ตอนที่ 9
รู้สึกเหมือนมีใครอยู่ด้วย
เกือบเที่ยงลินจิราตื่นนอนสดชื่นกว่าเมื่อเช้า หล่อนลุกขึ้นเดินไปหยิบบอร์ดสเก็ตภาพกับดินสอแล้วเดินไปนั่งที่โซฟาริมผนังกระจก หล่อนลงมือสเก็ตภาพบ้านโบราณที่ฝันเห็น
แต้วเคาะประตูห้องนอนแล้วเรียก “คุณลินจี้คะ ตื่นหรือยังคะ”
ลินจิราชะงัก! หันไปทางประตูห้องนอน “ตื่นแล้วค่ะพี่แต้ว พี่แต้วมีอะไรเหรอคะ”
แต้วจึงเปิดประตูห้องแล้วเดินเข้าไป
ลินจิรามองแต้วแล้วก็หันกลับไปสเก็ตภาพต่อ ปากก็ถามว่า “มีอะไรคะพี่แต้ว”
“เที่ยงนี้คุณลินจี้อยากทานอะไรคะ พี่แต้วจะได้ทำให้ค่ะ” แต้วบอกแล้วก็เห็นเตียงนอนยังไม่ได้เก็บ หล่อนจึงเดินไปทำเตียงให้
ลินจิรายังสนใจสเก็ตรูปขยุกขยิก “พี่แต้วอยากทำอะไรก็ทำเถอะค่ะ ลินจี้กินหมดแหละค่ะ”
“ค่ะคุณลินจี้” แต้วเห็นเจ้านายสาวสนใจวาดรูปอยู่จึงไม่เซ้าซี้ รีบทำเตียงนอนให้เสร็จแล้วก็เดินกลับไปที่ตึกใหญ่ พร้อมกับคิดเมนูมื้อกลางวันว่าจะทำอะไรให้เจ้านายกินดี
นาคินทร์ยืนกอดอกพิงผนังกระจกอยู่ตรงมุมห้องมองลินจิราไปเรื่อยๆ ยังคิดไม่ออกว่าจะแก้แค้นแบบไหน ยังไง จึงจะสาสมกับความแค้นดี
พอสเก็ตภาพเสร็จลินจิราก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีใครมองอยู่ หล่อนเงยหน้ามองตรงไปที่มุมห้องตรงที่ประสาทสัมผัสจับความรู้สึกได้ว่าเหมือนมีใครซักคนอยู่ตรงนั้น แต่ก็ไม่เห็นมีใครเลยซักคน
“ก็ไม่เห็นมีใครนี่” หล่อนถอนหายใจ “เฮ้อ…หมู่นี้เราเป็นอะไรไปนะ ถึงได้รู้สึกว่ามีใครมองอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ เฮ้อ…สงสัยคงต้องไปหาจิตแพทย์ซักหน่อยแล้วล่ะมั้ง”
แล้วลินจิราก็ลุกขึ้นเอาบอร์ดสเก็ตภาพไปวางไว้ที่เดิม พอหล่อนหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำปั๊บ นาคินทร์ก็เดินออกไปนอกห้องนอนทันที
ลินจิราหันกลับไปมองรอบๆห้อง นึกสงสัยอยู่ในใจ ที่จู่ๆความรู้สึกเหมือนมีใครคอยมองมักจะหายไปทุกครั้งที่หล่อนเริ่มทำธุระส่วนตัว
“แปลกจัง” หล่อนพึมพำกับตัวเองแล้วถอดชุดนอนหย่อนลงตะกร้า
ลินจิราอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เดินไปที่ตึกใหญ่ แต้วเพิ่งจะจัดมื้อกลางวันเสร็จพอดี พอหันไปเห็นเจ้านายสาวก็ยิ้มแฉ่ง “วันนี้จะออกไปไหนคะคุณลินจี้ แต่งตัวซะสวยเชียวค่ะ”
“ว่าจะเข้าไปดูงานที่บริษัทค่ะ” ลินจิราตอบแล้วก็นั่งลงพร้อมกับมองอาหารบนโต๊ะ
“น่ากินจังค่ะพี่แต้ว ขอบคุณนะคะ” หล่อนหันไปยิ้มให้แต้ว
“น่ากินก็ต้องกินให้หมดนะคะ ไม่งั้นมีโกรธค่ะ” แต้วแกล้งว่า แล้วก็เดินไปรินน้ำมาให้ แล้วแต้วก็หันไปมองรอบๆเพราะรู้สึกว่าเหมือนมีใครอยู่ในห้องด้วยอีกคน
“เอ่อ…คุณลินจี้คะ คุณลินจี้รู้สึกแปลกๆอะไรมั่งมั้ยคะ” แต้วถามพลางลูบแขนตัวเองที่ขนแขนจู่ๆก็แข่งกันสแตนอัพทุกครั้งที่อยู่กับเจ้านายสาว
ลินจิราซึ่งกำลังเริ่มทานข้าวหันไปมองอย่างงงๆ “รู้สึกอะไรคะพี่แต้ว”
“เอ่อ…ก็…ก็…รู้สึกแบบว่าเหมือนมีใครอยู่ด้วย…แต่…เอ่อ…” แต้วมองไปรอบๆอย่างกลัวๆพลางยื่นหน้าไปกระซิบใกล้ๆว่า “เอ่อ…แต่มองไม่เห็นตัวแบบนี้น่ะค่ะ คุณลินจี้ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอคะ”
ลินจิราชะงักกึก! ทำไมจะไม่รู้สึกล่ะ รู้สึกซิ รู้สึกจนจะบ้าอยู่แล้วเนี่ย
แต่หล่อนก็รีบปรับสีหน้าแล้วพูดว่า “รู้สึกซิคะ ก็รู้สึกว่ามีพี่แต้วอยู่นี่ไงคะ”
“โธ่…คุณลินจี้คะ พี่แต้วไม่ได้หมายถึงคนค่ะ พี่แต้วหมายถึงเอ่อ…” แต้วมองไปรอบๆตัวอีกครั้งอย่างหวาดๆ “ผีน่ะคะ”
แล้วหล่อนก็ชี้ให้ลินจิราดูที่แขนตัวเอง “คุณลินจี้ดูซิคะ ขนแขนพี่มันแข่งกันสแตนอัพขนาดเนี่ย”
ลินจิรารีบตัดบท เพราะแต้วก็เป็นประเภทขวัญอ่อนพอๆกับส้มแป้นนั่นแหละ เกิดกลัวผีจนลาออกไปคงแย่ คนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ขยันทำงานดีๆยิ่งหายากอยู่ด้วย
“ผีอะไรกันคะพี่แต้ว สงสัยพี่แต้วคงไปดูหนังผีมาแน่ๆเลยใช่มั้ยคะ ถึงได้เก็บเอามาคิดเองเออเองแบบเนี่ย น่าให้ไปรวมหัวกันจัดตั้งชมรมคนกลัวผีกับส้มแป้นซะเลยนะคะ” หล่อนพูดยิ้มๆ
“คุณลินจี้นี่ละก็…พูดเล่นอีกล่ะ” แต้วดุเบาๆ “พี่แต้วไปเก็บล้างในครัวดีกว่าค่ะ”
แล้วแต้วก็เดินออกไป ลินจิราจึงก้มลงทานข้าวต่อ พอทานข้าวเสร็จแล้ว หล่อนก็เก็บจานชามแก้วน้ำไปไว้ในครัว แล้วก็เดินกลับไปที่เรือนเล็ก หล่อนหยิบกระเป๋าถือใส่รองเท้าแล้วเดินตรงดิ่งไปที่รถของตัวเอง
ที่บริษัทฯ นัทชัยซึ่งทำหน้าที่รองประธานกำลังประชุมกับพนักงานอยู่
เลขาสาวหน้าห้องพอเห็นประธานบริษัทเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นทักทันที “Good afternoon ค่ะคุณลินจี้”
“สวัสดีค่ะ คุณปู่ล่ะคะ” ลินจิรายิ้มทักทายตอบ
“คุณนัทกำลังประชุมกับฝ่ายการตลาดอยู่ค่ะ” เลขาตอบ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า “อ้อ…คุณจอห์นสันส่งดอกไม้มาให้คุณลินจี้อีกแล้วค่ะ ดิฉันวางไว้ให้ในห้องแล้วค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ” แล้วลินจิราก็เดินตรงไปยังห้องทำงานของตัวเองที่อยู่ติดกับห้องของคุณปู่
เลขารู้สึกขนลุกวาบตั้งแต่ลินจิราเดินเข้ามาและเดินจากไป “เอ…ทำไมขนลุกอย่างนี้ล่ะ แปลกจริงเชียว” แล้วหล่อนก็นั่งลงทำงานต่อ
ภายในห้องทำงาน ช่อดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่วางเด่นบนโต๊ะทำงาน
ลินจิราหยิบขึ้นมามองอย่างชื่นชม แม้จะไม่สนใจคนให้ก็เหอะ แต่ดอกไม้สวยๆหล่อนไม่โยนทิ้งเด็ดขาด แล้วหล่อนก็หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดข้อความส่งไลน์ไปขอบคุณจอห์นสันตามมารยาท
หลังจากนั้นหล่อนก็หาแจกันใบใหญ่มาใส่ช่อดอกกุหลาบ
นาคินทร์เดินดูนั่น นี่ โน้นไปเรื่อยวนไปวนมาระหว่างที่เจ้าของห้องนั่งทำงาน
แม้จะรู้สึกว่ามีใครซักคนอยู่ในห้องด้วยและมองดูหล่อนอยู่ตลอดเวลา แต่พอเริ่มทำงานความรู้สึกนั้นก็ไม่สามารถรบกวนสมาธิของลินจิราได้เลย จนกระทั่งเสียงอินเตอร์คอมดังขึ้น “คุณลินจี้คะ คุณจอห์นสันมาขอพบค่ะ” เสียงเลขาบอก
ลินจิรารีบตอบกลับไปทันทีว่า “เชิญค่ะ”
แล้วหล่อนก็เก็บแฟ้มงานลุกขึ้นเดินตรงไปยังประตูห้อง
เสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้วก็เปิดออก
จอห์นสันในชุดลำลองหล่อเนี๊ยบยิ้มแฉ่งดั่งดอกทานตะวันเข้ามา “Hi Linchee.”
“Hi John.” ลินจิราทักตอบพลางยื่นมือไปจับมือทักทาย
จอห์นสันจับมือตอบแล้วฉวยโอกาสดึงลินจิราเข้าไปกอดแล้วหอมแก้มทักทายแบบฝรั่งอย่างเนียนๆ
นาคินทร์ตาวาวมองอย่างไม่ชอบใจ
ลินจิรารีบเบี่ยงตัวออกอย่างเนียนๆเช่นกัน
“เชิญนั่งค่ะจอห์น” หล่อนผายมือไปที่โซฟาแล้วเลือกนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว
ทำให้จอห์นสันจำต้องไปนั่งที่โซฟายาวคนเดียว ซึ่งมีนาคินทร์นั่งอยู่ก่อนแล้ว
จอห์นสันพูดเข้าประเด็นอย่างไม่รีรอว่า “ไมเคิลชวนผมไปว่ายน้ำด้วยกันเย็นนี้ ผมก็เลยอยากจะชวนคุณไปด้วยครับ คุณว่างมั้ยครับลินจี้”
เลขายกกาแฟมาเสิร์ฟพอดี จอห์นสันจึงหันไปขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณครับ”
แล้วเขาก็หันกลับไปพูดกับลินจิราต่อ “ชอบดอกกุหลาบที่ผมให้หรือเปล่าครับ”
“ชอบค่ะ ขอบคุณนะคะจอห์น” ลินจิรายิ้มตอบ “แต่ฉันก็บอกคุณแล้วนะคะว่าฉันชอบคุณในฐานะเพื่อนค่ะ อย่าพยายามอีกเลยค่ะจอห์น”
จอห์นสันเอื้อมมือไปกุมมือหล่อนไว้ “ผมก็บอกคุณไปแล้วเหมือนกันว่า ผมจะทำให้คุณเปลี่ยนใจมารักผมให้ได้”
เขาส่งตาหวานยิ้มอ่อนโยน หมายมั่นในใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอสาวน้อยเชียวล่ะว่า คนนี้แหละคือผู้หญิงที่เขาจะแต่งงานด้วย
นาคินทร์มองจอห์นสันจับมือลินจิรา ตาดุดัน
เสียงสมาร์ทโฟนบนโต๊ะทำงานดังขึ้น ลินจิรารีบดึงมือตัวเองออก “ขอตัวซักครู่นะคะ” แล้วหล่อนก็ลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล”
“Hi Linchee.” เสียงไมเคิลทักทายทันที แล้วเขาก็พูดว่า “ผมคิดว่าตอนนี้จอห์นต้องอยู่กับคุณแน่เลยใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ” ลินจิราเหลือบไปมองคนที่ถูกพูดถึงนิดนึง
“เย็นนี้มาว่ายน้ำด้วยกันซิลินจี้ พวกเพื่อนๆมากันครบแก๊งเลยนะ ถ้าขาดคุณไปคงไม่สนุกแน่ ต้องมานะลินจี้ ถ้าไม่มาล่ะก็…เลิกคบ” แล้วไมเคิลก็ตัดสายไปทันที
“เฮ้!…เดี๋ยวซิไมเคิล” ลินจิรามองโทรศัพท์อย่างหงุดหงิดนิดๆ
ส่วนจอห์นสันก็นั่งอมยิ้มเพราะรู้ว่ายังไงลินจิราก็ต้องไปแน่ๆ
ลินจิรารีบโทรหาส้มแป้นทันที พอปลายสายกดรับ หล่อนก็รีบบอกว่า “เย็นนี้ไปว่ายน้ำด้วยกันนะเธอ เลิกงานแล้วเดี๋ยวฉันไปรับนะ”
“เฮ้…อย่าบอกนะว่าจะลากฉันไปเป็นกันชนจอห์นอีกแล้วน่ะ” ส้มแป้นเดา
“ใช่เลย เลิกงานแล้วฉันจะแวะไปรับนะ แล้วเจอกันจ้ะ บาย” ลินจิราวางสายแล้วก็หันมายิ้มให้จอห์นสัน “ลินจี้ชวนออเร้นท์ไปด้วยอีกคนคงไม่ขัดข้องนะคะ”
จอห์นสันยิ้ม แม้จะรู้ทันว่าหล่อนชวนส้มแป้นไปด้วยทำไม “ไปหลายๆคนสนุกดีครับ”
พอมองไปบนโต๊ะทำงานเขาก็รีบบอกว่า “ถ้างั้นลินจี้ทำงานต่อเถอะครับ ผมไม่รบกวนเวลาทำงานของคุณแล้วล่ะครับ”
แล้วเขาก็ลุกไปหาลินจิราพร้อมกับดึงเข้ามากอดและหอมแก้มลาอย่างสุภาพ “เจอกันที่คลับนะครับคนสวย”
“ค่ะจอห์น” ลินจิราดันตัวออกห่างพร้อมโบกมือลา
จอห์นสันจึงเดินออกไปอย่างผิดหวังนิดๆ เพราะเขาหวังว่าจะมีโอกาสพาลินจิรานั่งรถสปอร์ตคันใหม่ล่าสุดของเขาไปด้วยกัน แต่ในเมื่อหล่อนนัดว่าจะไปรับส้มแป้นด้วย ความหวังที่วาดฝันไว้ก็พังทลายทันที
ณ ฟิตเนสหรู ไมเคิลและเพื่อนอีกหลายคนทั้งชายและหญิงกำลังว่ายน้ำแข่งกันอย่างสนุกสนาน
ลินจิรากับส้มแป้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดว่ายน้ำบิกินีสีสดใสสวมเสื้อคลุมทับเอาไว้เดินออกมาจากห้องล็อคเกอร์หญิง พอมาถึงสระว่ายน้ำ ทั้งสองคนก็ถอดเสื้อคลุมออกแล้วกระโดดลงน้ำตู้ม! เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดและเสียงหัวเราะจากกลุ่มเพื่อนๆทันที
นาคินทร์ได้แต่มองอย่างไม่ชอบใจ “เฮ้อะ…นุ่งผ้าปิดแค่นี้ มิแก้ผ้าเล่นน้ำไปเลยล่ะเจ้าพวกมนุษย์”
จอห์นสันรีบว่ายไปใกล้ลินจิราทันที “ลินจี้แข่งกันมั้ย ใครว่ายแตะขอบสระก่อนคนนั้นชนะ”
“ได้เลย” ลินจิรายิ้มแล้วก็พุ่งตัวนำไปก่อน
จอห์นสันก็รีบว่ายตามไปทันที
ลินจิราแตะขอบสระก่อน แล้วหันไปมองคู่แข่งซึ่งว่ายมาแตะขอบสระทีหลัง
พอจอห์นสันโผล่พ้นน้ำมายืนข้างๆ หล่อนก็ต่อว่าเขาว่า “แกล้งแพ้ชัดๆเลยนะจอห์น ไหนว่าแข่งกันไงล่ะ”
จอห์นสันยิ้มรับทำหน้าละห้อย
หล่อนจึงแกล้งวักน้ำสาดใส่พลางหัวเราะร่าเริง แล้วหล่อนก็ว่ายน้ำกลับไปรวมตัวกับเพื่อนๆ
จอห์นสันลูบน้ำออกจากหน้าแล้วรีบว่ายตามไป เขาคอยว่ายคลอเคลียตามลินจิราประดุจเงาตามตัว ชวนคุยหยอกล้อสารพัด แต่ก็ไม่เคยคิดจะล่วงเกินหญิงสาวที่เขาหมายปองเลยซักครั้งเดียว
ส้มแป้นซึ่งกำลังว่ายน้ำอย่างสนุก จู่ๆก็เกิดเป็นตะคริวขึ้นมา “ช่วยด้วย”
“Orange!” ไมเคิลซึ่งว่ายอยู่ใกล้ที่สุดเห็นเข้าก็รีบเข้าไปช่วยทันที
เขาพยุงหล่อนเข้าขอบสระ แล้วรีบอุ้มส่งขึ้นจากสระว่ายน้ำ แล้วเขาก็โผขึ้นตามไปดูแล “เป็นไงมั่งออเร้นท์”
“ตะคริวค่ะ โอ๊ย!” ส้มแป้นจับขาตัวเองสีหน้าเจ็บปวด
ไมเคิลรีบช่วยนวดขาให้ทันที เพื่อนๆก็รีบเข้ามารุมล้อมดูอาการอย่างห่วงใย
ลินจิรารีบขึ้นจากสระ แล้วแหวกเพื่อนๆเข้าไปถามทันทีว่า “เป็นไรมากมั้ยเธอ ไหวป่ะ”
“ไม่เป็นไรมากหรอก อูย…เริ่มดีขึ้นแล้วล่ะ” ส้มแป้นตอบแล้วยิ้มให้เพื่อนๆ
ลินจิราเห็นเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ไมเคิลกับส้มแป้นได้ใกล้ชิดกันจึงรีบขยิบตาให้เพื่อนๆ คนอื่นๆจึงแยกย้ายไปว่ายน้ำต่อ
ส้มแป้นมองไมเคิลอย่างซึ้งใจ “ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉัน”
ไมเคิลยิ้มรับคำขอบคุณแล้วก้มหน้าก้มตานวดขาให้อย่างเป็นห่วง “หายรึยังครับ”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ” ส้มแป้นมองเขาอย่างเขินๆ
ไมเคิลก็มองหล่อนตาหวาน
ทั้งสองคนมองสบตากันหวานเชื่อม จนเหมือนกับว่ามีกันและกันเพียงแค่สองคน
บรรดาเพื่อนๆต่างก็ลอบมอง ลุ้นกันสุดๆ นึกเชียร์ให้ทั้งคู่ปิ๊งกันตัวโก่ง
พอว่ายน้ำจนเหนื่อย ทุกคนก็ขึ้นจากสระไปนั่งสังสรรค์กันอยู่ข้างขอบสระ
หลังจากพูดคุยสังสรรค์กันแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ลินจิราขับรถไปส่งส้มแป้นที่หน้าบ้าน จากนั้นหล่อนก็ขับรถกลับบ้าน
พอกลับถึงบ้าน หล่อนก็แวะคุยกับคุณปู่คุณย่าก่อน
“ลินจี้ ลุงว่าเราคงต้องขึ้นไปจัดการเรื่องที่จะทำรีสอร์ทที่เชียงรายเองแล้วล่ะลูก” นัทชัยบอกหลานสาว หน้าเครียด
“อ้าว…ทำไมล่ะคะคุณปู่”
“ลุงโทรหาบริษัทรับเหมาทุกแห่งที่รู้จักแล้วนะลูก แต่ไม่มีบริษัทไหนรับงานเลยน่ะซิลูก เขาว่าเขากลัวอาถรรพ์เรือนศิลาน่ะซิ มิน่าล่ะเจ้าของเขาถึงขายให้เราถูกๆ”
“ก็ไม่เป็นไรนี่คะคุณปู่ เราก็ขึ้นไปคุมงานเองเลยซิคะ จะได้ถือโอกาสพักผ่อนไปด้วย อากาศที่นั่นดี๊…ดีออกค่ะ ลินจี้ยังติดใจอากาศที่นั่นอยู่เลยค่ะ” ลินจิรายิ้มสู้
แล้วหล่อนก็ถามว่า “แล้วเราจะไปกันวันไหนดีล่ะคะคุณปู่คุณย่า ลินจี้จะได้จองเที่ยวบินจองโรงแรมไว้เลยค่ะ”
“ป้าคงไปได้แค่ซักสามสี่วันแหละลูก ลางานนานๆไม่ได้หรอก ป้าห่วงคนไข้น่ะ” จินตนาออกตัว
“ลุงก็คงจะอยู่นานๆไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ ห่วงงานทางนี้จะไม่มีใครดูแล งานนี้คงต้องยกให้หนูคุมแล้วล่ะลูก” นัทชัยบอก
“หนูคิดว่าทำไหวรึป่าวลูก ถ้าหนูทำไม่ไหว เรายกเลิกโครงการนี้ไปก่อนก็ได้นะลูก” จินตนาถามอย่างเป็นห่วง
ลินจิรายิ้มกว้าง “ไหวซิคะคุณย่า ลินจี้ซะอย่างค่ะ”
จากนั้นหล่อนก็ขอตัวกลับไปพักผ่อน