Skip to content

สู่วิถีอสุรา 221

ตอนที่ 221 บ้าน

เขาเดินหน้าหลายก้าว หยิบกรวยขนาดเท่าฝ่ามือจากโพรงเล็กแห่งหนึ่ง ออกแรงเพียงเล็กน้อย ตรงมุมมันกลับหัก และยังมีโพรงเล็กอีกแห่งด้านข้างเป็นดาบเหล็กที่เต็มไปด้วยสนิม แน่นอน ยังมีอีกหลายโพรงที่เป็นวัตถุกระดูกที่ถูกปล่อยทิ้งจนทรุดโทรม

ซูหมิงเดินวนหนึ่งรอบ แทบทั้งหมดล้วนเป็นวัตถุชำรุด ต่อให้มีบางอันพอใช้ ทว่าพอหยิบมาแล้วกลับเหมือนกรวยอันนั้น ออกแรงบีบเล็กน้อยก็พลันแตกหัก ราวกับว่าออกแรงอีกนิดจะแหลกคามือ

‘ช่างเถอะ หู่จื่อก็บอกเอาไว้แล้ว ตอนนี้พอได้เห็นก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ…’

ซูหมิงส่ายศีรษะหัวเราะแห้งๆ เมื่อละสายตากลับ จึงหยิบกรวยที่เขาบีบจนมุมหักในตอนแรกขึ้นมา นำใส่ไว้ในถุงเก็บวัตถุแล้วไม่สนใจอีก ก่อนเดินลึกเข้าไปในถ้ำตรงสู่ห้องลับชั้นสอง

มีประสบการณ์ในชั้นแรกมาแล้ว เมื่อเหยียบบนชั้นสอง ซูหมิงไม่คาดหวังอะไรมาก เพียงแต่ช่วงที่เดินมาถึงชั้นสอง หัวใจเขาพลันเต้นแรง

สิ่งที่เห็นคือตรงกลางชั้นสองคือหินหยกจำนวนมากลอยอยู่กลางอากาศ หินหยกเหล่านี้เปล่งแสงอ่อนนุ่ม ส่องสะท้อนห้องลับชั้นสองแห่งนี้ กระทั่งหินหยกบางก้อนมีสีสันแพรวพราว มองแวบแรกให้ความรู้สึกไม่ธรรมดา

‘หรือว่าวิชาของสำนักเหมันต์สวรรค์ที่เทียนเสียจื่อบอกจะเป็นเรื่องจริง!’ ซูหมิงตะลึงงัน

หินหยกแพรวพราวเหล่านี้ดูไม่เหมือนของปลอม แม้สีจะเป็นของปลอมก็ตาม แต่ความรู้สึกถึงแรงกดดันและความปราดเปรียวจากแสงของหินหยกทุกก้อน เขากลับสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน

เขาหายใจถี่เล็กน้อย เดินหน้าไปพิจารณาอย่างละเอียด ยกมือขวาคว้าหินหยกเอาไว้ก้อนหนึ่ง ก่อนเพ่งมองในฝ่ามือ ซูหมิงพลันเกิดความรู้สึกเหมือนถูกหินหยกดึงดูด ปรากฏภาพมายาและอักขระหนึ่งแถวในความคิดเองตามธรรมชาติ

ทว่ายังไม่ทันได้สังเกต ภาพมายาและอักขระเหล่านั้นพลันอ่อนแสงลง ก่อนมอดดับหายไป ซูหมิงขมวดคิ้ว ลองอีกหลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้ นัยน์ตาเขาเป็นประกาย วางหินหยกก้อนนี้ลงแล้วไปหยิบอีกก้อน ผลก็ยังคงเหมือนเดิม

“เพราะขั้นพลังข้ายังไม่เพียงพอรึ…” ซูหมิงพึมพำ หยิบหินหยกหลายสิบก้อนขึ้นมาเพ่งพินิจอย่างไม่ยอมแพ้ เพียงแต่มันเกิดขึ้นในความคิดเขาเพียงแวบเดียวก่อนหายไป

กระทั่งหินหยกธรรมดาที่มีแรงกดดันเพียงน้อยนิด เมื่อเพ่งพิจารณาแล้วก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่นานเขาจึงเริ่มหน้าเสีย

ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามระงับความผิดหวังในใจ ท้ายที่สุดเมื่อตรวจหินหยกทุกก้อนในห้องลับครบแล้ว ก็มั่นใจว่าหินหยกพวกนี้น่าจะเป็นของปลอมทั้งหมด จึงส่ายศีรษะพลางยิ้มเฝื่อนแล้วเดินลึกตรงเข้าสู่ชั้นสาม

‘หากแผนที่ชั้นสามยังเป็นของปลอมอีก…’ ซูหมิงเงียบ เดินมาถึงห้องลับชั้นสาม

ห้องลับชั้นสามนี้ธรรมดายิ่งนัก มีพื้นที่เล็กที่สุด โดยรอบมีชั้นวางทำจากกระดูก ด้านบนมีแผ่นบันทึกไม้ไผ่กองพะเนิน และยังมีหนังสัตว์ที่ม้วนเข้าด้วยกันอีกส่วนหนึ่ง

ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น พลันตึงเครียดขึ้นมา เขาหวังว่าแผนที่แดนอรุณใต้ในนี้จะเป็นของจริง ทว่าก็กังวลเรื่องเมื่อเห็นแผนที่แล้วจะไม่มีแดนพันธมิตรตะวันตก

อารมณ์ซับซ้อนเช่นนี้มิใช่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตอนนั้นใต้ยอดเขาบูรพาสงบ ช่วงที่เขายืมแผนที่จากเผ่าบูรพาสงบก็เคยมีความตึงเครียดเช่นนี้

ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง เขาพ่นลมหายใจยาว ไม่สนใจแผ่นไม้ไผ่บันทึกเหล่านั้น แต่หยิบหนังสัตว์มาผืนหนึ่งแล้วค่อยๆ คลี่ออก

“ไม่ใช่…” บนหนังสัตว์วาดอักขระที่ซูหมิงไม่เคยเห็นมาก่อน เขามองแวบหนึ่งก่อนละสายตากลับ แล้วหยิบผืนที่สองต่อ

“ไม่ใช่….”

“ไม่ใช่….”

ซูหมิงเปิดหนังสัตว์ดูหลายครั้ง ทว่าทุกครั้งกลับมิใช่แผนที่ จนกระทั่งตรงหน้าเขาเหลือหนังสัตว์เพียงสามผืน ลมหายใจเขายิ่งกระชั้นถี่มากขึ้น

ผืนที่สองในสามผืนโผล่ให้เห็นมุมหนึ่ง มันเหมือนลายเส้นของสภาพผืนดิน

ซูหมิงลังเลครู่หนึ่งก่อนกัดฟันหยิบหนังสัตว์ผืนนั้นมา เขามีความรู้สึกเด่นชัดมากว่าหนังสัตว์ในมือจะต้องเป็นแผนที่ที่เขาตามหา!

สำหรับเขาแล้ว การเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์ก็ดี คารวะเทียนเสียจื่อเป็นอาจารย์ก็ดี เรื่องเหล่านี้ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือเป้าหมายที่เขามาสำนักเหมันต์สวรรค์ ก็เพื่อตามหาแผนที่กลับแดนพันธมิตรตะวันตก!

ฉะนั้น เมื่อเทียนเสียจื่อบอกจะรับซูหมิงเป็นศิษย์และยกข้อเสนอมากมาย ในนั้นมีอยู่ข้อหนึ่งคือเขามีแผนที่ของแดนอรุณใต้ อีกทั้งแผนที่นี้ยังสมบูรณ์กว่าของสำนักเหมันต์สวรรค์ จึงทำให้ซูหมิงสนใจ

เขาไม่สนใจหรอกว่าจะได้เข้าสำนักเหมันต์สวรรค์รึไม่ ที่เขาสนใจมีแค่แผนที่

ซูหมิงจึงยอมตกลงคารวะเทียนเสียจื่อเป็นอาจารย์!

ทว่ายามนี้ หลังจากผิดหวังกับชั้นหนึ่งและชั้นสอง ยามเขาหยิบหนังสัตว์ผืนนี้ขึ้นมา ความตึงเครียดพลันทะยานถึงขีดสุด

มือขวาสั่นเทา ค่อยๆ เดินหน้าคลี่หนังสัตว์ออกทีละนิด จนเมื่อคลี่ออกจนหมดและเห็นหนังสัตว์ผืนนี้ เขาตัวสั่นราวกับมีสายฟ้าจำนวนมากแล่นผ่านความคิด มีเสียงอึกทึกดังขึ้นข้างหู

ยามนี้เขาลืมทุกสิ่ง ลืมว่าตัวเองอยู่ในห้องลับ ลืมว่าตัวเองอยู่บนยอดเขาลำดับเก้าของสำนักเหมันต์สวรรค์ ลืมว่าตัวเองอยู่ในแดนอรุณใต้ ทุกอย่างที่เขามีรวมอยู่ในดวงตาสองข้าง กลายเป็นสายตาหลอมรวมอยู่ในหนังสัตว์

มันเป็นแผนที่ชำรุด แม้จะทรุดโทรมบ้าง แต่แผนที่ภายในค่อนข้างสมบูรณ์ กลิ่นอายโบราณแผ่มาจากหนังสัตว์ เมื่อสัมผัสจะรู้สึกได้ถึงกาลเวลา

สิ่งนี้ไม่น่าใช่เทียนเสียจื่อเป็นคนวาด แต่เป็นของที่อยู่มาแสนนาน ด้านบนมีแผ่นดินใหญ่ห้าส่วน…

ซูหมิงมองแผนที่ตรงหน้า ค่อยๆ นั่งลงกับพื้น นัยน์ตาเขาฉายแววสับสนและคะนึงคิด สีหน้าเศร้าโศก ใช้มือขวาลูบบนแผนที่เบาๆ เขาเห็นแดนอรุณใต้บนแผนที่ และเห็น…แดนพันธมิตรตะวันตก…

“บ้าน…..” ซูหมิงพึมพำ ไม่รู้เมื่อไร น้ำตาเขารินไหลลงมาตามหางตา เปรอะบนเสื้อเขาและซึมเข้าไป

แผ่นดินใหญ่ห้าส่วนบนแผนที่แบ่งเป็นเหนือใต้ออกตกสี่ทิศ ตรงกลางเป็นแผ่นดินใหญ่ส่วนที่ห้า ตรงนั้นวาดเป็นหม้อหนึ่งใบ

แดนอรุณใต้อยู่ทิศใต้ แดนพันธมิตรตะวันตกอยู่ทิศตะวันตก ทว่าระหว่างสองแผ่นดินกลับเหมือนมีเทือกเขาที่ไม่อาจข้ามผ่านขวางเอาไว้…

น้ำตาเปรอะเสื้อผ้าและบนหนังสัตว์เล็กน้อย ซูหมิงก้มหน้า ไม่ได้ยินเสียงถอนหายใจจากด้านหลัง

“ที่แท้ เจ้าคารวะข้าเป็นอาจารย์ก็เพื่อสิ่งนี้…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!