Skip to content

Reuan Si La Chapter 6

ตอนที่ 6

เดินชนนาคราช

สองชั่วโมงต่อมา ปู่กับหลานต่างสายเลือดก็กลับมาถึงบ้าน

แต้วรีบยกน้ำเย็นมาเสิร์ฟ “น้ำเย็นๆมาแล้วค้า”

“ขอบใจนะ” / “ขอบคุณค่ะพี่แต้ว”

นัทชัยดื่มน้ำแล้วก็ถามหาภรรยาทันที “คุณจินล่ะ”

“คุณจินยังไม่กลับค่ะ แต่เดี๋ยวคงมาถึงมั้งคะ”

นัทชัยพยักหน้ารับรู้แล้วก็โบกมือไล่ แต้วจึงเดินเลี่ยงไป เอาถาดไปเก็บแล้วก็จัดแจงเอากระเป๋าของเจ้านายไปเก็บบนห้อง

พอดื่มน้ำหมดแก้ว นัทชัยก็หันไปบอกกับหลานสาวว่า “ลินจี้หนูไปอาบน้ำไปลูก เดี๋ยวคุณย่ากลับมาจะได้มาทานข้าวกัน”

“ค่ะคุณปู่” ลินจิราวางแก้วน้ำแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปยังเรือนเล็กของตัวเอง

นาคินทร์รีบตามสาวน้อยไปทันที

เรือนเล็ก เป็นบ้านหลังเล็กขนาดกระทัดรัด 1 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก ที่นัทชัยสร้างให้ลินจิราเมื่อปีที่แล้ว บริเวณรอบๆ รายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ ดูร่มรื่นน่าอยู่

สาวน้อยเจ้าของบ้านเลื่อนประตูกระจกเปิดออก ก้มลงถอดรองเท้าวางไว้หน้าบ้านแล้วเดินเข้าไปภายใน ก็เจอกับแต้วกำลังเดินออกมาจากห้องนอน

“คุณลินจี้ขา พี่แต้วเอากระเป๋าไปเก็บในห้องให้แล้วนะคะ”

“ขอบคุณค่ะพี่แต้ว” ลินจิรายิ้มให้

แต้วก็รีบถามว่า “คุณลินจี้จะอาบน้ำเลยมั้ยคะ พี่แต้วจะได้เปิดน้ำอุ่นใส่อ่างให้ค่ะ”

“ค่ะพี่แต้ว”

แต้วจึงเดินกลับเข้าไปในห้องนอน เดินเข้าไปในห้องน้ำจัดแจงเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างอาบน้ำ

ลินจิราเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง วางกระเป๋าถือไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง  พอดีกับที่แต้วเดินออกมาจากห้องน้ำ

“ไปเชียงรายสนุกมั้ยคะ” แต้วถามพร้อมกับเดินไปนั่งแปะบนพรมขนแกะหนานุ่มหน้าชั้นวางทีวี

ลินจิราเดินไปเปิดกระเป๋าเดินทางที่แต้วเอามาวางไว้ตรงปลายเตียง พลางหันไปตอบสาวใช้ช่างจ้อว่า “สนุกค่ะ คุณปู่พาไปเที่ยวหลายที่เลยค่ะ ลินจี้ซื้อของมาให้พี่แต้วด้วยนะคะ”

แล้วหล่อนก็หยิบถุงของฝากออกจากกระเป๋าส่งให้แต้ว

“ขอบคุณค่ะคุณลินจี้” แต้วรับมาแล้วก็เปิดดูทันที

หล่อนหยิบเสื้อผ้าฝ้ายทอมือสีขาวออกมาดูอย่างถูกอกถูกใจ “อ๊าย…กรี๊ด…สวยถูกใจพี่แต้วมากค้า ขอบคุณนะคะ ถ้างั้นพี่แต้วขอไปลองเสื้อก่อนนะคะ”

แล้วแต้วก็รีบพับเสื้อใส่ถุง ลุกขึ้นเดินออกไปอย่างปลื้มอกปลื้มใจกับเสื้อตัวใหม่ แต่พอแต้วเดินผ่านห้องรับแขกก็รู้สึกขนลุกเหมือนมีใครจ้องมองอยู่

“อึ๋ย…ทำไมอยู่ๆขนแขนมันแข่งกันสแตนอัพอย่างนี้ล่ะ” แต้วมองไปรอบๆตัวอย่างหวาดๆ

นาคินทร์จึงเลิกมองแต้วที่เดินออกมาจากห้องด้านใน แล้วหันไปมองรูปภาพบนชั้นแทน

แต้วจึงรีบเดินออกจากเรือนเล็กแบบจ้ำอ้าว

นาคินทร์เดินสำรวจจนทั่วห้องรับแขก แล้วก็เดินไปยังประตูห้องที่เห็นสาวน้อยเดินหายเข้าไป ประตูห้องเปิดทิ้งเอาไว้ นาคินทร์เดินเข้าไปข้างใน เขาเห็นลินจิรากำลังรื้อของออกจากกระเป๋า เขาจึงเดินไปยืนอยู่ข้างเตียงมองดูการกระทำของหล่อน

ลินจิราชะงักกึกรู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องมองอยู่ หล่อนจึงเงยหน้าขึ้นมองตรงไปยังจุดที่นาคินทร์ยืนอยู่ แต่ก็ไม่เห็นใครเลย

“ไม่เห็นมีใครซักหน่อย หมู่นี้เราเป็นอะไรไปเนี่ย ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนมีใครอยู่ด้วยแบบนี้นะ” หล่อนพึมพำกับตัวเองแล้วมองไปรอบๆห้อง

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเลย หล่อนจึงรื้อของในกระเป๋าต่อ

ครู่ต่อมาหล่อนก็จัดข้าวของเก็บเรียบร้อย สาวน้อยจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อคลุมออกมาวาง แล้วก็จัดการเปลื้องเสื้อผ้าออกจากตัวทันที

นาคินทร์ซึ่งกำลังมองเพลินๆก็สะดุ้ง! “เฮ้ย!”

ศีลธรรมที่มีในใจทำให้เขาเกิดความละอายใจ จึงรีบเดินออกจากห้องไปทันที

หน้าขาวแดงก่ำได้แต่สถบอยู่ในใจ แม่เด็กนี่!…จะผลัดผ้าก็มิบอกกล่าวกันบ้างเลย มันน่านักเชียว…

ลินจิราสวมเสื้อคลุมแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป น้ำในอ่างเต็มอ่างพอดี หล่อนจึงปิดน้ำแล้วเดินไปยืนตรงอ่างล้างหน้า

จัดการล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ผลักประตูกระจกเข้าไปในห้องอาบน้ำ หล่อนถอดเสื้อคลุมออกแขวนไว้กับขอแขวนบนผนังแล้วก็เปิดน้ำอุ่นอาบน้ำล้างเนื้อตัวให้สะอาด จากนั้นก็เดินออกมานอนแช่น้ำในอ่างอย่างสบายอารมณ์

นาคินทร์ซึ่งยืนมองต้นไม้ใบหญ้าอยู่ พอได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาเดินออกมาจากห้อง เขาก็หันไปมอง จึงเห็นสาวน้อยใส่ชุดเดรสกระโปรงบานพริ้วสีม่วงอ่อนเดินออกมา ใบหน้าสวยไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางใดๆมีเพียงลิปกลอสสีชมพูอ่อนแต่งแต้มบนริมฝีปากเท่านั้น

ลินจิราปิดประตูห้องนอนแล้วก็เดินผ่านห้องรับแขกไปเลื่อนบานประตูกระจกเปิดออก หล่อนใส่รองเท้าแล้วหันมาเลื่อนประตูปิด แล้วก็เดินไปยังตึกใหญ่

นาคินทร์ก็รีบตามไปทันที

นัทชัยในเสื้อผ้าชุดใหม่ กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องรับแขก

พอเห็นหลานสาวเดินเข้ามาก็รีบบอกว่า “คุณย่ายังสาวของหนูกลับมาแล้วจ้า กำลังอาบน้ำอยู่ข้างบน เดี๋ยวก็คงลงมาล่ะ”

“ค่ะคุณปู่” ลินจิราเดินไปจะนั่งลงตรงข้ามกับคุณปู่

พลัน! หล่อนก็นึกขึ้นได้ “อุ๊ย! คุณปู่ขาลินจี้ลืมหยิบของฝากคุณย่ามาด้วย เดี๋ยวลินจี้มานะคะ”

แล้วหล่อนก็หมุนตัวเดินกลับไปยังเรือนเล็กทันที

นัทชัยมองตามพลางยิ้มเอ็นดูแล้วก็ก้มลงอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ

พอลินจิราเดินพ้นประตูตึกด้านข้างออกมา หล่อนก็ชนกับนาคินทร์ที่เพิ่งเดินมาถึง

“อุ๊บ!” ร่างบางเซถลาทันที

นาคินทร์รีบตวัดวงแขนรั้งไว้ไม่ให้สาวน้อยล้มลงไป

ลินจิราอุทานขอโทษอย่างลืมตัวว่า “อุ๊ย! Sorry”

ร่างบางแนบชิดกับร่างสูงสง่า ดวงตากลมโตมองนาคินทร์อย่างตกใจ

ส่วนนาคินทร์เองก็ตกใจเช่นกัน แต่เขาตกใจที่สถานการณ์ทำให้เขาปรากฎร่างให้สาวน้อยในอ้อมแขนได้เห็นก่อนจะถึงเวลาอันสมควร

พอตั้งสติได้ ลินจิราก็ผละออกจากคนที่ช่วยหล่อนทันที

“เอ๊ะ!…คุณเป็นใครคะ” หล่อนถามพร้อมกับจ้องหน้าเขาไม่วางตา

นาคินทร์จึงรีบยกมือขึ้นโบกผ่านใบหน้าสวย “จงหลับ!”

ฉับพลัน! ลินจิราก็หลับวูบไป

นาคินทร์รีบช้อนอุ้มเรือนร่างบางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน แล้วเดินกลับไปยังเรือนเล็กทันที

ดวงตาแดงเจิดจ้าตวัดตามองประตูกระจกแวบเดียว ประตูกระจกก็เลื่อนเปิดเอง

แล้วเขาก็อุ้มหล่อนเข้าไปภายในห้องรับแขก แล้วประตูกระจกก็เลื่อนปิดดังเดิม

เขาค่อยๆวางสาวน้อยลงบนโซฟายาว แล้วถอยห่างออกมาเล็กน้อย ดวงตาคมงามสง่าจ้องมองวงหน้าที่หลับพริ้มละมัย พลางปัดเส้นผมนุ่มสลวยให้พ้นจากวงหน้าสวย

“อีกมินานเจ้าก็จะได้รู้ว่าข้าเป็นใคร แต่ตอนนี้ยังมิถึงเวลา รออีกนิดนะเจ้าลิน”

เสียงทุ้มกังวานกระซิบบอก นิ้วเรียวขาวไล้ไปตามแก้มนวล ดวงตาคมงามสง่าทอดมองใบหน้าสวยด้วยแววตาอ่อนโยน

เขานั่งมองหล่อนอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงแต้วดังนำหน้ามาก่อนตัว “คุณลินจี้ขา คุณจินให้มาตามไปทานข้าวค่ะ”

นาคินทร์รีบผละออกห่างจากลินจิราทันที เรือนร่างสูงสง่าเลือนหายไปพร้อมกับแต้วเลื่อนประตูเปิดออก

“คุณลินจี้ขา” แต้วเรียกอีก แล้วเดินเข้าไปในบ้าน

พอเห็นเจ้านายสาวนอนอยู่บนโซฟาก็ยิ้มอย่างเอ็นดู “สงสัยคงจะเดินทางเหนื่อยถึงได้มานอนหลับอยู่ตรงนี้”

แต้วจึงเดินเข้าไปปลุก “คุณลินจี้ขา ตื่นเถอะค่ะ”

“อือ…” ลินจิราครางเบาๆในลำคอ

แต้วจึงเขย่าแขนเบาๆ “คุณลินจี้ขา คุณจินให้มาตามไปทานข้าวค่ะ”

“ฮื้อ” ลินจิราค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย

“พี่แต้วว่าอะไรนะคะ” หล่อนถามพร้อมกับค่อยๆลุกขึ้นนั่ง

“คุณจินให้มาตามไปทานข้าวค่ะ” แต้วบอก

“งั้นพี่แต้วไปบอกคุณย่านะคะว่าลินจี้ขอบายค่ะ ง่วงนอนจังเลยค่ะ ลินจี้ไปนอนก่อนล่ะค่ะ ฝากกู้ดไนท์คุณย่ากับคุณปู่ด้วยนะคะ จุ๊บๆค่ะ”

แล้วลินจิราก็ลุกขึ้นยืนท่าทางง่วงนอนสุดๆ พร้อมกับปิดปากหาวอีกหลายที แล้วหล่อนก็เดินเซๆเข้าห้องนอนไป

แต้วได้แต่มองตามอย่างขำๆปนเอ็นดู “โถ คงจะเหนื่อยคงจะเพลียมากถึงได้ง่วงนอนซะขนาดนั้น”

แต้วจึงเดินกลับไปที่ตึกใหญ่

ลินจิราเดินเซเข้ามาในห้องนอน หล่อนตรงดิ่งไปที่เตียงนอน ตวัดผ้าห่มหนานุ่มขึ้นแล้วแทรกตัวลงไปนอนหลับพริ้ม

เสียงสมาร์ทโฟนในกระเป๋าถือบนโต๊ะเครื่องแป้งดังติ๊งๆบ่งบอกว่ามีข้อความเข้า แต่ก็ไม่สามารถทำให้สาวน้อยบนเตียงลืมตาตื่นขึ้นมาดู วงหน้างามละมัยยังหลับสนิทอยู่เช่นเดิม

จนกระทั่งนาคินทร์เดินเข้ามาในห้อง ได้ยินเสียงข้อความเข้าจากสมาร์ทโฟนดังไม่หยุด เขาจึงโบกมือผ่านวูบไปที่กระเป๋าถือใบน้อย สมาร์ทโฟนก็ดับวูบไปทันที

ใบหน้างามสง่ายิ้มพรายอย่างพอใจ แล้วเขาก็เดินไปยืนตรงข้างเตียงก้มลงมองสาวน้อยซึ่งหลับสนิทด้วยอิทธิฤทธิ์ของตน

“หลับเสียเถิดเจ้าลิน แล้วจงลืมให้สิ้นว่าเจ้าได้พบกับข้า” เสียงทุ้มกังวานแทรกซอนเข้าสู่โสตประสาทร่างบางบนเตียงประดุจดังสะกดจิต

คิ้วโค้งเรียวสวยขมวดเข้าหากัน วงหน้าสวยขยับส่ายอย่างอึดอัดเล็กน้อย คล้ายจะต่อต้าน แต่เพียงครู่เดียววงหน้างามละออก็คลายความอึดอัดกลับคืนสู่นิทราอันแสนสุข

นาคินทร์ยิ้มพรายอย่างพึงพอใจ แล้วเขาก็เดินไปนั่งลงบนโซฟาใหญ่ยาวติดผนังกระจกที่ผู้เป็นเจ้าของห้องชอบใช้เป็นที่นั่งอ่านหนังสือ ร่างสูงเอนลงนอนหนุนหมอนขวานรูปสามเหลี่ยม แล้วมองออกไปยังต้นไม้ใบหญ้าในสวนสวยนอกบ้าน

หญิงสาวร่างอรชรอ้อนแอ้นห่มสไบสีครามนุ่งซิ่นยกดอกลายข้าวหลามตัดสีดำสลับเหลือง ถือพวงมาลัยดอกมะลิสลับกับใบแก้วลวดลายงดงามส่งให้นาคินทร์

“ข้ากรองมาลัยมาให้ท่านเอาไปบูชาพระที่วัดเจ้าค่ะ”

“ขอบใจแม่สร้อย มาลัยแม่งามนัก” นาคินทร์รับมาพลางทอดสายตาหวานมองสร้อยมณี

สร้อยมณียืนยิ้มเอียงอายขวยเขินจนหน้าแดงซ่าน

พลัน! ก็มีเสียงตะโกนเรียกดังแว่วมา “แม่สร้อย แม่สร้อย”

สร้อยมณีชะงักตกใจ “พ่อตามหาข้าแล้ว ข้าต้องกลับล่ะ” แล้วร่างอรชรก็หมุนตัวจะผละไปตามเสียงเรียก

นาคินทร์จึงรีบบอกกว่า “วันพรุ่งนี้พบกันที่วัดนะแม่สร้อย”

สร้อยมณีพยักหน้ารับเขินๆแล้วก็รีบวิ่งจากไปตามเสียงเรียก ร่างสูงสง่ายิ้มพึงใจมองตามร่างอรชรไปจนลับตา

นาคินทร์สะดุ้งลืมตาตื่นพึมพำเรียก “แม่สร้อย”

วงหน้างามสง่าปรากฎแววอาลัยอาวรณ์ ครั้นพอมองไปรอบๆตัว แววอาลัยอาวรณ์ก็เปลี่ยนเป็นโกรธขึ้งทันที

“แค้นของข้าจะต้องได้รับการชำระ” เสียงทุ้มกังวานเข่นเขี้ยวพลางมองจ้องไปที่ร่างน้อยบนเตียง

ณ สถานที่ใดก็ไม่อาจจะรู้ รอบๆตัวเหมือนจะเป็นป่ารกทึบ

ลินจิรายืนหมุนตัวมองไปรอบๆอย่างงุนงง

“เจ้าลิน” เสียงทุ้มกังวานใสดั่งระฆังแก้วดังขึ้นข้างหลัง

หล่อนรีบหมุนตัวหันไปมองทันที

“เอ๊ะ!” สาวน้อยอุทานงุนงง เมื่อเห็นร่างหนึ่งเลือนรางยืนห่างออกไป ทั้งๆที่ดูแล้วก็ไม่ได้ห่างอะไรมากมาย แต่ทำไมหล่อนจึงมองเห็นไม่ชัดเจน เหมือนว่ากำลังมองผ่านแผ่นกระจกขุ่นๆ

ร่างนั้นดูสูงผอมสมส่วน น่าจะเป็นผู้ชาย แต่งกายคล้ายๆภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังตามวัด ด้วยความอยากเห็นผู้ชายคนนั้นให้ชัดๆหล่อนจึงเดินเข้าไปหาเขา

“เมื่อกี้คุณเรียกใครคะ คุณเรียกฉันเหรอ” เสียงหวานใสถามออกไปพลางก้าวเข้าไปหาจนใกล้แค่เอื้อม

“ข้าเรียกเจ้านั่นแหละ เจ้าลิน” เสียงทุ้มกังวานใสตอบพลางเอื้อมมือมาลูบแก้มนวล

ลินจิราเอียงหน้าหนีทันทีพร้อมกับบอกว่า “คุณคงเรียกผิดคนแล้วล่ะค่ะ ฉันชื่อลินจิราค่ะ”

มือขาวเรียวตามมาลูบแก้มอีก “ใช่…เจ้าชื่อลินจิรา และก็เจ้าลินด้วย เจ้าลินๆๆๆๆ”

เสียงเรียกเจ้าลินดังซ้ำๆ สะท้อนกลับไปกลับมาจนลินจิราได้แต่ยืนนิ่งฟังอยู่อย่างนั้น หล่อนนึกอยากจะปฏิเสธ แต่หางเสียงที่ทอดหวานเรียกเจ้าลินนั้นฟังดูไพเราะหวานตรึงจิต ริมฝีปากบางจึงคลี่ยิ้มจางๆ วงหน้าสวยซุกแนบหมอนยิ้มจางๆ

ทำให้แต้วที่เดินเข้ามาปลุกยิ้มอย่างเอ็นดู “คุณลินจี้คะ ตื่นเถอะค่ะ”

แต้วแตะมือเรียวสวยที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมาพร้อมกับปลุกอีกครั้ง “คุณลินจี้คะ  เดี๋ยวไม่ทันใส่บาตรนะคะ”

“ฮื้อ…กี่โมงแล้วคะพี่แต้ว” เสียงหวานพึมพำถามทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา

“จะหกโมงแล้วค่ะ”

ลินจิราลุกพรวด “คะ…จะหกโมงแล้ว” ดวงตากลมโตหันไปมองนาฬิกาปลุกข้างหัวเตียงแล้วก็ทำตาโตยิ่งกว่าเดิม

“ตายแล้ว…จะทันใส่บาตรกับคุณย่ามั้ยเนี่ย”

ร่างบางระหงลุกพรวด พุ่งตัวเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันอย่างรีบด่วน

แต้วจึงจัดการทำเตียงให้เรียบร้อยแล้วเดินไปหน้าบ้านช่วยจินตนาเตรียมของใส่บาตร

ลินจิราหัวยุ่งนิดๆแต่ดูสวยใสเป็นธรรมชาติหลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วก็รีบเดินไปหน้าบ้านทันที

“มานี่เร็วลูก พระท่านเดินมานู้นแล้ว” จินตนาร้องเรียกเมื่อเห็นหลานสาวเดินแกมวิ่งมา

“วันนี้คุณลินจี้ตื่นสาย สงสัยเมื่อวานคงจะเพลียจัดจริงๆค่ะ” แต้วแซวยิ้มๆ

จินตนาไม่พูดอะไรรีบยกถาดส่งให้หลานสาว “อธิฐานก่อนลูก”

“ค่ะคุณย่า” ลินจิรารับถาดมาแล้วยกขึ้นอธิฐานตามที่คุณย่าสอน พออธิฐานเสร็จก็ยกถาดลง ถือเอาไว้รอใส่บาตร

พอพระเดินมาถึงทั้งสามคนก็ช่วยกันใส่บาตรจนครบทุกรูป แล้วก็นั่งลงรอฟังพระให้ศีลให้พร

นาคินทร์ซึ่งยืนดูอยู่ห่างๆ ก็ยอบตัวลงคุกเข่าพนมมือฟังพระสวดเช่นเดียวกัน

พอใส่บาตรเสร็จแล้วทั้งสามคนก็ช่วยกันเก็บโต๊ะเก็บถาด

ที่โต๊ะรับประทานอาหารบนตึกใหญ่ นัทชัยนั่งคู่กับจินตนา ส่วนลินจิรานั่งฝั่งตรงข้าม ทั้งสามคนทานอาหารเสร็จแล้ว ลินจิรารีบบอกก่อนที่คุณปู่คุณย่าจะแยกตัวไปว่า “คุณปู่คุณย่าคะ วันนี้ลินจี้ขอกลับดึกนะคะ ลินจี้จะไปปาร์ตี้วันเกิดไมเคิลค่ะ”

“จ้าลูก แต่อย่าดึกมากล่ะ ป้าเป็นห่วง” จินตนาบอกแล้วเอื้อมมือไปจับมือหลานสาวไว้อย่างห่วงใย

“หนูไม่ต้องขับรถไปเองก็ได้นะลูก นั่งแท็กซี่ไปแล้วขากลับโทรให้ลุงไปรับก็ได้นะลูก ขับรถค่ำๆมืดๆคนเดียวมันอันตราย” นัทชัยเสนอ

ลินจิรายิ้มแป้น “ขอบคุณค่ะคุณปู่คุณย่า แต่ไม่ต้องห่วงค่ะขากลับลินจี้ไม่ได้กลับมาคนเดียวค่ะ ส้มแป้นจะกลับมากับลินจี้ด้วยค่ะ ลินจี้นัดกับส้มแป้นไว้แล้วค่ะ”

“อ้อ…งั้นเหรอลูก” จินตนาพยักหน้ารับรู้ นึกดีใจที่เพื่อนของหลานสาวซึ่งบ้านอยู่ติดกันจะกลับมาด้วย จึงคลายความกังวล “งั้นก็ขับรถกลับดีๆนะลูก ป้ากับลุงไปทำงานล่ะ”

สองสามีภรรยาจึงลุกไป

ลินจิราจัดการเก็บจานชามไปวางไว้ในครัว แล้วเดินไปที่เรือนเล็กอาบน้ำแต่งตัวเตรียมตัวไปซื้อของขวัญวันเกิดให้เพื่อนสนิท

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!