Skip to content

สู่วิถีอสุรา 190

ตอนที่ 190 ต้องเป็นศิษย์น้องหญิงแน่นอน

“อาคมเคลื่อนย้ายของเหยียนฉือคือมิติระดับสี่ หลังจากจ้าวหมานเหยียนฉือศึกษาอย่างถ่องแท้แล้วก็มอบให้อาจารย์ใหญ่จั่วสร้างเอาไว้สองแห่ง ก่อนหน้านี้ลองมาแล้วหลายครั้ง ไม่น่าจะเกิดข้อผิดพลาด…” หญิงสาวหนึ่งในสามคนกล่าวเรียบๆ น้ำเสียงของนางอ่อนนุ่ม เพียงแต่ยามนี้ขมวดคิ้วไม่เข้าใจเช่นกัน

“ไปดูเดี๋ยวก็รู้เอง หากเป็นเพราะเหยียนฉือ เรื่องนี้คงต้องรายงานอาจารย์ใหญ่ อาคมเคลื่อนย้ายนี้ยังไม่อาจครอบคลุมแดนอรุณใต้ ผู้อาวุโสหลิว ท่านคิดว่าอย่างไร?” ชายรูปลักษณ์ไม่ธรรมดามองไปทางชายชราที่ยังคงเงียบข้างกาย สีหน้าเคารพนบนอบ

หญิงสาวก็มองชายชราเช่นกัน นางโค้งตัวแสงความเคารพ

“พวกเจ้าสองคนเป็นทูตของสำนักที่ไปเมืองเขาหานในครั้งนี้ ข้าเพียงแค่ติดตามไปพบสหายเก่าด้วยเท่านั้น พวกเจ้าจัดการเองได้เลย” ชายชรายิ้มบาง กล่าวเรียบๆ

ชายหนุ่มพยักหน้าขานรับด้วยความนอบน้อม มองกันไปมากับหญิงสาว ขณะกำลังจะกล่าว ชายชราพลันขมวดคิ้ว เพ่งมองทอดไกลด้วยสีหน้าจริงจัง

“รอเดี๋ยว…”

“พวกเจ้าไปเมืองเขาหานในครั้งนี้ อาจารย์ใหญ่จั่วบอกว่าจะรับเข้าสำนักเพียงคนเดียวนั่นคือเหยียนเฟยแห่งเหยียนฉือใช่หรือไม่?” ชายชรามีสีหน้าจริงจังมากขึ้นยามกล่าวเรียบๆ

ชายหญิงข้างกายตะลึงงัน หญิงสาวผู้นั้นรีบพยักหน้า เพียงแต่สีหน้าดูร้อนรนเล็กน้อย ก่อนเดินทางนางรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง คิดว่าเรื่องเล็กเช่นการไปรับศิษย์เพียงคนเดียวก็ไม่น่าจะมีอะไรมาก แม้ว่าเหยียนเฟยจะเป็นนักรบที่ใกล้ขั้นรวมโลหิตสมบูรณ์ก็ตาม ทว่านางก็ยอมเข้าสำนักแต่โดยดี มิได้มีการบังคับแต่อย่างใด

แต่ช่วงที่นางกับศิษย์น้องกำลังใช้อาคมเคลื่อนย้าย ชายชราตรงหน้ากลับปรากฏตัวและขอเดินทางมาด้วย

เรื่องนี้นางปฏิเสธมิได้และไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ อีกทั้งยังไม่มีความกล้ามากพอ แม้ว่าชายชราแซ่หลิวคนนี้มีตำแหน่งเป็นรองอาจารย์ใหญ่จั่วในสำนักเหมันต์สวรรค์ก็ตาม ทว่าลำดับความอาวุโสของเขาสูงยิ่ง ช่วงเวลาปกติค่อนข้างรักสันโดษ แต่กลับครอบครองภูเขาทั้งลูกเพียงคนเดียว ตัวเขาเป็นคนสำนักเหมันต์สวรรค์ กลับไม่ต้องสนใจเรื่องของสำนัก เหมือนกับอยู่บ้านคนอื่น

นิสัยของอีกฝ่ายบางครั้งก็อ่อนโยนมาก บางครั้งกลับบึ้งตึงจนน่ากลัว

ต่อให้เป็นอาจารย์ใหญ่จั่วแห่งเหมันต์สวรรค์ เมื่อเห็นชายชราคนนี้ก็ต้องประสานมือคารวะเรียกปู่น้อย (น้องชายของปู่)

ในสำนักเหมันต์สวรรค์มีข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับชายชรา ทุกข่าวลือเหล่านี้ล้วนทำให้ผู้ฟังตื่นตะลึงและยิ่งไม่กล้าเสียมารยาทต่อหน้าชายชรา

ทว่าที่แปลกคือ ขั้นพลังของชายชรายังคงอยู่ที่เซ่นไหว้กระดูก เหมือนหลายปีมานี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

เมื่อเห็นชายชราถาม ไม่เพียงแค่หญิงสาวที่ร้อนรน ชายหนุ่มข้างกายเองก็เช่นกัน ไม่รู้ว่าชายชราตรงหน้าพูดกะทันหันเช่นนี้มีความหมายแฝงอย่างไร

“แม่นางน้อยคนนั้นมีขั้นพลังระดับใด?” ชายชราถามอีกครั้ง

“ท่านผู้อาวุโสหลิว ตามที่อาจารย์ใหญ่จั่วชี้แนะ นางมีขั้นพลังเฉียดรวมโลหิตสมบูรณ์ หลังจากเข้าสำนักแล้ว อาจารย์ใหญ่จะรับนางเป็นศิษย์ด้วยตัวเอง….”

ชายหนุ่มกล่าวด้วยความนอบน้อม

“จะรับเป็นศิษย์ด้วยตัวเองอย่างนั้นรึ อาจารย์ใหญ่ของพวกเจ้าพบสมบัติล้ำค่าแล้ว…” ชายชราเหมือนถอนหายใจเบาๆ พลางทอดมองฟ้าไกล

“หากข้ามองไม่ผิด เหตุที่พวกเราเคลื่อนย้ายคลาดเคลื่อนก่อนหน้านี้ ก็เพราะมีเทวรูปชำระล้างปรากฏในเมืองเขาหาน!” นัยน์ตาชายชราเป็นประกาย กล่าวจบชายหญิงสองคนสีหน้าพลันเปลี่ยน มองไปทางเมืองเขาหานทันที

“เทวรูปชำระล้าง!” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก เกิดความตื่นตะลึง นางทราบดีว่าเทวรูปชำระล้างปรากฏหมายถึงอะไร ต่อให้เป็นสำนักเหมันต์สวรรค์ คนที่อัญเชิญเทวรูปชำระล้างได้ก็นับว่าหายากยิ่ง

“มิน่าท่านอาจารย์ใหญ่จั่วถึงได้ให้ความสำคัญกับนางนัก ยังไม่ทันเข้าสำนักก็อัญเชิญเทวรูปชำระล้างแล้ว หากนางเข้าสำนัก ฐานะย่อมไม่ธรรมดา!” ชายหนุ่มตกตะลึง เกิดความคิดอยากผูกมิตรกับเหยียนเฟยทันที

“เว้นแต่ยามนี้ในเมืองเขาหานยังมีนักรบรวมโลหิตสมบูรณ์อีกคน มิเช่นนั้นก็คงเป็นเด็กสาวคนนั้นที่พวกเจ้าจะไปรับทะลวงขั้นพลัง” ชายชราส่ายศีรษะ ถอนหายใจเล็กน้อยพลางเดินหน้าต่อ

“จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นได้อย่างไร เทวรูปชำระล้างจะต้องเป็นของศิษย์น้องหญิงหานเฟยจื่ออย่างแน่นอน” ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มบาง เดินตามหลังชายชราไป

“หากศิษย์น้องหญิงหานเฟยจื่อเข้าสำนักจะต้องเปล่งประกายและสั่นสะเทือนเหมันต์สวรรค์อย่างแน่นอน ข้าละอยากรู้จักกับนางยิ่งนัก หากพบหน้าคงต้องผูกมิตรเอาไว้” หญิงสาวเผยรอยยิ้มงดงามพร้อมกล่าวเสียงเบา

ชายชราไม่กล่าวสิ่งใด ทั้งสามคนกลายเป็นสายรุ้งยาวห้อเหยียดเข้าใกล้เมืองเขาหานมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันจากท้องฟ้า กระทั่งหากมองจากไกลๆ จะพอเห็นรางๆ ว่าเมฆหมอกบนท้องฟ้ากำลังหมุนตลบ ด้านในเหมือนมีเทวรูปเลือนรางกำลังก่อตัวอย่างรวดเร็ว

ในช่วงที่ทั้งสามคนห่างจากเมืองเขาหานห้าพันลี้ ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มากที่สุด

“แรงกดดันจากเทวรูปแข็งแกร่งจริงๆ เทวรูปที่ศิษย์น้องหญิงอัญเชิญมาเหมือนจะ…แตกต่างจากเทวรูปของหลายคนในสำนักเรา” ชายหนุ่มกล่าวจากใจ สีหน้าผ่อนคลายยิ่งนัก

“ไม่ผิด ข้าเคยเห็นเทวรูปชำระล้างปรากฏสี่ครั้ง นี่เป็นครั้งที่ห้าแล้ว ทว่าแรงกดดันในครั้งนี้รุนแรงที่สุด ควรรู้ไว้ว่าตอนนี้พวกเรายังไม่เข้าใกล้ ห่างตั้งห้าพันลี้แต่กลับรู้สึกเช่นนี้…” หญิงสาวกล่าวชม เกิดความคิดอยากจะสานสัมพันธ์กับหานเฟยจื่อเหมือนกับชายหนุ่ม

เพียงแต่พวกเขาสองคนไม่ทราบเลยว่า ยิ่งเข้าใกล้นัยน์ตาของชายชราด้านหน้ายิ่งเปล่งประกายประหลาด สีหน้าจริงจังมากขึ้น จนท้ายที่สุดเขาพลันหยุดชะงักมองท้องฟ้า ค่อยๆ เกิดความตื่นตะลึงและประหลาดใจ

“ก่อนหน้านี้พวกเจ้าบอกว่าขั้นพลังของเด็กสาวคนนั้นเฉียดรวมโลหิตสมบูรณ์ใช่หรือไม่?” ชายชราพลันกล่าว

ชายหญิงสองคนด้านหลังหยุดชะงักตาม แม้งงงวยกับคำถามของชายชรา ทว่าก็ยังตอบด้วยความเคารพ

“ผู้อาวุโสหลิว ขั้นพลังของศิษย์น้องหญิงหานเฟยจื่อ ท่านอาจารย์ใหญ่เป็นคนตรวจสอบด้วยตนเอง”

“กี่ปีมาแล้ว?” ชายชราลังเลจึงถามต่ออีกครั้ง

“ประมาณครึ่งปีก่อนขอรับ ท่านอาจารย์ใหญ่เคยมาที่นี่ครั้งหนึ่ง” ชายหนุ่มรูปงามไม่ธรรมดารีบกล่าว เขากังวลว่าอีกฝ่ายอาจมีความคิดอยากรับเป็นศิษย์เอง ในคำพูดจึงกล่าวถึงอาจารย์ใหญ่จั่วอีก

“ท่านอาจารย์ใหญ่สนใจศิษย์น้องหญิงเหยียนเฟยจื่อมาก ได้ยินว่าหลายปีก่อนเคยคิดจะรับเป็นศิษย์ หลายปีมานี้เลยไม่รับศิษย์อีกเพื่อมาทุ่มเทให้กับศิษย์น้องหญิงแทน” หญิงสาวข้างกายกล่าวเบาๆ ด้วยความเคารพ

“ครึ่งปี?” นัยน์ตาชายชราเปล่งประกาย

“ขอรับ ศิษย์น้องหญิงมีพรสวรรค์น่าตะลึงดังคาด แค่ครึ่งปีก็ทะลวงสู่ขั้นรวมโลหิตสมบูรณ์แล้ว แม้แต่ข้าเองยังต้องขอยอมแพ้” ชายหนุ่มนึกสะท้อนในใจ

“รวมโลหิตสมบูรณ์อย่างนั้นรึ พวกเจ้ามองดีๆ นี่มันใช่เทวรูปชำระล้างของรวมโลหิตสมบูรณ์เสียที่ไหน รวมโลหิตมหาสมบูรณ์ต่างหากที่จะอัญเชิญร่างจริงเทวรูปชำระล้างออกมาได้!” ชายชราเงียบไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวเรียบๆ

กล่าวจบชายหญิงสีหน้าพลันเปลี่ยน

“รวมโลหิตมหาสมบูรณ์! ภายในเวลาครึ่งปีศิษย์น้องหญิงทะลวงสู่รวมโลหิตมหาสมบูรณ์ได้ นี่…..นี่……” ชายหนุ่มตะลึงงันอยู่ตรงนั้น เบิกตากว้าง ตื่นตะลึงกับความเหลือเชื่อ

“รวมโลหิตมหาสมบูรณ์ข้ามผ่านไปขั้นชำระล้าง…หากท่านอาจารย์ใหญ่ทราบจะต้องมาด้วยตัวเองแน่!” หญิงสาวตัวสั่นเทา พลันมองไปทางเมืองเขาหาน

เมืองเขาหานในยามนี้เกิดแรงกดดันมหาศาลจากการก่อตัวของเทวรูปชำระล้างบนท้องฟ้า ผืนดินสั่นสะเทือน นักรบรวมโลหิตทั้งหมดไม่อาจยืนนิ่ง ล้วนคุกเข่าลงกับพื้น ต่อให้เป็นนักรบขั้นชำระล้างก็แทบจะทนไม่ไหว เกรงว่าอีกไม่นานคงต้องคุกเข่าลงคารวะ

ซูหมิงรู้สึกได้ว่าแรงกระตุ้นในการทะลวงขั้นชำระล้างในร่างทะยานถึงขีดสุด ทว่าเส้นเลือดเก้าร้อยแปดสิบหกเส้นยังไม่เพียงพอสำหรับเขา

เขายืนอยู่บนโซ่เขาหาน สาวเท้ายาวไปเบื้องหน้า ระยะห่างจากยอดเขาผู่เชียงหนึ่งร้อยจั้งถูกบีบเข้ามาทันที ในช่วงที่ห่างเจ็ดสิบจั้ง มีเสียงโครมดังในร่างกายซูหมิงอีกครั้ง เส้นเลือดเพิ่มมาอีกหนึ่งเส้น!

เก้าร้อยแปดสิบเจ็ดเส้น!

เมื่อเส้นเลือดทะยานถึงเก้าร้อยแปดสิบเจ็ดเส้น เมฆหมอกบนท้องฟ้าเคลื่อนตัวอย่างรุนแรง ภายในหมอกมีเทวรูปขนาดยักษ์ปรากฏวูบวาบ!

มันเหมือนกับเทวรูปชำระล้างที่ปรากฏเมื่อหลายเดือนก่อน ทว่าหากมองอย่างละเอียดจะพบว่ามีความต่าง อันดับแรกคือแรงกดดันจากตัวมันล้ำหน้าเกินกว่าเมื่อหลายเดือนก่อนมาก ต่อมาคือความปราดเปรียวของเทวรูปเทียบกันไม่ได้ เทวรูปเมื่อหลายเดือนก่อนเปรียบได้กับความปราดเปรียวของมนุษย์ ทว่าเทวรูปองค์นี้กลับเปรียบได้กับความปราดเปรียวของเทพ!

“เจ้า…ชำระล้าง!”

เสียงหนึ่งดังกังวานแปดทิศ กลายเป็นเสียงที่ดังกว่าฟ้าร้องที่ค่อยๆ เคลื่อนลงจากเบื้องบน หลังจากนั้นฟ้าดินเปลี่ยนสี หินภูเขาร่วงหล่นจำนวนมาก ท่ามกลางเสียงกังวานนั้น นักรบรวมโลหิตที่กำลังคุกเข่ากราบไหว้บนพื้นทุกคนตื่นตะลึง เกิดเสียงครืนในความคิดจนสติขาวโพลน

ส่วนผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างยามนี้ไม่อาจยืนหยัดได้อีก พวกหนานเทียนคุกเข่าลงกับพื้นขณะตัวสั่นเทา ทั้งเมืองเขาหานมีเพียงจ้าวหมานสามชนเผ่าและเหยียนหลวนที่ยังยืนไหว

หญิงชราจ้าวหมานเหยียนฉือดูเหมือนอ่อนแอ ทว่ากลับสามารถยืนนิ่งต่อหน้าเทวรูปชำระล้าง เห็นได้ชัดว่าขั้นพลังของนางมิได้เป็นอย่างที่ข่าวลือว่า!

ยามที่ซูหมิงได้ยินเสียงนั้น พลังโลหิตในร่างกายพลันปะทุ เงาคนยักษ์จากเส้นเลือดเหนือศีรษะเขาระเบิดระลอกคลื่นจำนวนมากออกมา ดุจจะพังทลายแล้วก่อขึ้นมาใหม่ เส้นเลือดเก้าร้อยแปดสิบเจ็ดเส้นบนตัวคนยักษ์สั่นไหว

ห่างจากเมืองเขาหานสี่พันลี้ บนท้องฟ้ามีเงาสามคนกำลังห้อเหยียด เพียงแต่ยิ่งเข้าใกล้แรงกดดันจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความเร็วพวกเขาช้าลง

แม้ห่างหลายพันลี้ ทว่าเสียงทรงอานุภาพจากเมืองเขาหานกลับดังชัดถึงหูพวกเขาสามคน!

ชายชรามีสีหน้าสงบนิ่ง เพียงแต่หรี่ตาลงเล็กน้อย แต่ชายหญิงสองคนจิตใจสั่นไหวเหมือนจะยืนไม่ติดพื้น สีหน้ามีความซับซ้อนและความคาดหวัง

“ศิษย์น้องหญิงหานเฟยจื่อทะลวงขั้นชำระล้างแล้ว…”

“นางไปถึงชำระล้างด้วยขั้นรวมโลหิตมหาสมบูรณ์ หากสำเร็จ ระดับพลังของนาง…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!