ตอนที่ 323 ปีกของซางเซียง
ซูหมิงมองเทียนหลันเมิ่งอย่างสงบนิ่ง
ทั้งสองคนอยู่ตรงมุมของกระบี่ยักษ์หมื่นจั้ง ห่างกันไม่ไกลนัก
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไร…” เทียนหลันเมิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวเสียงเบา
“เหตุใดต้องปิดบังข้าเช่นนี้” ซูหมิงขมวดคิ้ว หันหน้าไปมองท้องฟ้าแจ่มใสนอกกระบี่นภาหิมวันต์
เทียนหลันเมิ่งลังเลครู่หนึ่ง เหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง ทว่าก็ยังลังเลใจ
“เจ้ารู้เรื่องภัยพิบัติแห่งแดนรกร้างบูรพาได้อย่างไร?” ผ่านไปพักใหญ่ นางมองใบหน้าด้านข้างซูหมิงและกล่าวผ่านจิต
รอบตัวทั้งสองคนบนกระบี่ยักษ์มิใช่ว่าจะเงียบสงบ มีเสียงสนทนากันเบาๆ ดังบ่อยครั้ง เพียงแต่กระบี่เล่มนี้ใหญ่เกินไป บวกกับมีคนราวหนึ่งหมื่นนั่งฌานอยู่ด้านบน ฉะนั้นไกลออกไปหน่อยจึงได้ยินเสียงไม่ค่อยชัดนัก นอกจากนี้แล้วยังมีเสียงทะลวงอากาศของกระบี่ดังอย่างต่อเนื่อง
“ตอนดาวตกสิบดวงมาถึง ข้าได้ยินคำพูดเหล่านั้นบางส่วน” ซูหมิงไม่ปิดบัง เรื่องนี้เขาจำต้องรู้ลึก ในการคาดเดาของเขา เรื่องที่มีเพียงนักรบขั้นวิญญาณหมานเท่านั้นถึงมีสิทธิ์รู้นี้จะต้องสำคัญอย่างยิ่ง กระทั่งตัดสินใจในสิ่งที่เขาต้องทำในแผ่นดินเผ่าเชมันได้
เทียนหลันเมิ่งละสายตากลับ มองท้องฟ้านอกกระบี่ยักษ์ ผ่านไปพักหนึ่งจึงกล่าวเสียงเบา
“เจ้าเคยได้ยิน….ตำนานของซางเซียงหรือไม่…”
ซูหมิงตะลึงงัน ส่ายศีรษะแล้วเงียบไป
“ซางเซียงเป็นผีเสื้อในตำนาน ชั่วชีวิตมันจะกระพือปีกเพียงสามครั้ง…..ครั้งแรกจะทำให้แผ่นดินแยกภูเขาถล่ม ณ แผ่นดินตะวันออก” เทียนหลันเมิ่งมองท้องฟ้านอกกระบี่ กล่าวเสียงเบา
“มันก็แค่ตำนาน” ซูหมิงเอ่ยเนิบช้า
“ตำนานหรือ…โลกยามนี้ไม่มีใครเคยเห็นเทพหมานรุ่นหนึ่ง เจ้าพูดได้หรือไม่ว่าเทพหมานรุ่นหนึ่งเป็นเพียงตำนาน? ซางเซียงมีอยู่จริงหรือไม่ พวกเราไม่รู้…”
เทียนหลันเมิ่งส่ายศีรษะ
“ดาวตกเก้าดวงหมายถึงเผ่าเชมันถือกำเนิดมหาจ้าวเชมัน มันเป็นรูปแบบที่เหนือกว่าชีวิต เป็นระดับพลังที่เหนือกว่าความรู้ของพวกเรา” เทียนหลันเมิ่งกล่าวผ่านจิตเบาๆ ทว่าน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความกลัว ขณะเสียงกึกก้องในใจซูหมิง เขาก็สัมผัสความรู้สึกนั้นได้อย่างชัดเจน
“มหาจ้าวเชมัน?” ซูหมิงหันหน้ามองเทียนหลันเมิ่ง
“เจ้าน่าจะรู้เรื่องนี้ เมื่อหนึ่งพันปีก่อนสามยอดฝีมือแห่งเผ่าหมานแดนอรุณใต้ต่อสู้กับมหาจ้าวเชมัน สงครามครั้งนั้นสามยอดฝีมือเป็นฝ่ายชนะ ทว่ามหาจ้าวเชมันก็ยังไม่ตาย เพียงแค่หลับใหลเท่านั้น เขาเป็นอมตะ…ตอนนี้เขาตื่นขึ้นแล้ว ฉะนั้นเมืองหมอกนภาจึงส่งดาวตกเก้าดวงมาบอกข่าวกับสำนักเหมันต์สวรรค์และสำนักทะเลตะวันออก” เทียนหลันเมิ่งกัดริมฝีปากล่าง กล่าวผ่านจิตเบาๆ
ซูหมิงหรี่ตา เงียบไปชั่วครู่ก่อนกล่าวต่อเรียบๆ
“แล้วสิบดวง?”
“ในแดนอรุณใต้ ดาวตกจากเมืองหมอกนภาที่จะส่งไปยังเหมันต์สวรรค์กับทะเลตะวันออกมีจำกัดเพียงเก้าดวง ในความทรงจำข้า ตั้งแต่ก่อตั้งเมืองหมอกนภามาก็ไม่เคยปรากฏดาวตกสิบดวงมาก่อน….ตอนนี้เป็นครั้งแรก!” เทียนหลันเมิ่งหน้าซีด พึมพำเบาๆ
“ตามหลักแล้ว ห้าดวงคือมหาภัยพิบัติ แปดดวงคือภัยพิบัติเผ่าหมานแดนอรุณใต้สูญสิ้น เก้าดวงหมายถึงขุมพลังเผ่าเชมันถึงจุดสูงสุด…เช่นนั้นสิบดวงอาจจะเป็น…” เทียนหลันเมิ่งกล่าวถึงตรงนี้พลันหยุด เหมือนขบคิดอยู่ว่าจะกล่าวอย่างไรดี
ซูหมิงที่อยู่ข้างๆ จึงกล่าวเบาๆ
“แดนอรุณใต้ราบพณาสูญ…..” เมื่อซูหมิงกล่าวจบ เทียนหลันเมิ่งพลันตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้านางซีดขาวมากกว่าเดิม ผ่านไปพักใหญ่จึงพยักหน้าด้วยความขมขื่น
“จะเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้แดนอรุณใต้ราบพณาสูญ?” ซูหมิงรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่าขุมพลังระดับใดกันถึงทำเรื่องน่ากลัวเช่นนั้นได้
“ต่อให้เป็นมหาจ้าวเชมัน หากเขามีพลังระดับนั้นจริงๆ เช่นนั้นสงครามครั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีแล้ว” ซูหมิงกล่าวผ่านจิตด้วยเสียงหนักแน่น
“แม้ขั้นพลังเขาจะสูงส่งกว่าขั้นพลังที่พวกเรารู้ ทว่า…..เขาก็ทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น แต่เขาทำไม่ได้ มิได้แปลว่าไม่มีใครทำได้ สงครามระหว่างเทพหมานรุ่นสองกับเผ่าเซียนจากต่างแดน มิใช่ว่าทำให้แผ่นดินเผ่าหมานแยกเป็นส่วนๆ หรอกรึ…”
เทียนหลันเมิ่งกล่าวเสียงเบา
“ยังจำเรื่องซางเซียงที่ข้าบอกเจ้าไปเมื่อครู่ได้หรือไม่…”
เทียนหลันเมิ่งมองซูหมิง ซูหมิงสังเกตเห็นความหวาดกลัวในแววตานางอย่างชัดเจน
“ซางเซียงกระพือปีกครั้งแรกจะทำให้แผ่นดินแยกภูเขาถล่ม ณ แผ่นดินตะวันออก…” ซูหมิงตอบเสียงหนักแน่น
“แผ่นดินตะวันออกหมายถึงแผ่นดินใหญ่รกร้างบูรพา ระหว่างแผ่นดินใหญ่ทั้งห้าของเผ่าหมาน มีทะเลมรณะไร้ที่สิ้นสุดราวกับมหาสมุทร ดุจดั่งน้ำหมึก ประหนึ่งโลหิต…..ไม่มีใครข้ามผ่านทะเลมรณะนั้นได้
แผ่นดินใหญ่ทั้งห้า หลังจากแบ่งเป็นส่วนๆ ก็ขาดการติดต่อกัน เหมือนถูกขวางกั้นเอาไว้” เสียงเทียนหลันเมิ่งดังก้องในใจซูหมิง
“หากวันหนึ่งทะเลมรณะยืดยาวเข้ามาและจมแผ่นดินอรุณใต้ ถึงตอนนั้นจะมีสักกี่คนที่มีชีวิตรอด…..” เทียนหลันเมิ่งก้มหน้าลง
“บางทีอาจมีคนมีชีวิตรอด ทว่าหากแดนอรุณใต้จมอยู่ใต้ทะเลมรณะ จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินแยกภูเขาถล่ม แผ่นดินแดนอรุณใต้แตกเป็นเสี่ยงๆ ……เมื่อถึงตอนนั้นจะมีกี่คนที่รอด…..เจ้ากับข้าจะรอดหรือไม่?” เทียนหลันเมิ่งหลับตาลง
“นี่คือภัยพิบัติแดนรกร้างบูรพารึ? แล้วเกี่ยวอะไรกับแผ่นดินใหญ่รกร้างบูรพา?” ซูหมิงตื่นตะลึง ลมหายใจกระชั้นถี่เล็กน้อย ในหัวเขาผุดความคิดน่าเหลือเชื่อ
“ทะเลมรณะจะไม่ลุกลามอย่างไร้เหตุผล มันอยู่มาตั้งแต่ยุคบรรพกาล หากไม่มีเหตุก็ไม่เป็นไร” เทียนหลันเมิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวอย่างขมขื่น
“เว้นแต่จะมีพลังบางอย่างไปกระตุ้นทะเลมรณะ ให้มันเกิดคลื่นยักษ์ปานมหาสมุทร…..” ซูหมิงพึมพำเบาๆ
“เจ้าได้ยินแค่ว่าภัยพิบัติแดนรกร้างบูรพา ไม่ได้ยินคำพูดก่อนหน้านี้ บรรพบุรุษสกุลข้าบอกว่าทางตะวันออกของแดนอรุณใต้เป็นเขตแดนของเผ่าเชมัน และเป็นชายแดนติดกับทะเลมรณะ พื้นที่บริเวณนั้นมากกว่าหนึ่งหมื่นจั้งถูกทะเลมรณะจมไปแล้ว…
นี่เป็นเหตุการณ์แรกที่เกิดขึ้นในแดนอรุณใต้ และเพราะเหตุการณ์นี้เลยทำให้เผ่าเชมันสับสนอลหม่านจนต้องบุกโจมตีกำแพงหมอกนภาก่อนเวลา
ทะเลมรณะจะไม่ลุกลามอย่างไร้เหตุผล เหตุที่มันลุกลามก็เพราะแผ่นดินรกร้างบูรพา แผ่นดินนี้ห่างจากแดนอรุณใต้ไปไกลยิ่งนัก มันกำลังกระตุ้นทะเลมรณะให้เคลื่อนตัวมาทางแดนอรุณใต้ด้วยความเร็วที่ไม่อาจจินตนาการ” ในที่สุดเทียนหลันเมิ่งก็พูดออกมา เดิมทีข่าวนี้เมืองหมอกนภาจะบอกเพียงนักรบขั้นวิญญาณหมานทั้งหมดเท่านั้น และห้ามแพร่งพรายออกไป!
“แดนรกร้างบูรพาจะชนกับแดนอรุณใต้…” ซูหมิงสูดลมหายใจ เขาเข้าใจแล้ว ทว่าก็ยังจินตนาการไม่ออกว่าแผ่นดินใหญ่ขนาดนั้นจะเคลื่อนตัวด้วยเร็วสูงได้อย่างไร
“บางทีหนึ่งปี อาจสิบปี อาจไม่ถึงยี่สิบปี…..สักวันหนึ่ง เมื่อแผ่นดินรกร้างบูรพาเคลื่อนตัวด้วยความเร็วขนาดนั้นมาชนกับแดนอรุณใต้ เจ้าว่าแดนอรุณใต้จะเป็นอย่างไร? จากแผนที่โบราณ พื้นที่แผ่นดินรกร้างบูรพาใหญ่กว่าแดนอรุณใต้หลายเท่า…..” เทียนหลันเมิ่งมองซูหมิงด้วยแววตาสิ้นหวัง
ซูหมิงตัวสั่น หลับตาลง เขาเริ่มจินตนาการออกแล้วว่าเมื่อสองแผ่นดินเล็กใหญ่มาชนกันด้วยความเร็วสูงจะเกิดเรื่องน่ากลัวเช่นใดขึ้น
“อันดับแรก ชายแดนตะวันออกแดนอรุณใต้จะแหลกในชั่วพริบตา ด้วยแรงกระแทกมันจะลุกลามไปเรื่อยๆ จนมาถึงกำแพงหมอกนภาในเวลาอันสั้น……จากนั้นกำแพงหมอกนภาจะพังลง แผ่นดินเผ่าหมานจะแหลกเป็นเสี่ยงๆ …..ต่อให้หนีไปทางตะวันตกสุด ก็ยากจะหลีกพ้นโชคชะตา
เมื่อแผ่นดินใหญ่ถูกทำลายจนสิ้น ทะเลมรณะจากแดนรกร้างบูรพาจะจมทุกสิ่ง…..บางทีอาจมีคนรอด แผ่นดินใต้เท้าพวกเขาจะกลายเป็นแผ่น บางคนก็อยู่บนแผ่นนั้น แล้วใช้ชีวิตต่อไปเหมือนอยู่เกาะท่ามกลางทะเลมรณะไร้ที่สิ้นสุด…..
แต่ความจริงแล้วตรงชายแดนไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น โดยเฉพาะตอนกระแทก แผ่นดินอรุณใต้จะต้องเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกแน่นอน…ถึงตอนนั้น ทางตะวันตกของแดนอรุณใต้และชายแดนทั้งหมดจะกลายเป็นแดนที่น่าเวทนาที่สุด
และแผ่นดินเผ่าเชมันรอบนอกแดนอรุณใต้…..จะทำอย่างไรเพื่อมีชีวิตรอด เจ้าลองจินตนาการดูว่าสงครามในครั้งนี้จะดุเดือดเพียงใด…..เผ่าเชมันจะรุกรานเข้ามาในกำแพงหมอกนภา และคิดจะครองใจกลางแดนอรุณใต้ มีแค่ตรงนั้นที่บางทีพวกเขาอาจจะรักษาเผ่าพันธุ์เอาไว้ได้
ทว่าเจ้าจะยอมให้ศัตรูคู่อาฆาตหลายยุคหลายสมัยเข้ามาในบ้านเจ้ารึ…อีกอย่างหากพวกเขาเข้ามาในกำแพงหมอกนภาก็ต้องแบ่งดินแดนให้พวกเขาส่วนหนึ่ง แบบนั้นอาจจะเป็นทางเลือกที่ไม่ปลอดภัยขณะเผชิญภัยพิบัติ เพราะเราต้องแบ่งแดนส่วนหนึ่งให้เผ่าเชมัน นั่นก็เท่ากับว่าเราทำลายดินแดนของเราไป และพรากชีวิตเผ่าหมานไปจำนวนมาก…..
มิหนำซ้ำยังไม่มีใครรับรองได้ว่าส่วนใจกลางตรงไหนถึงจะปลอดภัยสุด หากไม่มีเผ่าเชมัน เผ่าหมานก็จะกระจัดกระจาย และมีโอกาสมีชีวิตรอด ทว่าหากเลือกผิด มอบดินแดนที่ปลอดภัยให้เผ่าเชมัน…” เทียนหลันเมิ่งกล่าวเสียงเบาขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายกลายเป็นความเงียบ
“ภัยพิบัติแห่งแดนรกร้างบูรพา…” ซูหมิงหน้าซีดขาว ทุกอย่างนี้เหนือจินตนาการ กระทั่งพอได้ฟังความจริงแล้ว เขายังรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน เขาก็ได้รู้ว่าเหตุใดถึงไม่บอกเรื่องนี้กับคนอื่น หากเป็นเช่นนั้น…..จะต้องเกิดจลาจลอย่างแน่นอน…..
“ซางเซียง” ซูหมิงจดจำชื่อนี้เอาไว้ เขารู้ว่ามันเป็นตำนาน อาจจะเป็นตำนานที่เกิดขึ้นประจวบเหมาะพอดี
“เรื่องนี้ปิดบังได้อีกไม่นาน จะเริ่มมีคนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ” ซูหมิงกล่าวผ่านจิต น้ำเสียงหนักแน่นดังในใจเทียนหลันเมิ่ง
“ในภัยพิบัติครั้งนี้จะต้องมีคนตายจำนวนมาก…..พวกเราเกิดในยุคสมัยนี้ ไม่มีทางเลือก” เทียนหลันเมิ่งยืนขึ้น ยืนตรงขอบกระบี่ นันย์ตาลึกซึ้ง
“ดีที่พวกเรามิได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว…..” เทียนหลันเมิ่งหันข้าง ดวงตางามมองซูหมิง นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ
“ซูหมิง คิดหาวิธีทะลวงขั้นพลังกันก่อนภัยพิบัติแห่งแดนรกร้างบูรพาจะมาเถอะ แบบนี้ต่อให้เจ้าเสียแดนอรุณใต้ไป เสียทุกอย่างไป ทว่าหากเจ้ายังมีชีวิตรอด ขั้นพลังก็จะอยู่กับเจ้า คอยหนุนนำเจ้า…”
ซูหมิงมองท้องฟ้านอกกระบี่อย่างเงียบขรึม



