Skip to content

สู่วิถีอสุรา 37

ตอนที่ 37 เพลิงโลหิตแผดเผาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“เพลิงโลหิตแผดเผาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เก้าสูงสุด หนึ่งวิถี คารวะเพลิงหมานเก้าครั้ง เป็นหนทางสู่การคารวะเพลิง!” ซูหมิงกล่าวพึมพำโดยไม่รู้ตัว ประโยคนี้ดังก้องอยู่ในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้งยังดังมากขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดราวกับเสียงฟ้าร้องดังสนั่นก้องกังวานในความคิด

เงาจันทร์โลหิตเลือนรางในแววตาทั้งสองข้างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังขยับแสงพิลึกวูบวาบราวกับแผดเผาไม่รู้จบสิ้น ทำให้ซูหมิงรู้สึกเจ็บปวดที่ดวงตาทั้งสองข้าง

ตอนแรกความเจ็บปวดยังไม่ชัดเจนนัก ทว่ากาลเวลาหมุนเปลี่ยน ความเจ็บปวดรุนแรงมากขึ้นตามการสะท้อนจากแสงจันทร์ด้านนอก จนถึงที่สุดความเจ็บปวดทำให้ซูหมิงตัวสั่นราวกับไม่อาจทนไหว

เขาพยามหลับตาเพื่อไม่มองแสงจันทร์ เหมือนกับว่าแหล่งต้นกำเนิดความเจ็บปวดไม่ใช่เปลวเพลิง แต่เป็นแสงจันทร์ แต่ถึงกระนั้นเขากลับสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน เหมือนกับว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เป็นช่วงเวลาสำคัญของตนขณะฝึกฝนวิชาหมานพิสดารนี้

หากเขาหลับตาไม่มองสองจันทร์ ก็เท่ากับล้มเหลวในการฝึก กระทั่งเขายังคาดเดาไว้ล่วงหน้าว่า หากตนล้มเลิก เกรงว่าภายภาคหน้าคงไม่อาจได้ฝึกฝนวิชานี้อีกแล้ว

“เพลิงโลหิตแผดเผาซ้ำแล้วซ้ำเล่า…แผดเผาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไร!”

ดวงตาซูหมิงเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เงาจันทร์โลหิตพลันแทนที่ดวงตาของเขา ทำให้ซูหมิงในยามนี้ดูน่าสะพรึงยิ่งนัก

เงาจันทร์โลหิตแผดเผาในดวงตาทั้งสองข้างราวกับทำให้น้ำตาเหือดแห้ง ยิ่งทำให้ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย คลับคล้ายว่าอีกไม่นานคงได้แห้งเหี่ยวถึงที่สุด

ซูหมิงแหงนหน้าคำรามขึ้นฟ้า ใบหน้าเหยเกย โคจรโลหิตในกาย แต่ไม่ว่าจะโคจรอย่างไร ก็ไม่อาจชะลอการเหือดแห้งของดวงตาได้ ในทางตรงกันข้ามกลับรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ไม่นานแสงจันทร์ที่ซูหมิงมองเห็นราวกับค่อยๆ เลือนราง

ยามนี้หากมีคนอยู่ข้างกายซูหมิง คงจะเห็นได้ชัดว่าดวงตาของเขายังคงขับเพลิงสีแดงเช่นเดิม แสงเพลิงราวกับโลหิตกำลังลุกไหม้แผดเผาอย่างน่าสะพรึง

“แผดเผาอย่างไร อย่างไรถึงจะเรียกว่าเพลิงโลหิตแผดเผาซ้ำแล้วซ้ำเล่า!”

ซูหมิงต่อสู้ดิ้นรน นึกความหมายแฝงของประโยคดังกล่าวไม่ออก ในตอนที่สายตาของเขาพร่ามัว เขาค่อยๆ หลับตาลงอย่างเชื่องช้า เขาทราบดีว่าหากไม่หลับตา เป็นไปได้ว่าจากนี้ไปเขาคงไม่ได้เห็นแสงตะวันอีก

ทว่าขณะที่เหลือช่องระหว่างดวงตาเพียงเล็กน้อย พลันมีสายฟ้าแล่นผ่านความคิด มีภาพพึลึกปรากฏขึ้น ในภาพนั้นตัวเขากำลังช่วยไป๋หลิงที่กำลังติดอยู่ในลำต้นสีแดงกลางชนเผ่าหมานเพลิง และยังมีพวกค้างคาวจันทราที่มีสีหน้าเจ็บปวดและเศร้าโศก

ค้างคาวจันทราเหล่านั้นทำสิ่งเดิมซ้ำๆ กัดนิ้วของตน แล้วนำไปถูดวงตาทั้งสองข้าง…

ซูหมิงชะงัก ราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ เปลือกตาทั้งสองข้างที่ยังไม่ปิดสนิทพลันเปิดขึ้นอีกครั้ง ในขณะเดียวกันเขายกมือขวาขึ้นมาวางตรงมุมปากแล้วออกแรงกัดลงไป

โลหิตสดพลันอาบปลายนิ้วย้อมเป็นสีแดง พร้อมกับใช้นิ้วที่อาบโลหิตทาไปในดวงตาทั้งสองข้างของตนทันที!

ในช่วงที่ทาลงไป พลันมีเสียงดังขึ้นระหว่างคิ้วของซูหมิง ความรู้สึกเย็นเยือกปรากฏขึ้นในดวงตา

ในจังหวะนั้นเองราวกับทั้งยอดเขาเพลิงทมิฬสั่นไหวเล็กน้อย อีกทั้งยังไม่มีหิมะโปรยปรายอย่างน่าประหลาด เหมือนกับว่าสิ่งที่สั่นไหวไม่ใช่ตัวเทือกเขา แต่เป็นวิญญาณของมัน

ในขณะเดียวกัน กลิ่นอายที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า พลันปะทุขึ้นจากในยอดเขาเพลิงทมิฬ ก่อนมารวมตัวอย่างบ้าคลั่งรอบตัวซูหมิง

ซูหมิงไม่ทราบว่ามันคืออะไร ทว่าเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่เข้ามาหลอมรวมกับดวงตา ราวกับดวงตาของเขากลายเป็นน้ำวนที่คอยดูดกลิ่นอายพลังเหล่านั้นเข้าไป

กลิ่นอายพลังที่ทะลักเข้าไปคลับคล้ายฝนปรอยที่ดับเพลิงแผดเผา สายตาพร่ามัวกลับมาชัดเจนอีกครั้ง เพียงแต่ในความชัดเจนกลับแฝงไว้ด้วยแสงโลหิต ทำให้โลกที่ซูหมิงมองเห็นกลายเป็นสีแดง!

ในช่วงวินาทีนั้น ความรู้สึกแผดเผาจนเหือดแห้งในดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเย็นสบาย อีกทั้งความเจ็บปวดยังมลายหายไปในเวลาเดียวกัน!

นอกจากกลิ่นอายพลังจะหลั่งเข้าไปในดวงตาแล้ว มันยังแผ่ขยายไปในร่างของเขาและหลอมรวมกับโลหิต ก่อนค่อยๆ ไหลเวียนไปตามร่างกาย

บนตัวของซูหมิง เส้นเลือดเส้นที่ยี่สิบสองกำลังขับแสงโลหิตไปทั่วร่าง ทันใดนั้นพลันปรากฏเส้นเลือดเส้นที่ยี่สิบสามขึ้น!

นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายแสงโลหิต ก่อนเส้นเลือดเส้นที่ยี่สิบสี่จะปรากฏตามขึ้นมา!

ผ่านไปครู่ใหญ่ ท้องฟ้าภายนอกเริ่มสว่างไสว แสงจันทร์เลือนรางราวกับใกล้ถึงยามตะวันทอแสงแรก ซูหมิงพลันยันกายขึ้นก่อนทะยานออกไป พริบตาเดียวเขาก็มายืนอยู่หน้าปากถ้ำ ลมหุบเขาพัดผ่าน เส้นผมยามปลิวไสว เส้นเลือดทั้งยี่สิบสี่เส้นบนกายดุดัน ยิ่งทำให้ซูหมิงดูน่าหลงใหลยิ่งนัก

ซูหมิงยืนแหงนหน้ามองดวงจันทร์ที่กำลังเลือนหาย พลันกระโดดทะยานขึ้นไปทางดวงจันทร์ แล้วสูดลมหายใจลึกหนึ่งเฮือก

ในขณะนั้นเอง ดวงจันทร์ที่ซูหมิงมองอยู่พลันสั่นไหว ก่อนแสงจันทร์สีแดงตกใส่ดวงตาทั้งสองข้าง แล้วหายวับไปในทันที!

ซูหมิงชะงักร่าง ตรงคอของเขา มีเส้นเลือดเส้นที่ยี่สิบห้าปรากฏขึ้น! ในที่สุดเขาก็ทะลวงสู่ลำดับสี่ขั้นรวมโลหิตเสียที!

สำหรับในเผ่าเล็กแทบทุกเผ่าแล้ว ลำดับสี่ขั้นรวมโลหิตนับว่าค่อนข้างเป็นที่น่าสนใจ และเป็นเครื่องหมายแสดงว่าคนผู้นั้นมีสิทธิเป็นสมาชิกของกลุ่มล่าสัตว์ อีกทั้งยังเป็นกำลังสำคัญในการสู้รบและปกป้องชนเผ่าอีกด้วย!

ในขณะเดียวกัน ลำดับสี่แสดงถึงจุดสูงสุดในระดับต้นของขั้นรวมโลหิต อีกก้าวเดียวก็ทะลวงสู่ลำดับห้า กลายเป็นนักรบหมานระดับกลางขั้นรวมโลหิต! ที่สำคัญคือหากทะลวงสู่ระดับกลาง ซูหมิงก็จะมีหวังได้วิชาหมานใหม่!

ซูหมิงสัมผัสได้ถึงพลังที่เขาไม่เคยมีมาก่อน สีหน้ายังคงเรียบเฉย มองพระจันทร์ค่อยๆ ลาลับแล้วแทนที่ด้วยแสงสว่างจากตะวัน กลิ่นอายหนาวเย็นหลั่งทะลักอยู่ในดวงตาตามการโคจรโลหิตในกาย อีกทั้งพลังมหาศาลยังหลั่งไหลเข้ามาจากยอดเขาแห่งนี้

กระทั่งในยามนี้ยังเกิดความรู้สึกประหลาด ราวกับว่าเขาสามารถควบคุม…..แสงจากดวงจันทร์ได้!

ภายใต้ความรู้สึกประหลาดนี้ ซูหมิงชูมือขึ้น แล้วโบกเบาๆ พร้อมกับดวงจันทร์ที่ลาลับหายไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!