Skip to content

สู่วิถีอสุรา 257

ตอนที่ 257 เพลงจบคนจากไป

เทียนเสียจื่อยังคงมีสีหน้าทะมึน เดินเข้าใกล้ประตูหมู่บ้านโดยไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย ช่วงที่เทียนเสียจื่อสัมผัสกับหมู่บ้าน ซูหมิงหรี่ตาลงอยู่ด้านหลัง เขาเห็นประตูใหญ่ของหมู่บ้านบิดเบี้ยว เหมือนกับว่าเปลี่ยนเป็นอีกที่หนึ่งในช่วงวินาทีนั้น ก่อนเทียนเสียจื่อเดินเข้าไปอย่างช้าๆ

ซูหมิงเดินตามอยู่ด้านหลัง ก้าวเข้าไปเช่นเดียวกัน จนกระทั่งทั้งสองคนเข้าไปแล้ว ซูหมิงจึงหันกลับไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง ก็พบว่าประตูใหญ่ของหมู่บ้านกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง

เห็นได้ชัดว่าเทียนเสียจื่อไม่ได้เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก เวลานี้ผู้คนจำนวนมากทั้งชนเผ่ากำลังหลับใหล อีกทั้งยังเป็นวันฝนตก โดยรอบจึงไม่มีกองเพลิง ภายในความเงียบสงบ นอกจากเสียงสายฝนกับฟ้าผ่าบางครั้งแล้ว ก็มีแค่เสียงแกรกๆ ที่ยังคงดังอยู่

เสียงนี้เหมือนกำลังนำทางเทียนเสียจื่อ เขาเดินเข้าไปในหมู่บ้าน เหยียบแอ่งน้ำบนพื้น หลังจากเดินผ่านเรือนพักหลายหลัง ซูหมิงก็พบว่าด้านหน้ามีแสงไฟลอดมาจากในกระโจมหนังสัตว์ธรรมดาหลังหนึ่ง

นี่คือชนเผ่าขนาดเล็ก มีขนาดพอกับเผ่าเขาทมิฬบ้านเกิดของซูหมิง ชนเผ่าเล็กแบบนี้มีอยู่มากมายนักในแดนอรุณใต้

ซูหมิงมองไปรอบๆ ตอนเขาเห็นกระโจมหนังมีแสงไฟลอดมา เขาได้ยินเสียงแกรกๆ เหมือนกระดูกเสียดสีกันดังมาจากในกระโจมหนังอย่างชัดเจน

เทียนเสียจื่อเดินเข้าไปใกล้ เปิดมุมหนึ่งของม่านหนังขึ้นแล้วเดินเข้าไป ซูหมิงเดินตามอยู่ด้านหลังก็เข้าไปเช่นกัน ตอนที่เข้าไปในนั้น สิ่งแรกที่เห็นคือกระดูกจำนวนมากวางเรียงราย

นอกจากกระดูกแล้วยังมีก้อนหินจำนวนหนึ่ง ของเหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้ทำเป็นซวิน!

นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงเห็นซวินเยอะขนาดนี้ และเป็นการเห็นซวินครั้งแรกในแดนอรุณใต้!

ซูหมิงตัวสั่นสะท้าน เมื่อกวาดสายตามองซวินเหล่านั้นแล้ว ก็มองชายชราผู้หนึ่งในกระโจมหนัง ชายชราคนนี้มีเส้มผมขาวปนดำ สวมเสื้อหนังสัตว์ เปลือยกายท่อนบน ยามนี้กำลังนั่งถือกระดูกสัตว์เกลาบนแผ่นหิน เหมือนว่าลักษณะของกระดูกสัตว์ไม่ค่อยตรงกับซวินกระดูกที่เขาอยากทำ จึงต้องลับในส่วนที่เหลือ

เทียนเสียจื่อมีสีหน้าทะมึนทึบ เขามองชายชราพลางเดินเข้าไปนั่งขัดสมาธิ เบนสายตามองกระดูกสัตว์ที่ชายชรากำลังขัด

ชายชรามีสีหน้าปกติ ราวกับใช้สมาธิทั้งหมดกับกระดูกในมือ ไม่ได้สังเกตเห็นเทียนเสียจื่อและซูหมิง เขาเกลากระดูกโดยไม่หยุดพักอย่างเงียบๆ เกิดเป็นเสียงดังแกรกๆ กังวานในกระโจมหนัง ทั้งยังมีเสียงดังลอดออกไปเล็กน้อย เนิ่นนานก็ไม่เลือนหาย

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ซูหมิงยังคงมองกระดูกในมือชายชรา จากการขัดทีละน้อยของเขา ทำให้ขอบมุมหนึ่งกลมได้ที่

เทียนเสียจื่อยังคงเงียบและมองตลอดเช่นเดียวกัน สีหน้าเริ่มเปลี่ยน บ้างทะมึน บ้างเข้าใจ บ้างซับซ้อน

ฝนด้านนอกตกหนักมากขึ้น มีเสียงฟ้าผ่าเป็นบางครั้ง บ้างก็สว่างจ้าในชั่วพริบตา ส่องสะท้อนเงาของทั้งสามคนบนกระโจม ขณะขยับวูบไหวก็หายไปอย่างรวดเร็ว

อาการจดจ่อทางสีหน้าของชายชราทำให้ซูหมิงคล้ายได้เข้าใจ เขานั่งขัดสมาธิลงตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ มองการลับกระดูกอยู่ด้านข้าง ฟังเสียงแกรกๆ เขาในตอนนี้พลันเกิดความสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนหลังจากไป๋ซู่มายอดเขาลำดับเก้า

ซูหมิงในเวลานี้ เพราะการเพ่งมองอย่างสงบนิ่ง เขาจึงตกอยู่ในสภาวะเหมือนลืมตัวตน ภายในดวงตามีเพียงกระดูกกำลังถูกลับ เขามองไม่เห็นว่าเทียนเสียจื่อนั่งอยู่ตรงหน้าเขา เสื้อผ้าบนตัวเปลี่ยนไป

การแปรเปลี่ยนเช่นนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตาและกลับคืนสภาพเดิมอีกครั้ง หากไม่สังเกตดีๆ จะมองไม่ออก

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ชายชราหยุดลับกระดูก การหยุดของเขาทำให้จิตใจซูหมิงสั่นไหวไปทั้งตัว นัยน์ตาได้สติกลับมา เขาเห็นชายชรากำลังมองกระดูก ยกมันขึ้นมองอย่างตั้งใจ

ผ่านไปนาน เขาพลิกกระดูกไปอีกมุมหนึ่ง แล้วลับต่อบนแผ่นหิน

เทียนเสียจื่อมีสีหน้าซับซ้อนมากขึ้น ผ่านไปอีกพักใหญ่ เขาจึงถอนหายใจยาวแล้วยันตัวขึ้น

วินาทีที่เขายืน ชายชราหยุดชะงัก ยกกระดูกในมือขึ้นอีกครั้ง

กระดูกนี้ทำเป็นซวินเสร็จแล้ว ด้านบนมีรูเล็กๆ อีกหลายรู เขามองแวบหนึ่งก็เงยหน้าขึ้น มิได้มองเทียนเสียจื่อแต่มองซูหมิง

ดวงตาคู่นั้นสงบนิ่งราวน้ำ เป็นดวงตาที่แฝงไว้ด้วยสติปัญญาไร้ขีดจำกัด มองทะลุความเป็นความตาย มองทะลุทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้และรับได้ทุกสิ่ง

ในแววตาคู่นั้นมีความเมตตา มีความปลอดภัย มีความสงบ มีประกายแสงที่เมื่อซูหมิงประสานสายตากับเขาแล้วใจสงบยิ่งกว่าเดิม

ชายชรายกมือขวาขึ้น ส่งซวินกระดูกให้ซูหมิง

ซูหมิงเงียบ ยืนขึ้นรับซวินกระดูกธรรมดามาอย่างนอบน้อม ทันใดนั้นซูหมิงพลันเข้าใจความหมายแฝงที่ชายชรามองตน เขาอยากให้ตนเป่าซวินกระดูกนี้

ซูหมิงถือซวินกระดูก ถอยหลังไปหลายก้าวเงียบๆ แล้วนั่งลงบนพื้น เหม่อมองซวินในมือ สายฝนด้านนอกตกหนักกว่าเก่า ฟ้าผ่าลงมาไม่หยุด

ซูหมิงหลับตาลง วางซวินกระดูกไว้ตรงปากแล้วเป่าเบาๆ

เดิมทีเขาเป่าเพลงซวินไม่เป็น ทว่าหลายปีมานี้ ซวินกระดูกชำรุดไร้เสียงในถุงเก็บวัตถุกลับอยู่เป็นเพื่อนเขาในค่ำคืนโดดเดี่ยวคิดถึงบ้าน…

ในค่ำคืนเหล่านั้น เขาเป่าซวินไร้เสียงคนเดียวเงียบๆ สิ่งที่วนเวียนอยู่รอบหูคือบทเพลงในความทรงจำ

เสียงอูๆ นำพาความอ้างว้างแล่นผ่านจากซวินกระดูกตรงริมปาก ดังกังวานภายในกระโจมหนัง ลอยออกไปตามอากาศ กระจายอยู่กลางฟ้าดิน

ยามนี้แม้แต่เสียงฟ้าผ่าด้านนอกยังเหมือนเงียบลง แม้แต่สายฝนยังบางเบา ผสมผสานกับเพลงซวิน บรรเลงออกมาเป็นเสียงเพลงของความคิดถึง

ซูหมิงบรรเลงเสียงซวิน และก็เป็นบทเพลงในความทรงจำเขา สิ่งที่ส่งเสียงคือคลื่นลมหายใจจากปากเขาซึ่งเคลื่อนผ่านซวินนี้ ทว่าขณะเดียวกัน จิตใจเขาก็กำลังเคลื่อนไหวด้วย

การเคลื่อนไหวนี้คือการไหลเวียนของกาลเวลา คือการหวนรำลึก

เสียงอูๆ ราวกับไม่มีโทนเสียงอื่นไปชั่วนิรันดร์ มีเพียงทำนองเสียงแบบง่ายๆ ขึ้นลง สะท้อนออกมาเป็นความอ้างว้าง แฝงไว้ด้วยกาลเวลายาวนาน มันคงอยู่ในค่ำคืนสายฝนเงียบสงบ ในดินแดนแปลกตาแห่งนี้

เหมือนเสียงคนรักกำลังสะอื้นไห้เบาๆ เหมือนชาวเผ่ากำลังเช็ดน้ำตาพลางร้องเรียก เหมือนสหายในวัยเยาว์กำลังกำหมัดแผดเสียงตะโกนด้วยความโกรธ…

เทียนเสียจื่อหลับตาลง ฟังเสียงซวินอย่างเงียบเชียบ ขณะฟังเสียงอูๆ สีหน้าทะมึนค่อยๆ ผ่อนคลายลง

ชายชราก็หลับตาด้วยสีหน้าสงบนิ่งเช่นเดียวกัน

มันเป็นเพลงซวินที่ยาวยิ่งนัก บางทีมันอาจจะมีชื่อ ทว่าซูหมิงไม่รู้ บทเพลงเช่นนี้มีอยู่ในความทรงจำเขาหลายบท เพียงแต่จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งจะได้เป่าซวินจริงๆ

ทว่า…นี่มิใช่ซวินของเขา บทเพลงซวินที่บรรเลงออกมามีจิตวิญญาณ มีความทรงจำของเขา แต่ยังขาดกลิ่นอาย นั่นคือกลิ่นอายของบ้านเกิด

บทเพลงจบลงแล้ว

ซูหมิงลืมตามองซวินกระดูกในมือ นัยน์ตากระจ่างแจ้ง เขายืนขึ้นแล้วส่งซวินให้ชายชราอย่างนอบน้อม

ชายชรายิ้มมองซูหมิงอย่างเมตตาพร้อมพยักหน้าให้

เทียนเสียจื่อในเวลานี้ก็ลืมตาเช่นกัน เขาไม่มองชายชรา แต่ยืนขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก จนถึงตอนนี้เขากับชายชรายังไม่ได้คุยกันสักประโยค แต่ซูหมิงรู้ดีว่าความจริงแล้วพวกเขาสองคนใช้เพลงซวินของตนสื่อเป็นคำพูดมากมาย

เมื่อเทียนเสียจื่อเดินออกไป ซูหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตามหลังไป ทั้งสองคนเดินออกจากกระโจมหนัง สายฝนด้านนอกยังคงตกหนักใส่พวกเขาและแอ่งน้ำบนพื้น

เมื่อเดินออกจากกระโจมหนังมาได้สิบกว่าจั้ง ซูหมิงพลันหยุดชะงัก นัยน์ตาไม่มีความลังเลอีก แต่เป็นเด็ดขาด

เทียนเสียจื่อก็หยุดเช่นเดียวกัน ทว่าไม่หันกลับไปมอง

ซูหมิงคารวะเทียนเสียจื่อ หมุนตัวกลับเดินไปทางกระโจมหนังเมื่อครู่ เปิดม่านหนังมุมหนึ่งแล้วเดินเข้าไปภายในกระโจม ขณะเดียวกับที่ซูหมิงเดินเข้าไป ชายชราที่นั่งอยู่มองมาอย่างสงบนิ่ง

“ท่าน…ซ่อมได้หรือไม่…” ซูหมิงหยิบซวินกระดูกของเขามาจากอกเสื้อ ซวินที่มีกลิ่นอายของบ้านเกิดนี้มีรอยร้าวเต็มไปหมดและไม่มีเสียง ซูหมิงวางมันไว้ตรงหน้าชายชรา

ชายชรามองซวิน ถือมันขึ้นและพิจารณาอย่างละเอียด ก่อนหยักหน้า

ซูหมิงคารวะอย่างนอบน้อม หมุนตัวเดินออกจากกระโจมหนัง และออกไปจากหมู่บ้านชนเผ่าแห่งนี้พร้อมกับเทียนเสียจื่อ

“เข้าใจรึยัง…” นอกหมู่บ้านท่ามกลางลมพายุฝน เทียนเสียจื่อกล่าวอย่างสงบนิ่ง เขาในเวลานี้แม้สวมชุดคลุมม่วง ทว่าสีหน้ากลับไม่ทะมึนทึบอีก

“การต่อสู้ครั้งแรกคือการพิสูจน์ขั้นพลัง ส่วนครั้งที่สอง…”

ซูหมิงมองเทียนเสียจื่อ เงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว “คือการประลองทางจิตใจ!”

“คนแรกที่ประลองคือศิษย์น้องเจ็ดของข้า คนที่เจ้าเห็นเมื่อครู่นี้ข้าไม่รู้ชื่อเขา ข้าพบเขาโดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อน ได้เห็นการสร้างซวินของเขาครั้งหนึ่ง…หลังจากนั้นทุกครั้งที่จิตใจเปลี่ยนข้าจะมาหาเขา ใช้จิตใจเป็นการประลอง…ใช้ขั้นพลังเป็นการประลอง…”

“เจ้าตระหนักรู้ทักษะการสร้างภาพวาด ใช้สิ่งนี้ทำให้จิตใจสงบ ฉะนั้นการฝึกฝนจึงไม่มีระบบระเบียบ ทุกอย่างต้องฝึกฝนที่จิตใจ…ทางเส้นนี้อาจมีคนที่ข้าไม่รู้จักกำลังเดินอยู่ ทว่าคนที่ข้ารู้จักก็มีแค่อาจารย์กับพวกเจ้าศิษย์ของข้า

ข้าเดินมาค่อนข้างไกลแล้ว พวกศิษย์พี่ของเจ้าก็เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ทว่าเจ้า สิ่งที่เจ้าต้องเผชิญตอนนี้คือจิตใจเปลี่ยนครั้งแรก…การเปลี่ยนของจิตใจจะเหมือนกับมีเจ้าสองคน” เทียนเสียจื่อกล่าวเสียงเบา

“จะทำอย่างไรข้าชี้แนะเจ้าไม่ได้ บอกได้เพียงจิตใจเปลี่ยนของตัวข้าเท่านั้น…ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปสังหารเผ่าเชมัน…อาจารย์ในชุดคลุมม่วงจะไม่หายไปหากไม่มีโลหิตจากหัวใจหนึ่งพันดวง” เทียนเสียจื่อเดินขึ้นฟ้าหนึ่งก้าว ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก กล่าวพึมพำคำว่าจิตใจเปลี่ยนเบาๆ นัยน์ตาเป็นประกายวาววับ จากนั้นตามหลังเทียนเสียจื่อไป

“เขาเป็นคนตาบอด เจ้ามองออกรึไม่…” บนท้องฟ้า ช่วงที่เงาของศิษย์และอาจารย์ค่อยๆ เลือนหาย เทียนเสียจื่อเอ่ยเบาๆ

“คนตาบอด…” ซูหมิงตะลึง

คนจากไปแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!