ตอนที่ 477 ซู่มิ่ง
‘หลายสิ่งในโลกใบนี้มีสองด้านตรงข้ามกัน โดยเฉพาะในโลกอมตะ นี่เป็นเพราะความต้องการที่จะกินจิ่วอิงของจู๋จิ่วอิน เหมือนกับที่มันบอกในตอนนั้น ในเมื่อโลกนี้มีจิ่วอิน เหตุใดถึงต้องมีจิ่วอิง…นี่คือการสืบทอดสายเลือดจิ่วอิน….
แต่เห็นได้ชัดว่าจู๋จิ่วอินตัวนี้ไม่เคยกินจิ่วอิง ฉะนั้น…..โลกอมตะนี้จึงไม่สมบูรณ์แบบ บวกกับมันตายไปแล้ว แม้แต่จิตยังแข็งค้างอยู่ตอนที่เปิดโลกนี้เพื่อดูดข้าเข้ามา เมื่อเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าโลกอมตะนี้เปราะบางยิ่งนัก!
ที่นี่มีช่องโหว่ยักษ์อยู่ ช่องโหว่นี้ก็คือความเสียดายของจู๋จิ่วอินตัวนี้ ทั้งยังหมายถึงการผสานรวม!
ความจริงแล้วที่นี่ยังไม่ผสานรวมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นหนักเบา เร็วกับช้า หรือกดกับคว้า สิ่งเหล่านี้คือโลกอมตะที่จู๋จิ่วอินเลียนแบบขึ้น!’ นัยน์ตาซูหมิงเปล่งประกาย เขากำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าสีเทาอยู่
‘ผสานรวมคือต้นตอของโลกอมตะ และก็เป็นสาเหตุแท้จริงที่มันถูกสายเลือดจู๋จิ่วอินสร้างขึ้น! มันเคยบอกว่ากินมาเจ็ดสิบเก้าโลก
อธิบายได้หรือไม่ว่าโลกอมตะของจู๋จิ่วอินนี้สร้างขึ้นจากโลกอื่นๆ ที่มันกินไป ทำให้จู๋จิ่วอินตระหนักรู้ในการผสานรวม เพื่อว่าสักวันหนึ่งมันจะกินจิ่วอิงได้ และสำเร็จความปรารถนากับหน้าที่ของเผ่ามันที่รับกันมาหลายต่อหลายปี…’
‘วิธีออกไปจากที่นี่คือต้องให้ข้ามีพลังทำลายโลกใบนี้และฝืนเดินออกไป! หรือไม่ก็…ต้องตระหนักรู้ถึงคำว่าผสานรวมอย่างแท้จริง!’
“เพียงแต่ว่าการผสานรวมของข้าคืออะไร” ซูหมิงพึมพำ มองท้องฟ้าสีเทาด้วยแววตาสับสน
“ความเป็นกับความตาย….” นัยน์ตาซูหมิงค่อยๆ เปล่งประกาย
เวลาผ่านไป พริบตาเดียวก็สามสิบปี ในสามสิบปีนี้ ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนี้ตลอด ไม่เคลื่อนไหวใดๆ เขายังคงขบคิดและทำความเข้าใจ ตกอยู่ในสภาวะพิลึก สีหน้าเขาเริ่มดูเจนโลก และค่อยๆ มีกลิ่นอายของกาลเวลา
หมอกขาวรอบตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ หมอกนี้มาจากวิญญาณอมตะที่คิดจะกินซูหมิง ทว่ากลับถูกสังหารในช่วงเวลาที่ผ่านมา
หมอกขาวกลุ่มนี้ดึงดูดวิญญาณอมตะให้เข้ามาเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าช่วงที่เข้าใกล้เขา พวกมันจะกรีดร้องและตัวระเบิดกลายเป็นหมอกขาวในทันใด
พวกมันอยู่รอบตัวซูหมิง ฟื้นคืนชีพและตายลงอย่างต่อเนื่อง วนเวียนเช่นนี้ไปกลายเป็นวัฏจักร
‘วัฏจักรหลายแสนครั้ง ตายกับคืนชีพสลับกัน เป็นเรื่องง่ายมากที่จะตระหนักรู้ถึงร่องรอยของความเป็นและความตาย เพียงแต่ว่าความเป็นก็ดี ความตายก็ดี ในโลกอมตะนี้ไม่มีความเป็นที่มีความหมายอย่างแท้จริง ความตายก็เช่นกัน….
แม้มีประสบการณ์มากกว่านี้ก็เป็นเหมือนกับความฝัน ตอนที่ตื่นจากฝันทุกอย่างจะเป็นเพียงภาพมายา…นี่ไม่ใช่การผสานรวมของข้า’
วันหนึ่งหลังจากสามสิบปีนั้น ซูหมิงลืมตาขึ้นส่ายศีรษะ ก่อนสะบัดมือขวาไปข้างนอกอย่างง่ายๆ
ทันใดนั้น หมอกขาวหนาที่แผ่กระจายออกไปข้างนอกจนกระทั่งไปไกลหมื่นจั้งจึงหยุดลง ขณะเดียวกัน แม้ซูหมิงยังนั่งขัดสมาธิอยู่ โดยรอบกลับบิดเบี้ยว ประหนึ่งว่าสายตาเห็นตัวเขา ทว่าในความรู้สึก ตรงจุดที่ซูหมิงอยู่กลับว่างเปล่า
หลังจากผ่านไปนานก็มีวิญญาณอมตะทยอยกันเกิดใหม่ วิญญาณเหล่านั้นเหมือนไม่เห็นซูหมิง พวกมันไม่ได้กระโจนเข้ามาดั่งปกติ แต่จากไปอย่างสับสน ไม่นานตรงซูหมิงก็ไม่มีวิญญาณเกิดใหม่อีก
ต่อให้มีผ่านทาง ก็ยังลอยผ่านไปราวกับไม่เห็นซูหมิง
เวลาผ่านไปอีกยี่สิบปี ในยี่สิบปีนี้ ซูหมิงยังคงขบคิด
‘หนักกับเบา…..เร็วกับช้า กดกับคว้า….สิ่งเหล่านี้ต่างกันในด้านคุณสมบัติความบริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่ข้าเรียนรู้จากคนอื่นในวัฏจักรนับไม่ถ้วนของข้า มิใช่ของข้าเอง…ที่โลกใบนี้มีสองด้านตรงข้าม ดูแล้วคงจะเกี่ยวกับเจ็ดสิบเก้าโลกที่จู๋จิ่วอินกินไป…นี่ไม่ใช่การผสานรวมของข้า’
“การผสานรวมของข้า จะต้องเป็นของข้าทั้งหมด……” ซูหมิงพึมพำเบาๆ
“มันคืออะไรกันแน่” ซูหมิงหลับตา ขบคิดมาห้าสิบปีก็ยังไม่ได้คำตอบ
ยามนี้ขณะสับสน เขาค่อยๆ ตกอยู่ในห้วงความทรงจำ มองความทรงจำของตัวเอง ภาพในความทรงจำเหล่านั้นทำให้เขาเกิดความรู้สึกแปลกตา ถึงอย่างไรเขาก็ผ่านวัฏจักรที่นี่มาหลายแสนครั้ง ผ่านกาลเวลามาอีกไม่รู้เท่าไร
มองไปมองมา เขาก็เห็นตัวเองพาเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ลืมชื่อไปแล้วสองคนมายังโลกเก้าหยิน มายังแดนฝังกระดูกจู๋จิ่วอิน และเข้าไปในร่างของมัน จนเจอกับชายชราเสื้อคลุมดำ
ภาพเหตุการณ์เกี่ยวกับโลกเก้าหยินผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาเห็นเทือกเขาคุ้นตา ที่นั่นเป็นถ้ำของเขา และยังมีหงหลัว ตี้เทียน รวมถึง….ยอดเขาลำดับเก้า
ความทรงจำไหลผ่านอย่างต่อเนื่อง จากยอดเขาลำดับเก้ากลับเมืองเขาหาน จากเมืองเขาหานกลับไป…..ภูเขาทมิฬ ภาพต่างๆ ในภูเขาทมิฬ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีวันลืม มีท่านปู่ เป่ยหลิง อูลา เหลยเฉิน ซานเหิน และยังมี….ไป๋หลิง
‘สิ่งเหล่านี้คืออดีตของข้า’ ซูหมิงหวนนึกย้อนกลับไป ในใจเกิดความเศร้าโศกแต่วิญญาณไม่มีน้ำตา หากมีคงไหลลงมาแล้ว
“สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตข้าคือภูเขาทมิฬ ยอดเขาลำดับเก้าและอดีตของข้า……ข้าอยากปกป้องภูเขาทมิฬ ยอดเขาลำดับเก้าและอดีตของข้า…..” ซูหมิงกล่าวกับตัวเองเบาๆ
‘ทุกอย่างในอดีตไม่อาจเปลี่ยนแปลง มันฝังอยู่ในความทรงจำและกาลเวลาของข้า มันอยู่ในใจข้าไม่มีวันลืมไปชั่วนิรันดร์…..นี่คือด้านตรงในชีวิตข้า!’
ซูหมิงพลันลืมตาขึ้น แววตามืดสลัวทว่ากลับลุ่มลึก ราวกับแฝงไว้ด้วยจักรวาล
‘ด้านตรงกับด้านกลับ ด้านตรงคือตัวแทนของเรื่องราวที่ผ่าน ด้านกลับคือตัวแทนของการแปรเปลี่ยน หากอดีตข้าคือด้านตรงในชีวิต เช่นนั้นด้านกลับในชีวิตข้า…..ก็คืออนาคต!’
ซูหมิงเงียบไปชั่วครู่ ก่อนมองฟ้าดินกว้างไกล แววตาเริ่มเหม่อลอย
ในความเหม่อลอยนั้น เขาเหมือนเห็นตัวเองถูกล่ามโซ่อยู่ในบึงน้ำสีดำใต้เหวลึก ในบึงน้ำนี้มีมังกรสีดำเก้าตัวพ่นหมอกดำมาทางตน ท้องฟ้าด้านบนมีเงาคนอยู่จำนวนมาก มองมาด้วยสายตาหวาดกลัวและเย็นชา พวกเขาไม่มีใครกล่าวอะไร เพียงมองตนอย่างเงียบๆ
ในความเหม่อลอย ภาพเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาเห็นตัวเองผมสีม่วงทั้งหัวยืนอยู่บนที่สูง แล้วมองแผ่นดินด้วยความเย็นชา บนแผ่นดินนั้นมีสิ่งมีชีวิตคุกเข่ากราบไหว้เขานับไม่ถ้วน
ภาพเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาเห็นตัวเองนอนอยู่บนแท่นบวงสรวง ถูกปักด้วยเข็มสีทองทั้งตัว และยังมีควันจำนวนมากลอยมาจากตัวเขา ถูกหลายพันคนที่นั่งฌานสมาธิอยู่รอบตัวดูดไป ตอนที่ดูดพวกเขามีสีหน้าดีใจ เทียบกับตนที่มีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดแล้วดูต่างกันอย่างชัดเจน
ภาพยังไม่สิ้นสุดลง เปลี่ยนไปอีกครั้ง ทำให้ซูหมิงยากจะรู้ว่าทุกอย่างนี้คือจินตนาการหรือว่ามีอยู่จริงๆ กันแน่
เขาเห็นตัวเองอีกครั้ง เป็นเส้นผมยาวสีแดง เสื้อยาวสีขาวทั้งตัว นัยน์ตาดูโดดเดี่ยว มีสีหน้าเศร้าโศก และยังมีโลหิตตรงสองมือ พลังชั่วร้ายอบอวลโดยรอบ ราวกับเข่นฆ่าวิญญาณมาหลายสิบล้านดวง
เขายืนอยู่บนโลกในยามค่ำคืนที่มีดาวระยิบระยับ โดยรอบ…..มีศพนับไม่ถ้วน…..มีเขาคนเดียวที่ยืนอยู่ เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ทำให้โลกตรงหน้าซูหมิงกระจายเป็นเศษๆ
เสียงคำรามนั้นแฝงไว้ด้วยเศร้าโศกจนไม่อาจบรรยายและความโกรธแค้นที่เพียงพอจะทำลายฟ้าดิน!
ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น โลกในดวงตาเขาพลันเกิดรอยร้าวแล้วกลายเป็นหมอกเทาลอยหายไป พรวดเดียวโลกก็กระจายเป็นเสี่ยงๆ และหายไปทั้งหมด
ราวกับว่าดวงตาไม่อาจทนรับทุกอย่างที่เห็นภายใต้สภาวะพิลึก ยามนี้ทันทีที่โลกแตกเป็นเสี่ยงๆ ซูหมิงเงยหน้าขึ้นแววตาว่างเปล่า โลกตรงหน้าเป็นสีดำ เป็นความมืดไร้พรมแดน
ในความมืดนั้น เดิมทีเขาไม่ควรจะมองเห็น ทว่าตอนนี้เขาเห็นแล้ว…..
เขาเห็นเด็กทารกผอมบางคนหนึ่ง ไม่มีพลังชีวิตเหลือ อบอวลไปด้วยกลิ่นอายความตาย เขาเห็นชายผมม่วงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น กำลังเงยหน้าคำรามไร้เสียงขึ้นฟ้าด้วยความเศร้าโศกและร่างกายอ่อนล้า
เขาเห็นว่าเมื่อชายคนนั้นคำรามไร้เสียง โลกทั้งใบและท้องฟ้าพังทลายลง…..
เขาเห็นชายผมม่วงเดินมาทางเด็กทารกคนนั้น ตอนที่เข้ามาใกล้ พวกเขาก็ค่อยๆ ผสานรวมกัน ชายที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกอุ้มเด็กทารก เหมือนจะปกป้องเขา ปกป้องอดีตของตัวเอง
เขาเห็นแล้ว…
“โลกที่ข้าเห็น คนอื่นมองไม่เห็น…..” ซูหมิงพึมพำเบาๆ
มีมือคู่หนึ่ง ในสายตาของนักเดินทางห่างบ้าน นั่นคือความคิดถึงที่จำฝังใจ
มีมือคู่หนึ่ง ในสายตาของคนรักที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามทุกข์ นั่นคือการคงอยู่ตลอดไปของตะวันและจันทรา
มีมือคู่หนึ่ง ในสายตาของผู้โดดเดี่ยว นั่นคือการเพิ่มขึ้นของเส้นลายมือ
มีมือคู่หนึ่ง ในสายตาเด็กน้อย นั่นคือความอาลัยอาวรณ์ที่ไม่มีวันลืม
มีมือคู่หนึ่ง หน้ามือหมายถึงอดีต หลังมือหมายถึงอนาคต หากเขาไม่ยอม ความทรงจำบนหน้ามือจะอยู่ตลอดไป หากเขาไม่ยอม เจ้าจะมองไม่เห็นเส้นลายมือของเขา มองไม่เห็นอดีตของเขา…เจ้าจะเห็นเพียงหลังมือของเขาไปชั่วนิรันดร์
มีมือคู่หนึ่ง ทางซ้ายหมายถึงเด็กทารก ทางขวาหมายถึงคนชรา ความห่างระหว่างสองมือนี้คือหนึ่งชีวิตของเขา
‘การผสานรวมของข้าคืออดีตกับอนาคต ใช้อดีตของข้ามาส่งเสริมความแข็งแกร่งของอนาคต ใช้ความแข็งแกร่งของอนาคตมาปกป้องอดีตของตัวเอง……ตอนข้าเกิด ข้าไม่ได้กุมชะตาชีวิตของตัวเอง หลังจากข้าเติบใหญ่ จะต้องเหยียบย่ำชะตาชีวิตอยู่ใต้เท้า…..อดีตกับอนาคต ผสานรวมกันเป็นปัจจุบัน’ ซูหมิงลืมตาขึ้น ความว่างเปล่าในแววตากลายเป็นสงบนิ่ง
“นี่คือการผสานรวมของข้า ข้าจะเรียกมันว่า…” ซูหมิงยิ้มมุมปากเย็นชา
“ซู่มิ่ง (โชคชะตา)!”