
หลังจากหวังหลินเห็นเขา ดวงตาพลันสว่างขึ้นและยืนด้านข้างๆอย่างนอบน้อมทันที
ชายชรากำลังจะเข้าสำนักหลอมวิญญาณทว่าเมื่อหันกลับมาเขาเห็นหวังหลินจึงตกใจจากนั้นมองไปที่รอยแผลเป็นบนใบหน้าและร้องตะโกน “เจ้าเป็นศิษย์สำนักไหน?”
หวังหลินเอ่ยอย่างนอบน้อม “ศิษย์เป็นเซียนเร่ร่อน หวังว่าจะกลายมาเป็นศิษย์สายนอก”
ชายชรามองดูหวังหลินและพยักหน้า “การบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณด้วยการเป็นเซียนเร่ร่อนนับว่าไม่ง่าย เจ้าต้องการจะกลายเป็นศิษย์สายนอกเพื่อหาสถานที่ปิดด่านฝึกตนใช่ไหม?”
หวังหลินเผยสายตาเคารพและเอ่ยขึ้น “นั่นถือว่าเป็นเจตนาของศิษย์”
ชายชราโบกแขนเสื้อและเอ่ยขึ้น “เจ้ามาช้าไปแล้ว เวลาการรับศิษย์สายนอกผ่านไปนานแล้ว กลับบ้านไปและค่อยมาใหม่อีกสองสามปี” เช่นนั้นเขากำลังจะก้าวเข้าไปในสำนัก
หวังหลินเยาะเย้ยในใจแต่เผยสายตาเคารพ เขาแกล้งเจ็บปวดใจขณะนำกล่องผนึกชิ้นหนึ่งออกมา “ผู้อาวุโส นี่เป็นกระบี่เหินที่ผู้น้อยพบเมื่อไม่กี่ปีก่อนและยังไม่ได้ใช้งาน ผู้อาวุโสโปรดรับมันไว้ ศิษย์แค่หวังว่าจะกลายเป็นศิษย์สายนอกเท่านั้น”
หวังหลินสามารถเห็นได้ง่ายๆว่าชายชราคนนี้เป็นเพียงแค่เซียนขั้นแกนลมปราณเท่านั้น ด้วยระดับฝึกฝนของเขาแค่กระบี่เหินก็ถือว่าเป็นของมีมูลค่ามากแล้ว
ชายชราหยุดกึกและมองหวังหลินด้วยรอยยิ้มบางๆ เขาคิดว่าหวังหลินเป็นเซียนเร่ร่อนแน่นอนเพราะเขาฉลาดมากกว่าเหล่าตระกูลใหญ่ๆพวกนั้น พลางโบกแขนและกล่องผนึกร่อนลงบนฝ่ามือเขา เมื่อเปิดออกมาเขาเผยใบหน้าปิติยินดี
แต่ซ่อนความสุขไว้โดยพลันและเอ่ยถาม “เจ้าเจอมันจากที่ไหน?”
หวังหลินเอ่ยอย่างนอบน้อม “หลายปีก่อนข้าช่วยเซียนขั้นแกนลมปราณคนหนึ่ง เขาบาดเจ็บสาหัสและข้าช่วยคุ้มกันเขาตอนที่กำลังฟื้นฟู เขายกกระบี่เล่มนี้ให้เป็นการขอบคุณแต่ระดับฝึกฝนของข้าต่ำเกินไปที่จะใช้มัน”
ชายชราดวงตาสว่างวาบและเอ่ยขึ้น “โอ้? บาดเจ็บอะไรหล่ะ? อธิบายให้ข้าฟังซิ”
ด้วยการเป็นเซียนถึงห้าร้อยปีของหวังหลิน ทั้งหมดที่เขาทำก็แค่สร้างเรื่องขึ้นมาให้ดูเหมือนจริง หลังชายชราได้ยินเล็กน้อยความสงสัยในใจก็หายไป คนเบื้องหน้าเขาเป็นแค่เซียนขั้นพื้นฐานลมปราณ หากไม่พบเจอเรื่องราวด้วยตัวเองแล้วไม่มีทางที่เขาจะอธิบายอาการบาดเจ็บได้ชัดขนาดนี้ แม้ว่าจะมีบางอย่างที่คลุมเครือแต่ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา หากอธิบายชัดเกินไปมันจะดูหลอกหลวง
“ตกลง ข้าเห็นว่าเจ้าตรากตำอย่างนักเพื่อบรรลุระดับฝึกฝนของเจ้า ดังนั้นข้าจะถือเป็นข้อยกเว้น ตามมา!” เช่นนั้นชายชราเข้าไปในสำนักหลอมวิญญาณ ขณะเดียวกันก็นำป้ายสิทธิ์และกดไว้เบื้องหลังเขา แสงที่ป้องกันไม่ให้หวังหลินเข้าไปกลับหายในทันที
หวังหลินเดินเข้าไปใอย่างรวดเร็ว
“ตามข้ามาใกล้ๆ มีกฎเกณฑ์จำนวนมากภายในสำนักหลอมวิญญาณของข้า หากเจ้าเข้าไปสักที่ข้าจะไม่ช่วยเจ้านะ” สิ้นคำชายชราเหาะเหินไปข้างหน้า
หวังหลินตบกระเป๋าและกระบี่เหินเล่มหนึ่งปรากฎ เขาก้าวขึ้นไปบนกระบี่และติดตามชายชราไป
หลังจากนั้นไม่นานชายชราหยุดลงบนหน้าผาหนึ่ง มีปราสาทหรูหราอยู่ที่นี่พร้อมกับบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนใกล้เคียง
หลังชายชราร่อนลงเขาร้องตะโกน “จางต้าเว่ย!”
“ข้ากำลังมา เจ้าผมแดงจะตะโกนหาอะไร?” น้ำเสียงขี้เกียจออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง ในไม่ช้าจึงมีชายวัยกลางคนเดินออกมา เส้นผมของเขายุ่งเหยิงราวกับสระผมครั้งล่าสุดเมื่อหลายปีมาแล้ว
ชายชราผมแดงหัวเราะและเอ่ยขึ้น “นี่เป็นศิษย์ที่ข้าพบระหว่างทาง เจ้าจะนำเขาเป็นศิษย์สายนอกได้ไหม?”
ชายวัยกลางคนอ้าปากค้างขณะชำเลืองมองหวังหลินซึ่งยืนอยู่เบื้องหลังชายชราผมแดง เขาเอ่ยอย่างขี้เกียจ “เมื่อเจ้าถามด้วยตัวเอง ข้าจะปฏิเสธอย่างไรเล่า?”
ผู้อาวุโสผมแดงยิ้มและเอ่ยขึ้น “ครั้งนี้ข้ารวบรวมวิญญาณอาฆาตได้มากกว่าร้อยดวงตอนที่ออกจากสำนักไป ข้าจะเพิ่มมันเข้าไปในธงวิญญาณเพื่อทำให้มันกลายเป็นวิญญาณหลัก เมื่อเสร็จสิ้นค่อยมาดื่มกับเจ้า”
เช่นนั้นชายชราเหาะเหินออกไปไกล
ชายวัยกลางคนมองหวังหลินและเอ่ยถาม “เจ้าชื่ออะไร?”
หวังหลินเอ่ยอย่างนอบน้อม “ศิษย์ชื่อเฉียนมู่”
“ถ้ำแห่งที่ 1090 บนภูเขาลูกนี้จะเป็นของเจ้า การใช้มันมีราคาเท่ากับหินวิญญาณระดับกลางหนึ่งก้อนต่อหนึ่งปี” ชายวัยกลางคนโยนป้ายสีดำให้หวังหลิน
หวังหลินนำหินวิญญาณระดับกลางออกมาสองก้อนให้ดูราวกับเจ็บปวดหัวใจ หลังจากชายวัยกลางคนรับหินวิญญาณไปเขาไม่ให้ความสนใจหวังหลินอีกและจากไป
แต่ก่อนที่หวังหลินจะออกไป ชายวัยกลางคนเอ่ยถามทันที “เจ้าให้อะไรกับผมแดง?”
หวังหลินตอบกลับตรงไปตรงมา “กระบี่เหินที่ผู้อาวุโสคนหนึ่งให้ข้าในอดีต”
“ไม่สงสัยเลยว่าเจ้าผมแดงจะมีความสุขนาดนั้น! เฉียนมู่แม้เจ้าจะเป็นขั้นพื้นฐานลมปราณก็ไม่ควรอวดดีนัก แม้จะไม่มีขั้นพื้นฐานลมปราณในหมู่ศิษย์สายนอกมากนักแต่ยังมีปริมาณพอดี อีกหกเดือนนับจากวันพรุ่งนี้จะเป็นการเริ่มต้นแข่งขันของศิษย์สายนอก หากเจ้าบ่มเพาะระดับฝึกฝนด้วยความขยัน เจ้าอาจจะมีโอกาสกลายเป็นศิษย์หลัก” ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะและเดินเข้าไปในห้อง
ขณะนี้เองหลิวเหมยมองมาทางสำนักหลอมวิญญาณจากภูเขาที่ห่างไปยี่สิบห้าลี้ นางถือหินหยกก้อนหนึ่งไว้ มันเป็นหินหยกที่ท่านบรรพชนส่งมาผ่านทางผู้ส่งสาส์น แม้ว่ามันจะไม่สามารถหาตำแหน่งที่แน่นอนของหวังหลินได้ มันจะเกิดการตอบสนองหากเขาอยู่ภายในระยะห้าสิบลี้
ซึ่งในตอนนี้หินหยกกำลังปลดปล่อยแสงสีเขียว
หลิวเหมยกระซิบ “หรือเขาจะอยู่ที่สำนักหลอมวิญญาณ…”