Skip to content

สู่วิถีอสุรา 337

ตอนที่ 337 สงคราม

ช่วงที่เสียงดังก้อง คลื่นเสียงของคนไม่รู้กี่หมื่นคนกังวานรอบแปดทิศราวกับเข้าจู่โจมอย่างฉับพลัน

“สังหาร!”

เสียงสะเทือนฟ้าดิน ต่อให้ซูหมิงห่างจากเมืองหมอกนภาสักช่วงหนึ่งก็ยังคงรู้สึกถึงความบ้าคลั่งในน้ำเสียง หากยืนอยู่บนเมืองหมอกนภาด้วยตัวเองคงตะลึงยิ่งกว่านี้

เสียงนั้นมิได้มาจากเผ่าหมาน…

“เสียงเผ่าเชมันโจมตีเมือง!” อูตัวถอยหลังหลายก้าว พร้อมกล่าวเสียงเบา

“สหายโม่ แซ่อูขอตัวก่อน หากมีโอกาสภายภาคหน้าพวกเราคงได้พบกันอีก…รักษาตัวด้วย!” อูตัวเงยหน้ามองซูหมิงแวบหนึ่ง เดิมทีเขากับซูหมิงไม่รู้จักกัน ทว่าเวลาครึ่งเดือนที่ได้รู้จักกันเขามีความสุขมากจริงๆ ระหว่างทั้งสองคนเหมือนมีสัญญาลับกันอยู่

ซูหมิงก็มองอูตัวเช่นกัน ก่อนประสานมือคารวะ

“เจ้าก็รักษาตัวด้วย!”

อูตัวพยักหน้า แล้ววูบไหวตัวกลายเป็นสายรุ้งยาวตรงไปอีกทางของเมืองหมอกนภา

วานรเพลิงด้านหลังซูหมิงแบะปากมองอูตัวที่ทะยานไกลออกไป ยามนี้บนตัวมันผูกศีรษะคนไว้เกือบสามสิบแล้ว พูดได้ว่าในสงครามครั้งนี้ ชาวเผ่าเชมันเกือบทั้งหมดที่ใช้วิธีที่มีเพียงอูตัวรู้ลอบเข้ามาในเผ่าหมานอยู่ตรงนี้แล้ว

การต่อสู้ตลอดครึ่งเดือนทำให้ซูหมิงรู้จักเผ่าเชมันมากขึ้นไม่น้อย ยามนี้เขาละสายตาจากอูตัว แววตาขบคิด เขารู้ฐานะของอูตัว หลังจากรู้จักกันมาครึ่งเดือน บวกกับตอนที่ซูหมิงตื่นจากวิชาของเด็กชายแล้วเห็นวิชาของอูตัว

เหตุใดเขาจะไม่รู้เล่าว่าอูตัวเป็นเชมันระดับต้นที่ฝึกฝนจิตพยากรณ์!

อีกทั้งซูหมิงยังสงสัยว่าวิชาของอูตัวคงมิใช่เท่านี้ เกรงว่าคงเก็บงำเอาไว้เหมือนกับเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พอได้รู้จักกันมาครึ่งเดือนกลับมีแต่ผลดีต่อซูหมิง ระหว่างทั้งสองคนจึงมีความรู้สึกสนิทสนมกันเล็กน้อย

ซูหมิงส่ายศีรษะไม่สนใจเรื่องนี้อีก ถึงอย่างไรเขาก็มิใช่หมานแห่งแดนอรุณใต้ มิเช่นนั้นหลังจากรู้ฐานะของอูตัวจะต้องลงมือสังหารแน่นอน ทว่าซูหมิงคิดว่าที่ตนแสร้งทำเป็นไม่รู้ฐานะของอูตัวก็เพราะยังมีสาเหตุสำคัญที่สุดอยู่

‘ด้วยภัยพิบัติแห่งแดนรกร้างบูรพา ไม่ว่าจะเป็นเผ่าเชมันหรือเผ่าหมานในแดนอรุณใต้…จะมีสักกี่คนที่มีชีวิตรอด…’ ซูหมิงลอบถอนหายใจ เรื่องนี้เทียบกับสงครามตรงหน้าแล้วอยู่ห่างไกลนัก ความคิดที่หนักอึ้งเช่นนี้ไม่ควรจะมาคิดตอนนี้

เมื่อทำจิตใจสงบแล้วก็มีเสียงระเบิดและเข่นฆ่าดังแว่วมาจากเมืองหมอกนภา นัยน์ตาเขาขยับประกายก่อนกระโดดลอยขึ้นสูง ยืนอยู่บนอากาศและมองเมืองหมอกนภา ภาพที่เห็นทำให้เขาตื่นตะลึง

เขาเห็นเทือกเขาสูงยาวเหยียดที่คุ้นตานอนขวางอยู่บนแผ่นดิน เทือกเขานี้เหมือนกับกำแพง ฉะนั้นชาวหมานแดนอรุณใต้จึงเรียกมันว่ากำแพงหมอกนภา!

ทว่ามองจากจุดที่ซูหมิงอยู่ กำแพงนี้จะเหมือนมังกรเวหาสองตัว ใช้ร่างกายพวกมันโอบล้อมแดนเผ่าหมานแห่งอรุณใต้เอาไว้เป็นวงกลม ปกป้องอยู่ภายใน อีกทั้งจุดที่ศีรษะมังกรสองตัวนี้เชื่อมเข้าหากัน

ยามนี้อยู่ในสายตาซูหมิง นามมันคือ…เมืองหมอกนภา!

มันเป็นเมืองยิ่งใหญ่ สร้างอยู่บนกำแพงหมอกนภา กำแพงเมืองสูงตระหง่านประหนึ่งกุญแจใหญ่พันธนาการกำแพงหมอกนภาเอาไว้ ทำให้ชาวเผ่าเชมันบุกเข้าไปได้จำนวนจำกัด อีกทั้งสำหรับเผ่าเชมันแล้ว มันเป็นประตูใหญ่ที่ไม่อาจข้ามผ่านได้

กำแพงเมืองสูงใหญ่ห่างจากแผ่นดินราวหลายหมื่นจั้ง อีกทั้งฟ้าดินโดยรอบยังบิดเบี้ยว ระลอกคลื่นแผ่กระจายเป็นวงกว้างตลอด ราวแบ่งท้องฟ้า ด้านหนึ่งเป็นท้องฟ้าของเผ่าเชมัน อีกด้านหนึ่งเป็นของเผ่าหมาน สองท้องฟ้านี้ไม่อาจผสานรวมเข้าด้วยกัน!

จุดที่แปลกคือ ท้องฟ้าเผ่าหมานแจ่มใสนับหมื่นลี้ แต่ท้องฟ้าเผ่าเชมันมืดครึ้ม ชั้นเมฆม้วนตัว ประดุจอบอวลไปด้วยควันหนา

โดยเฉพาะด้านบนสุดของเมือง ตำแหน่งกำแพงหมอกนภาทั้งสองด้าน มีศีรษะยักษ์สองตัวยืดยาวเข้ามา ทำให้ซูหมิงเผลอคิดว่ามันเป็นของจริง

สิ่งนั้นเป็นเมืองสีน้ำตาลทุกจุด บางทีหลายปีก่อนมันอาจเป็นสีขาว และบางทีอาจเป็นสีดำ หากเป็นสีขาว เช่นนั้นสีน้ำตาลนี้ก็คงมาจากการถูกย้อมด้วยโลหิตสดติดแห้งนานหลายปี และหากเป็นสีดำก็คงเป็นเพราะโลหิตจำนวนมากซึมเข้าไปนานหลายปี จนสีดำลอกออกกลายเป็นสีน้ำตาล!

ทั้งสองด้านของเมืองแบ่งเป็นข้างละสามเมืองรอง เจ็ดเมืองนี้รวมเข้าด้วยกันกลายเป็นเมืองหมอกนภามากกว่าครึ่ง! ที่บอกว่ามากกว่าครึ่งก็เพราะห่างไปหนึ่งพันจั้งนอกกำแพงหมอกนภา บนแผ่นดินเผ่าเชมันก็มีเมืองอยู่เช่นกัน!

เมืองนี้สูงตระหง่าน น่าตะลึงและโออ่าเช่นกัน อีกทั้งเป็นสีแดงโลหิตทั้งหมด!

ระหว่างสองเมืองเป็นกำแพงเมืองสูงหลายหมื่นจั้งเชื่อมติดกัน สร้างเป็นเส้นทาง บนกำแพงเมืองมีแสงขยับวิบวับ แข็งแรงอย่างยิ่ง! หากเพียงเท่านี้คงไม่เท่าไร เพราะนอกเมืองหมอกนภายังมีรูปปั้นยักษ์สิบแปดรูป รูปปั้นทุกรูปสูงหมื่นจั้ง ตั้งตระหง่านอยู่บนแผ่นดินในลักษณะที่ต่างกัน

ทว่ารูปปั้นที่วางอยู่ตรงนี้ หากเพียงแค่เพื่อจัดเรียงเฉยๆ คงไม่มีใครเชื่อ ยามนี้ในสายตาซูหมิง เขาเห็นว่าในรูปปั้นสิบแปดรูปมีอยู่สี่รูปเปล่งแสงทึบพิลึกและเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ร่างกายใหญ่ยักษ์เต็มไปด้วยความน่าตะลึง โดยเฉพาะตอนมันขยับตัว จะเหมือนคนยักษ์ยืนอยู่บนพื้น

ซูหมิงเห็นกับตาว่ามีรูปปั้นหนึ่งสะบัดแส้ยาวในมือ เห็นอยู่ว่าแส้นั้นสร้างขึ้นจากหิน ทว่ากลับกวัดแกว่งราวกับงูตัวยาว ส่งเสียงลากยาวมาพร้อมกับเลือดเนื้อจำนวนมาก

นอกจากเมืองหมอกนภาแล้ว ซูหมิงยังเห็นว่าบนแผ่นดินเผ่าเชมันห่างจากเมืองหมอกนภาไม่ไกลนัก มีกระบี่ยักษ์ลอยอยู่กลางอากาศ แรงกดดันจากกระบี่ทำให้มวลอากาศโดยรอบบิดเบี้ยว บนกระบี่มีจุดสีขาวจำนวนมาก ทั้งยังมีไอหนาวแผ่กระจายมาจากกระบี่

เพราะห่างกันค่อนข้างไกล ซูหมิงจึงเห็นเพียงว่าบนกระบี่ยักษ์หมื่นจั้งมีคนยืนอยู่จำนวนมาก ทั้งยังมีหลายคนบินออกไป…

อีกด้านหนึ่งของนอกเมืองหมอกนภาก็มีวัตถุยักษ์หมื่นจั้งเช่นกัน สิ่งนั้นเป็นกระจกยักษ์บานหนึ่ง หน้ากระจกหันลงไปทางผืนดิน ด้านหลังกระจกมีเงาร่างคนยืนอยู่จำนวนไม่น้อย

โดยรอบกระจกนั้นไม่มีมวลอากาศบิดเบี้ยว แต่ด้านข้างมีทะเลมายาส่งเสียงคลื่นกระทบกัน

กระบี่ยักษ์ก็คือนภาหิมวันต์ของสำนักเหมันต์สวรรค์ ส่วนกระจกบานนั้นเป็นของสำนักทะเลตะวันออก!

นี่คือสิ่งที่ซูหมิงเห็น ทุกอย่างของเผ่าหมานกับเมืองหมอกนภา!

ทว่าในสายตาเขา ไกลออกไปกลับมิได้มีเพียงเผ่าหมาน ยังมี…เผ่าเชมันจำนวนนับไม่ถ้วนและแน่นขนัด ต่อให้ซูหมิงยืนอยู่บนท้องฟ้าสูงก็ยังมองไม่เห็นสุดปลาย!

เขาเห็นเผ่าเชมันขี่สัตว์ปีกยักษ์กำลังบินตรงมาจากท้องฟ้า เผ่าเชมันแบบนี้มีเยอะมืดฟ้ามัวดิน มีมากกว่าหมื่นคน และยังมีเผ่าเชมันที่ยืนบนปลายาวเหมือนกระบี่ ขณะบินอยู่บนท้องฟ้าเส้นผมพวกเขาปลิวไสว ตรงมาพร้อมกับเปลวเพลิงชั่วร้าย จำนวนไม่ต่ำกว่าหมื่นเช่นกัน!

และยังมีชาวเผ่าเชมันที่ยืนบนสัตว์ปีกยักษ์หลากชนิด รูปร่างพวกเขาต่างกัน เสื้อผ้าต่างกัน แต่กลับมีความเหี้ยมโหดเหมือนกัน

ซ้ำยังมีสัตว์ร้ายขนาดหลายพันจั้งอีกหลายสิบตัวแผดเสียงคำรามอยู่บนท้องฟ้าปานผู้นำ การเคลื่อนไหวของพวกมันทุกตัวล้วนทำให้มวลอากาศเกิดเป็นรอยแยกก่อนหุบลงในชั่วพริบตา

และ…ด้านหลังสุด ซูหมิงเห็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เผ่าเชมันขนาดหมื่นจั้งสองตัว

ตัวหนึ่งมีเปลวเพลิงลุกทั้งตัว รูปร่างดุจกิเลน ดวงตามีเปลวเพลิง จ้องเมืองหมอกนภาเขม็ง บนตัวมันยังมีชายผมยาวสีแดงเพลิงหนึ่งคน ชายคนนี้เอามือไพล่หลัง ปล่อยให้เส้นผมสยายไปตามลม ขณะสายตามองทอดไกลด้วยความเย็นชา

อีกตัวหนึ่งเป็นแมงป่องขนาดหมื่นจั้ง ทั้งตัวเป็นสีเขียว จึงทำให้ฟ้าดินตรงที่มันอยู่เหมือนถูกย้อมด้วยสีเขียว ด้านหลังมีชาวเผ่าเชมันยืนอยู่ผู้หนึ่งเช่นกัน เป็นยายเฒ่าคนหนึ่ง!

หากเพียงเท่านี้คงไม่เท่าไร บนพื้นยังมีเผ่าเชมันอีกมาก เห็นได้ชัดว่ามีมากกว่าหมื่นคน พวกเขาขี่สัตว์ร้ายสีดำวิ่งห้อบนพื้น ลักษณะของสัตว์ร้ายเหมือนเสือดาว ทว่าแห้งเหมือนโครงกระดูก แต่ถึงกระนั้นก็มิได้ดูอ่อนแอแม้แต่น้อย ราวกับว่าเดิมทีพวกมันก็มีลักษณะเช่นนี้อยู่แล้ว

มันวิ่งด้วยความว่องไวพร้อมกับแผดเสียงคำราม มุ่งหน้าไปยังเมืองหมอกนภา

ด้านหลังพวกเขาแผ่นดินสั่นสะเทือน มีสัตว์ร้ายอีกชนิดนับหมื่นกำลังวิ่งเข้ามา ด้านหลังพวกมันไปอีก ซูหมิงเห็นเป็นคนยักษ์สูงหลายร้อยจั้งหลายพันคน คนยักษ์เหล่านี้มีเพียงแขนเดียวยืดมาตรงหน้าอก ไม่มีศีรษะ แต่ภายในฝ่ามือตรงแขนกลับมีดวงตาข้างเดียวอยู่

บนตัวพวกมันมิได้มีชาวเผ่าเชมันเพียงคนเดียว แต่มีราวเจ็ดแปดคน!

ด้านหลังไปอีกเป็นชาวเผ่าเชมันไม่มีสัตว์ขี่ ทว่าเสียงเข่นฆ่ากลับดังสนั่น พากันห้อวิ่งกระโดดเข้าใส่เมืองหมอกนภา!

ส่วนด้านหลังสุดเป็นสัตว์ยักษ์หมื่นจั้งอีกหนึ่งตัวที่ทำให้ซูหมิงตื่นตะลึง!

สัตว์ตัวนี้ไม่บิน แต่นั่งขดตัวอยู่บนพื้น มีรูปร่างเป็นงูเหลือมยักษ์ แววตาเย็นชาสั่นไหว ตรงศีรษะมีชายหนุ่มนั่งอยู่คนหนึ่ง เขาสวมเสื้อคลุมยาว ไว้เส้นผมยาว มีใบหน้าเหมือนสตรีงดงาม ทั้งยังยิ้มมุมปากเย็นชา

นี่ไม่ใช่ทุกอย่างที่ซูหมิงเห็น ด้านหลังสัตว์หมื่นจั้งสามตัว ภายในทะเลหมอกกว้างใหญ่ ตรงเมฆดำม้วนตัวประหนึ่งหมอกดำหมุนตลบ พบว่ามีปลาน้ำจืดน่าสะพรึงอยู่ตัวหนึ่ง!

มันใช้ฟ้าดินเป็นทะเล กระโดดขึ้นลง ตัวมีขนาดใหญ่และซ่อนอยู่ในทะเลเมฆ ไม่อาจใช้หน่วยจั้งมาวัด แต่ต้องใช้หน่วยลี้!

เสียงอื้ออึงที่ซูหมิงได้ยินและรู้สึกคุ้นหูก่อนหน้าก็มาจากปลาน้ำจืดตัวนี้

บนตัวปลามีสตรีผู้หนึ่ง มองเห็นใบหน้านางไม่ชัด ขณะปลาน้ำจืดกระโดดขึ้นลงเห็นเป็นเงาล่องลอยภายในทะเลเมฆเท่านั้น…

ซูหมิงตื่นตะลึงกับสงครามครั้งนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็นสงครามยิ่งใหญ่ขนาดนี้ มันกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ทำให้เขาหายใจติดขัด

ผ่านไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย เดินหน้าหนึ่งก้าวก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวตรงไปยังเมืองหมอกนภา เขาจะเข้าร่วมสงคราม!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!