Skip to content

Reuan Si La Chapter 7

ตอนที่ 7

งานเลี้ยงวันเกิดไมเคิล

ภายในผับเล็กๆ ซึ่งเป็นของจอห์นสันเพื่อนสนิทของไมเคิล ถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานวันเกิดของไมเคิล

เจ้าของวันเกิดกำลังเดินทักทายแขกเหรื่อในงาน

ส้มแป้นนั่งแท็กซี่จากที่ทำงานมาถึงหน้าผับ พอลงจากแท็กซี่ก็มองหาลินจิราทันที เพราะนัดกันเอาไว้ว่าจะเจอกันที่หน้าผับ แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนยังมาไม่ถึง ส้มแป้นจึงโทรหาลินจิรา

“ลินจี้ถึงไหนแล้ว ฉันรอเธออยู่หน้าผับแล้วนะ”

“ถึงแล้วล่ะ รอแป๊บนะ ฉันหาที่จอดรถก่อน” แล้วลินจิราก็กดตัดสาย พลางมองหาที่จอดรถ

ซึ่งวันนี้รถเยอะเป็นพิเศษเพราะแขกของไมเคิลมีมากมาย

พอหาที่จอดรถได้ ลินจิราก็คว้ากล่องของขวัญรีบล็อกรถแล้วเดินลิ่วๆ ตรงไปหาเพื่อนทันที

“ทางนี้ลินจี้” ส้มแป้นโบกมือเรียก

พอลินจิราเดินไปถึงหล่อนก็รีบจูงมือเพื่อนเข้าไปข้างในทันที

สองสาวช่วยกันมองหาเจ้าของงานท่ามกลางแสงไฟสลัวและแขกเหรื่อมากมาย

“นั่นๆ ไมเคิลอยู่นั่น” ส้มแป้นชี้อย่างจดจำได้แม่นยำ เพราะหล่อนแอบชอบไมเคิลนั่นเอง จึงจดจำลักษณะรูปร่างหน้าตาของชายในดวงใจได้แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้า

“ตาดีจังนะเธอ เห็นแค่ข้างหลังยังจำได้แม่นขนาดนี้ ไม่รีบบอกเค้าว่าชอบ ระวังคนอื่นจะคว้าไปนะเธอ” ลินจี้แกล้งแซว

ส้มแป้นเขินจนเผลอตีแขนเพื่อนแก้เขิน “ลินจี้นี่ เงียบๆไว้เลยนะ”

ลินจิรามองเพื่อนยิ้มๆ แล้วจึงจูงมือส้มแป้นเข้าไปทักทายเจ้าของงาน “Hi Micle.”

“Hi Linchee. Hi Orange” ไมเคิลทักทายตอบ เขาเรียกส้มแป้นว่า Orange เพราะออกเสียงง่ายกว่า พร้อมกับเข้าไปกอดและหอมแก้มทักทายแบบฝรั่ง

ทำให้นาคินทร์ซึ่งตามลินจิรามาด้วยมองอย่างไม่พอใจ “ฮึ่ม…ศีลธรรมเสื่อมทรามลงทุกทีๆ แม่หญิงสมัยนี้เหตุใดจึงมิรักนวลสงวนตัวกันเลย น่าชิงชังนักปล่อยให้ชายถูกเนื้อต้องตัวต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ น่าอนาจจริงๆ”

“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ค่ะ” สองสาวพูดพร้อมกันแล้วยื่นกล่องของขวัญให้ไมเคิล

“Thank you ครับ” ไมเคิลรับกล่องของขวัญแล้วแกะออกดูทันที เขาแกะกล่องของขวัญของลินจิราก่อน

พอเปิดออกดูข้างในเป็นอุปกรณ์วาดรูป เขาก็อุทานตาโตอย่างถูกอกถูกใจ “Oh!  Very good”

แล้วเขาก็เงยหน้าบอกขอบคุณลินจิราอย่างดีใจ “Thank you very much” พลางยื่นหน้ามาจุ๊บแก้มลินจิราแบบธรรมเนียมฝรั่ง

“คุณชอบ ฉันก็ดีใจแล้วล่ะไมเคิล” ลินจิราบอก

ไมเคิลจึงส่งของขวัญให้เพื่อนคนหนึ่งถือไว้ก่อน แล้วเขาก็หยิบกล่องของขวัญของส้มแป้นมาเปิดดู พอเห็นว่าเป็นเน็คไทผ้าไหมลวดลายสีสันถูกใจเขามากเขาก็บอกกับส้มแป้นว่า “Thank you very much”

แล้วเขาก็ยื่นหน้ามาจุ๊บแก้มส้มแป้น “ขอบคุณครับออเร้นท์ ผมชอบมากๆครับ”

ส้มแป้นยิ้มเขินจนหน้าแดง แล้วก็มีแขกคนอื่นเข้ามาทักทายกับไมเคิล สองสาวจึงเลี่ยงออกมา

ลินจิรากับส้มแป้นเลี่ยงไปนั่งที่โต๊ะ บริกรรีบถือถาดเครื่องดื่มเดินโฉบเข้าไปบริการทันที

ส้มแป้นหยิบแก้วค๊อกเทลมาแก้วนึงสำหรับตัวเอง แล้วก็สั่งกับบริกรว่า “น้องขอน้ำส้มแก้วนึงจ๊ะ”

“ครับ” บริกรรับคำแล้วก็เดินออกไป

เพียงครู่เดียวบริกรคนเดิมก็กลับมาพร้อมกับแก้วน้ำส้มวางเสิร์ฟบนโต๊ะ “น้ำส้มครับ”

“Thank you” ลินจิรายื่นทิปส่งให้แล้วก็หยิบน้ำส้มมาดื่ม

“เมื่อไหร่เธอจะบอกไมเคิลไปซักทีว่าเธอชอบเค้า มัวแต่แอบชอบแอบรักอยู่แบบนี้แล้วเมื่อไหร่เขาจะรู้ละส้มแป้น” ลินจิราพูดอย่างหงุดหงิดใจแทนเพื่อน เพราะเธอโตมากับวัฒนธรรมฝรั่ง ถ้าชอบใครก็บอกตรงๆไม่ต้องมีแอบมีซ่อน

“จุ๊ๆ เบาๆซิลินจี้” ส้มแป้นยกนิ้วจุ๊ปากห้ามปราม พร้อมกับเขยิบไปนั่งชิดกับเพื่อน

“เธอโตมากับวัฒนธรรมอเมริกัน แต่ฉันโตมากับวัฒนธรรมไทยนะ เธอก็รู้ผู้หญิงไทยร้อยเปอร์เซ็นแบบฉันจะทำอย่างที่เธอว่าไม่ได้หรอก จะให้ฉันเดินไปบอกไมเคิล Hey!…Micle…I love you… แบบที่เธอว่าน่ะ ฉันทำไม่ได้หรอก เกิดไมเคิลเค้าบอกว่าเค้าไม่ได้รักฉัน ฉันก็แย่ซิลินจี้ ฉันคงไม่กล้ามองหน้าเค้าอีกแน่ๆถ้าเขาพูดแบบนั้น” ส้มแป้นว่าแล้วก็มองตามไมเคิลที่ยังทักทายแขกอย่างเป็นกันเอง

ลินจิราได้แต่ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด “ตามใจเธอ แต่ถ้าเกิดไมเคิลแต่งงานกับคนอื่นเธอจะว่าฉันไม่บอกไม่ได้นะ ผู้หญิงที่อยากจีบไมเคิลมีตั้งเยอะแยะ ชอบก็แค่บอกว่าชอบ ไม่ชอบจะได้หันไปมองผู้ชายคนอื่นแทน…”

ลินจิราพูดยังไม่ทันจบจอห์นสันก็เดินเข้ามา “Hi Linchee. Hi Orange”

แล้วจอห์นสันก็จะเข้าไปนั่งข้างๆลินจิรา แต่ก็ต้องเบรกพรึ่ด! เพราะจู่ๆเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าที่นั่งข้างๆลินจิราร้อนวูบขึ้นมาทันทีทันใด เขาจึงเลี่ยงไปนั่งข้างส้มแป้นแทน

สองสาวทักทายจอห์นสันพร้อมกันว่า  “Hi John”

สองสาวมองกริยาที่จอห์นสันเปลี่ยนไปนั่งเก้าอี้อีกตัวอย่างงงๆ

“สบายดีมั้ยครับคนสวย” จอห์นสันถามทั้งสองคน แต่ส่งสายตาหวานเชื่อมให้ลินจิรา

ลินจิราเพียงยิ้มตอบตามมารยาทว่า “สบายดีค่ะ”

ส่วนส้มแป้นก็ตอบตามมารยาทว่า “สบายดีค่ะ”

“ไปเที่ยวเชียงรายสนุกมั้ยครับลินจี้” จอห์นสันถามพลางเอื้อมมือไปแตะปลายนิ้วลินจิราบนโต๊ะ

นาคินทร์มองจอห์นสันอย่างไม่ชอบใจ จนคนถูกมองรู้สึกร้อนๆหนาวๆพิกล  แต่เพราะต้องการคุยกับหญิงสาวที่เขาชอบเขาจึงฝืนทนเอาไว้

ลินจิราค่อยๆดึงมือตัวเองออกแล้วทำเป็นยกแก้วน้ำส้มขึ้นจะดื่มอย่างเนียนๆ

“ก็สนุกดีค่ะ” หล่อนตอบพลางยกแก้วน้ำส้มขึ้นจิบ

นาคินทร์จ้องจอห์นสันเขม็ง ไอนาคราชแผ่พุ่งเข้าใส่จนจอห์นสันรู้สึกร้อนรุ่มเหงื่อออกท่วมตัวประหนึ่งว่ากำลังยืนอยู่กลางทะเลทรายยามเที่ยงวันยังไงอย่างงั้น

“เอ…ทำไมตรงนี้มันร้อนขนาดนี้ละ” จอห์นสันพึมพำกับตัวเองพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อ

“เอ๊ะ! คุณเป็นอะไรคะจอห์น ทำไมเหงื่อท่วมตัวขนาดนี้ล่ะคะ ไม่สบายรึเปล่าคะ” ส้มแป้นทักพร้อมกับมองอย่างเป็นห่วง

แล้วหล่อนก็เอาหลังมือแตะแขนจอห์นสัน “อุ้ย!…ตัวร้อนๆนะคะจอห์น”

ลินจิรามองอย่างเป็นห่วงเช่นกัน หล่อนรีบหันไปเรียกบริกรคนนึงที่อยู่ใกล้ๆ “น้องๆ มานี่ซิ”

บริกรรีบเดินมาทันที “ครับ” เขาเลือกที่จะไปยืนข้างๆส้มแป้นแทน

ส้มแป้นจึงรีบบอกว่า “เจ้านายน้องท่าจะไม่ค่อยสบายนะรีบพาไปพักผ่อนก่อนดีกว่า ในนี้แอร์คงจะหนาวเกินไปจนไข้ขึ้นล่ะมั้ง”

บริกรคนนั้นหันไปมองเจ้านายตัวเองอย่างงงๆและเป็นห่วง “คุณจอห์นสันครับ  ไม่สบายเหรอครับ”

จอห์นสันมองหน้าลูกน้องตัวเอง “ไม่รู้ซิ มันร้อนๆยังไงไม่รู้ แอร์เสียรึเปล่า”

บริกรมองไปที่ช่องแอร์ เห็นริบบิ้นหน้าแอร์ยังพัดไหวๆ อากาศก็เย็นเป็นปกติดี “แอร์ยังทำงานดีอยู่เลยครับ อากาศก็ไม่ร้อนนะครับ ออกจะหนาวกว่าปกติด้วยครับ เพราะวันนี้แขกเยอะเลยต้องเร่งแอร์แรงกว่าทุกวันครับ”

จอห์นสันพยักหน้าพลางยกผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อตัวเองอีกครั้ง “สงสัยไอคงจะไม่สบายจริงๆมั้ง ถึงได้รู้สึกร้อนอย่างนี้”

แล้วเขาก็หันไปพูดกับสองสาวว่า “ผมคงจะไม่สบายจริงๆ คงต้องขอตัวก่อนนะครับ แล้วพบกันใหม่นะครับลินจี้ ออเร้นท์”

แล้วจอห์นสันก็ลุกไป บริกรคนนั้นก็เดินตามเจ้านายไปอย่างเป็นห่วง

หลังจากนั้นก็ถึงเวลาร้องเพลงเป่าเค้กวันเกิด พอไฮไลท์ของงานจบลงส้มแป้นกับลินจิราก็ไปลาเจ้าของงาน

ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน ส้มแป้นก็หันไปมองเบาะข้างหลังบ่อยๆ จนลินจิราอดถามไม่ได้ว่า “เป็นไรส้มแป้น ฉันเห็นเธอมองข้างหลังบ่อยๆ มีรถใครขับตามมาเหรอ”

แล้วลินจิราก็เหลือบมองกระจกมองข้างทั้งซ้ายขวาแล้วก็กระจกมองหลัง “ก็ไม่เห็นมีรถใครขับตามมาซักหน่อยนี่”

ส้มแป้นหันไปมองเบาะหลังอย่างหวาดๆ แล้วก็หันไปบอกเพื่อนว่า “ไม่รู้ซิ ฉันรู้สึกเหมือนมีใครนั่งอยู่ข้างหลังอย่างงั้นแหละ”

ลินจิราชะงักกึก! หล่อนก็รู้สึกเหมือนกับส้มแป้นนั่นแหละ แต่ไม่อยากทำให้เพื่อนกลัวจึงรีบกลบเกลื่อนว่า “ฮื่อ…คิดมากน่า เธอก็เห็นอยู่ว่ามีใครซะที่ไหนล่ะ”

จะว่าไปความรู้สึกนี้มันเริ่มรู้สึกได้ตั้งแต่ที่หล่อนออกจากเรือนศิลานั่นแล้วล่ะ รู้สึกเหมือนมีใครซักคนคอยมองตลอดเวลา ไม่ว่าจะไปทางไหนก็รู้สึกเหมือนมีใครซักคนติดตามไปด้วยเสมอ แต่หล่อนไม่เชื่อเกี่ยวกับเรื่องผี วิญญาณหรือสิ่งลี้ลับใดๆทั้งสิ้น  หล่อนเชื่อในเรื่องที่พิสูจน์ได้ จับต้องได้

ส้มแป้นเห็นเพื่อนทำหน้าเฉยๆ จึงพยายามเลิกกลัว “พรุ่งนี้เช้าฉันตื่นไปใส่บาตรกับเธอนะ”

“ตื่นไหวเหรอ” ลินจิราเหลือบมองเพื่อนแว๊บนึง “นึกยังไงถึงจะตื่นเช้าไปใส่บาตรล่ะ เห็นทุกทีตื่นเกือบเจ็ดโมงนี่”

“ก็แบบว่าอยากจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลเผื่อแผ่ให้ใครๆที่เขาตามมาขอส่วนบุญอ่ะ” ส้มแป้นบอกแล้วเหลือบมองไปข้างหลังพลางลูบแขนตัวเองไปมา

ลินจิราหัวเราะขำๆ “อ๋อ…เธอคิดว่ามีผีตามมาขอส่วนบุญพวกเราเหรอ ถึงคิดจะตื่นแต่เช้าไปใส่บาตรเนี่ย”

ส้มแป้นดุเพื่อนทันที “ลินจี้! กลางค่ำกลางคืนเขาห้ามพูดถึงผ…” หล่อนไม่กล้าพูดคำว่าผีจึงรีบเลี่ยงคำ “พวกแบบนั้น เขาถือรู้มั้ย”

ส่วนนาคินทร์ก็ไม่พอใจทันที ที่จู่ๆถูกเพื่อนหญิงของลินจิราเหมาว่าเป็นผี

ฮึ่ม…แม่คนนี้นี่! หาว่าข้าเป็นผีมาขอส่วนบุญเสียได้

ดวงตาแดงเจิดจ้าจึงฉายแววกรุ่นโกรธจ้องมองส้มแป้นเขม็ง

“อึ๊ย…ทำไมจู่ๆก็ขนลุกแบบนี้ล่ะ” ส้มแป้นพึมพำกับตัวเองพลางลูบแขนตัวเองไปมา สายตาชำเลืองมองไปข้างหลังอย่างหวาดๆ นึกในใจว่า อย่ามาหลอกมาหลอนหนูเลยนะคะ พรุ่งนี้หนูจะใส่บาตรทำบุญไปให้นะคะ

ลินจิราเหลือบมองเพื่อนอย่างขำๆปนสงสาร หล่อนรู้ดีว่าส้มแป้นเป็นคนขวัญอ่อนมากจึงพยายามไม่พูดอะไรที่จะทำให้เพื่อนหวาดกลัวไปมากกว่านี้ ขนาดหนังผีไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ยังทำให้เพื่อนของหล่อนผวาจนนอนไม่หลับไปซะหลายคืน

จนถึงหน้าบ้านส้มแป้น เจ้าของบ้านก็รีบลงจากรถทันที “พรุ่งนี้เจอกันจ้า อย่าลืมโทรมาปลุกฉันด้วยนะลินจี้”

“จ้า” ลินจิรารับคำแล้วยิ้มขำๆ

“อย่าลืมนะ” ส้มแป้นย้ำอีกครั้ง

ลินจิราจึงยกมือโอเคให้ “โอเค ไม่ลืมแน่ๆ”

ส้มแป้นล้วงกุญแจบ้านไขประตูรั้วบานเล็ก หล่อนผลักประตูเข้าไปแล้วก็ล็อกกุญแจพลางโบกมือให้เพื่อน “Good night.”

“Good night.” ลินจิราโบกมือตอบแล้วขับรถออกไป

ภายในเรือนเล็ก ลินจิราเดินเข้าห้องนอนไป หล่อนผลักประตูห้องน้ำเปิดไฟแล้วก็เดินไปเปิดน้ำอุ่นใส่อ่าง

นาคินทร์รู้ว่าลินจิราจะอาบน้ำจึงไม่ได้เดินตามเข้าไปในห้องนอนด้วย เขาเดินไปนั่งที่โซฟารอจนกว่าเจ้าของบ้านจะอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ระหว่างรอเขาก็เดินไปหยิบอัลบั้มรูปของสาวน้อยที่วางเรียงอยู่บนชั้นมาเปิดดู เป็นรูปตั้งแต่แรกคลอดจนถึงปัจจุบัน เรียงลำดับวันเดือนปีอย่างเป็นระเบียบ

จนกระทั่งได้ยินเสียงหวานใสสวดมนต์ดังแว่วมา เขาจึงเก็บอัลบั้มรูปเข้าที่แล้วเดินเข้าไปในห้องนอน

ลินจิราก้มลงกราบบนหมอนเสร็จแล้วก็ตวัดผ้าห่มออก สอดตัวลงไปนอนใต้ผ้าห่มนุ่ม ดวงตาคู่สวยหลับพริ้ม ไม่นานนักสาวน้อยก็หลับสนิท

นาคินทร์เดินไปนั่งบนเตียงข้างร่างบางอรชรใต้ผ้าห่มนุ่ม มือขาวเรียวลูบเส้นผมนุ่มสลวยแผ่วเบา เขาจ้องมองวงหน้าสวยใสแววตาอ่อนโยน นิ้วขาวเรียวไล้พวงแก้มนุ่มไปมา แล้วมือเรียวนุ่มนิ่มก็เลื่อนออกจากผ้าห่มมาทาบทับบนมือของเขา

นาคินทร์สะดุ้งตกใจ “โอ๊ะ!”

เสียงหวานละเมอพึมพำเบาๆ “แม่ขาลินจี้รักแม่นะคะ”

นาคินทร์ลอบถอนหายใจ “เฮ้อ…นอนละเมออีกแล้วนะเจ้าลิน”

ลินจิราละเมอไขว้คว้าสะเปะสะปะ พอคว้าเจอท่อนแขนของนาคินทร์เข้า หล่อนก็ดึงแขนข้างนั้นมากอดแน่น

ทำให้นาคินทร์ถลาล้มลงจะทับตัวสาวน้อย “โอ๊ะ! เจ้าลิน”

เขารีบใช้มืออีกข้างยันตัวไว้ไม่ให้ล้มลงไป จึงกลายเป็นว่าตัวเขากำลังคร่อมอยู่บนตัวสาวน้อยจอมนอนละเมอ ใบหน้างามสง่าอยู่ห่างจากวงหน้าหวานแค่คืบ

เขาจ้องมองวงหน้าสวยคลี่ยิ้มน้อยๆอย่างสุขใจ ทำให้เขาเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว

นาคินทร์ลอบถอนหายใจแผ่วเบา “เฮ้อ…” แล้วเขาก็ยันตัวเองผละออกมานอนตะแคงข้างร่างบางอรชร ยอมให้หล่อนนอนกอดแขนเขาเอาไว้อย่างนั้น เขานอนมองวงหน้าสวยหลับพริ้มยิ้มละมัยแล้ววางมือทาบลงบนมือเรียวนุ่มนิ่มที่กอดแขนเขาแน่น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!