Skip to content

สู่วิถีอสุรา 496

Svtasr

ตอนที่ 496 บุกเผ่าวิญญาณหยิน

กระทั่งซูหมิงเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ศพพิษด้านหลังก็ยังคงอาลัยอาวรณ์ คำรามเบาๆ ใส่เขา เสียงมันไม่มีความดุร้ายแฝงอยู่ แต่เป็นการสื่อความหมายแฝงอีกอย่าง

ซูหมิงหันไปมองศพพิษแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าให้

ศพพิษตื่นเต้น มันหมุนตัวลงไปยังหนองน้ำ จนกระทั่งหายเข้าไปแล้ว ซูหมิงก็ยังคงยืนรออยู่กลางอากาศอย่างไม่ทุกข์ร้อน

ผ่านไปราวครึ่งก้านธูป หมอกเขียวที่โอบล้อมหนองน้ำพลันม้วนตลบ ราวกับมีแรงสูบจากในหนองน้ำ ผ่านไปพักหนึ่ง กลางหนองน้ำปรากฏเป็นน้ำวนและหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายศพพิษก็พุ่งขึ้นมา!

ซูหมิงหรี่ตาทันควัน เขาเห็นชัดว่าในมือศพพิษมีกริชลักษณะโค้งเล่มหนึ่ง กริชนี้มีสีเขียวแวววาว ดูไม่ออกว่าสร้างขึ้นจากสิ่งใด อีกทั้งยังมีกลิ่นอายโบราณโชยมา เห็นได้ชัดว่ากริชนี้อยู่มานานมาก!

นึกไปถึงยุคโบราณของโลกเก้าหยิน

กริชนี้จะต้องเป็นสมบัติโบราณอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าศพพิษได้มาอย่างไร ทว่ามานึกดูแล้ว น่าจะเป็นเพราะกริชนี้นี่เอง ศพพิษจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง!

เหมือนมันจะกังวลว่าซูหมิงจะแย่งกริชนี้ไป ช่วงที่มันถือกริชบินออกมาก็แทงเข้าไปในอกตนทันที เขาเห็นกริชละลายแล้วหายเข้าไปในร่างมัน

ศพพิษมีสีหน้าเจ็บปวด ดิ้นรนอยู่พักหนึ่งก็ฝืนกลั้นเอาไว้ บาดแผลบนร่างสมานกันอย่างรวดเร็ว อีกทั้งดวงตายังวาววับกว่าเดิม

ซูหมิงมองศพพิษ ในใจเกิดความสงสัย กริชนี้มีผลเช่นนี้ เหตุใดศพพิษถึงไม่หยิบมาใช้ก่อนหน้านี้…

แม้บอกว่าศพพิษมีสติปัญญา แต่ก็ได้แค่แสดงความชอบ โกรธ เศร้า และยินดีแบบง่ายๆ เท่านั้น สื่อสารกับซูหมิงไม่ได้ ปัญหานี้ซูหมิงจึงไม่ได้คำตอบ ทว่าเขาจำเอาไว้แล้ว จึงคอยลอบสังเกตและตื่นตัว

ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาสืบสาวเอาความ หลังจากมั่นใจว่าประทับตราบนตัวมันมั่นคงขึ้น และเห็นศพพิษไม่มีอะไรผิดปกติแล้ว ซูหมิงก็ละสายตากลับ มองไปทางเผ่าวิญญาณหยินพร้อมกับเคลื่อนตัวต่อไป

ศพพิษก็กลายเป็นแสงสีเขียวตามไปติดๆ

‘น่าเสียดายร่างหุ่นเชิดจีอวิ๋นไห่ จิตสัมผัสข้ายังหาไม่เจอ มิเช่นนั้นแล้วกำลังรบของข้าจะถึงจุดสูงสุด!’ ฝนยังคงตกอยู่ ส่งเสียงซ่าๆ และกระจายอยู่บนแผ่นดินโลกเก้าหยินในพื้นที่วงกว้าง

ยามโพล้เพล้ ซูหมิงกำลังห้อเหยียดอยู่บนท้องฟ้า ตรงหน้าเขาปรากฏเป็นป่าทึบ เห็นรางๆ ว่าในส่วนลึกของป่ามียอดเขาสูงตระหง่านอยู่หลายลูก อีกทั้งยังมีวิหารใหญ่โอบล้อมอยู่หลายชั้น กระทั่งนอกวิหารยังเห็นรูปปั้นนับไม่ถ้วนแน่นิ่งอยู่

ราวกับว่าทุกอย่างที่นี่กำลังหลับใหล เงียบสงัดไม่มีเสียงใด ทว่าหากใช้จิตสัมผัส ซูหมิงกลับรู้สึกถึงเสียงร้องเบาๆ ด้วยความเจ็บปวดของมังกรแดงฉาน!

ที่นั่นคือที่อยู่ของเผ่าวิญญาณหยิน และก็เป็นจุดที่มังกรแดงส่งระลอกคลื่นมาถึงจิตสัมผัสเขา!

ซูหมิงกวาดสายตามอง สุดท้ายก็มองยอดเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่ง บนยอดเขานั้นมีวิหารอยู่หนึ่งหลัง วิหารนี้เคยวูบผ่านในภาพจิตสัมผัสของซูหมิง

ซูหมิงจ้องวิหารใหญ่หลังนี้ ฝีเท้าไม่หยุดชะงัก ทั้งตัวขยับแสงสีทองวูบวาบพร้อมกับทะยานเข้าไป

แทบจะทันทีที่ซูหมิงเข้ามาใกล้ รูปปั้นนอกวิหารใหญ่ใต้ยอดเขาประดุจหลอมละลาย พากันฟื้นคืนชีพขึ้นมา กลิ่นอายพลังแกร่งกล้าแผ่ขยายตามมา

ทำให้สายฝนจากฟากฟ้าหยุดชะงักและลอยออกไปรอบๆ ไม่อาจตกลงสู่พื้น อีกทั้งเมฆบนท้องฟ้ายังขมุกขมัว ถูกกลิ่นอายพลังปกคลุมไว้ ในความขมุกขมัวนี้ยังมีความรู้สึกบิดเบี้ยวแฝงอยู่

“นี่คือแดนของเผ่าวิญญาณหยิน ผู้บุกรุกต้องตาย!” เสียงเย็นเยียบดังกังวานฟ้าดิน

เสียงนี้แฝงไว้ด้วยจิตสังหารเข้มข้น ประดุจแฝงไว้ด้วยกฎ เพียงพอให้คนฟังต้องตื่นตะลึง

ทั้งตัวซูหมิงเปล่งแสงทองสว่างจ้าละลานตา เสียงกึกๆ ดังสะท้อนอยู่ในตัว

หลังออกมาจากโลกอมตะ นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงใช้พลังทั้งหมด ต่อให้เป็นเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เส้นทองเขาก็ยังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ แต่ตอนนี้ทั้งตัวเขาเปล่งแสงทองและเกิดเสียงกึกๆ แม้แต่เส้นผมยังเหมือนกลายเป็นสีทอง

บนใบหน้าปรากฏลายหมาน จิตแรกลอยขึ้นอยู่ด้านหลัง กลายเป็นเงามายายักษ์ เงามายานี้มีลักษณะเหมือนกับเขา ทว่าสูงหลายจั้ง ยามนี้พอปรากฏตัวขึ้นแล้วก็ทำสัญลักษณ์มือเดียว แววตาเย็นชา เดินตามซูหมิงไป

นี่คือจิตของขั้นกล่อมเกลาจิต น่าเสียดายที่ร่างจีอวิ๋นไห่ไม่อยู่ มิเช่นนั้นขั้นพลังของเผ่าเซียนจะปลดปล่อยพลังที่แกร่งยิ่งกว่า ทว่าตอนนี้สร้างร่างขึ้นมาภายนอก ก็ยังพอใช้พลังที่ค่อนข้างแกร่งได้อยู่!

ศพพิษอยู่ด้านหลังสุด นัยน์ตาเหี้ยมโหด ขณะหายใจจะมีหมอกเขียวดำสองสีวนอยู่รอบตัว มันจึงดูเหมือนกับวิญญาณ

ซูหมิงห้อเหยียดไปข้างหน้า จากตรงนี้ไปจนถึงวิหารใหญ่บนยอดเขา ตรงกลางมีแปดวิหารใหญ่กั้นเอาไว้ นอกแปดวิหารนี้มีรูปปั้นหินจำนวนมาก ตอนนี้รูปปั้นหินในวิหารหลังแรกชั้นนอกสุดตื่นขึ้น!

ที่แห่งนี้มีผนึกที่มองไม่เห็นอยู่ ทำให้ไม่อาจใช้วิชาเคลื่อนย้าย บนท้องฟ้าถูกผนึกสะกดไว้จนไม่มีช่องว่าง หากฝืนเคลื่อนย้ายไป ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจังหวะที่เพิ่งเคลื่อนย้าย ร่างจะสลายเป็นกองเศษเนื้ออยู่ไม่ไกล

ซูหมิงมีสีหน้าเย็นชา แววตาเด็ดเดี่ยว เขาทะยานเข้ามาถึงวิหารแรกที่ขวางเส้นทางเอาไว้ เพิ่งมาถึง รูปปั้นหินจำนวนมากรอบวิหารหลังแรกก็ตื่นขึ้นแล้ว และต่างพากันมองซูหมิงด้วยความเย็นชา พวกมันเริ่มร้องคำรามแทบจะทันทีที่เขามาถึง

ซูหมิงแค่นเสียงหึเย็นชา ทันทีที่วิญญาณหยินเหล่านี้ตรงเข้ามา รอบตัวเขาปรากฏสายฟ้าโค้งจำนวนมาก ในเวลาเดียวกัน กลางสายฝนบนท้องฟ้าก็เกิดสายฟ้าขึ้นเป็นวงกว้าง เมื่อซูหมิงสะบัดมือลง สายฟ้านับไม่ถ้วนก็ฟาดผ่าลงมา

หากมองไกลๆ นอกวิหารแรกนี้เหมือนมีฝนสายฟ้าผ่าลงมา อัสนีบาตนับไม่ถ้วนกัมปนาท ส่องสว่างที่นี่ในชั่วพริบตายามเวลาโพล้เพล้!

สายฟ้าทั้งหมดเกิดขึ้นจากผลึกผู้สืบทอดหมานอัสนีของซูหมิง

สายฟ้าปกคลุมลงมา ชาวเผ่าวิญญาณหยินล้วนหยุดชะงัก วินาทีนี้เอง ซูหมิงก็มาอยู่ตรงหน้าวิหารหลังแรก ขณะกำลังจะเดินผ่านไปนั้น มีเสียงคำรามดังมาจากในวิหารใหญ่ จากนั้นร่างคนสูงสิบกว่าจั้งพุ่งตัวออกมาจากข้างใน

ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็มีแรงกดดันแกร่งกล้าบีบคั้นหัวใจซูหมิง เขาไม่หยุดชะงัก แต่กำหมัดขวาแล้วชกใส่ร่างเงายักษ์ที่กำลังตรงเข้ามา

ร่างเงายักษ์ก็กำหมัดเช่นกัน หมัดทั้งสองฝ่ายปะทะกันในชั่วพริบตา หนึ่งอยู่ในวิหารใหญ่ อีกหนึ่งอยู่นอกวิหาร ตรงกลางคือประตู

หนึ่งมีร่างกายสูงสิบกว่าจั้ง อีกหนึ่งเล็กจ้อยยิ่งนักเมื่อเทียบกัน!

หนึ่งมีสีหน้าโหดเหี้ยม อีกหนึ่งมีสีหน้าเย็นชา!

เวลาเหมือนหยุดชะงักในวินาทีนี้ แสงวูบวาบจากสายฟ้าส่องสะท้อนทุกอย่าง วินาทีที่หมัดปะทะเข้าใส่กัน ชาวเผ่าวิญญาณหยินสวมเกราะในวิหารใหญ่สั่นสะท้านทั้งตัว เกราะบนกายพลันแตกเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็นใบหน้าปานต้นไม้ ทั้งยังกระอักโลหิตกองใหญ่ ร่างโซเซถอยไปหลายก้าว

ส่วนซูหมิงไม่ถอยแม้แต่น้อย เขาขยับตัววูบผ่านวิหารแรก มุ่งหน้าไปยังวิหารที่สอง

“เจ้าเป็นใคร!” ชายร่างกำยำจากวิหารแรกด้านหลังกล่าวด้วยความตื่นตะลึง พละกำลังของเผ่าวิญญาณหยินเป็นความภาคภูมิใจของพวกตนมาตลอด ต่อให้ขั้นพลังใกล้เคียงกัน ความแกร่งของร่างกายก็มากพอที่จะสร้างความกดดันให้!

ทว่าเมื่อครู่นี้ ในใจชายร่างกำยำกลับตื่นตะลึงจนไม่อาจบรรยาย เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้อภินิหารใดๆ เพียงแต่ใช้พละกำลังเหมือนกับตน ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาแทบจะพ่ายแพ้อย่างหมดรูป!

“ข้าซูหมิง มาที่นี่เพื่อรับวิญญาณที่เผ่าวิญญาณหยินของเจ้าพามา!”

ทันทีที่ซูหมิงเข้าไปในวิหารหลังที่สอง รูปปั้นนอกวิหารนี้ก็พากันหลอมละลาย แต่ละตัวมีสีหน้าเหี้ยมโหด ก่อนตรงเข้ามายังซูหมิงโดยไม่กล่าวสิ่งใด

ครั้งนี้ซูหมิงไม่ลงมือ แต่ให้ศพพิษลงมือแทน มันร้องคำรามพร้อมกับพุ่งออกไป หมอกดำเขียวรอบตัวพลันแผ่กระจายออก พริบตาเดียวก็ปกคลุมโดยรอบ ซูหมิงรู้ว่าหากจะช่วยมังกรแดงฉาน ตนต้องรู้จักคำว่าเร็ว!

เขาต้องใช้ความเร็วสูงสุดบุกเข้าไปยังจุดที่ผนึกมังกร!

ซูหมิงเหยียบประตูวิหารหลังที่สอง ในเวลาเดียวกันก็มีชายร่างกำยำเดินออกมาจากในวิหารนี้ ชายร่างกำยำถือหอกยาว เดินมาแทงหอกใส่ซูหมิงที่อยู่ตรงหน้าประตู เกิดเสียงแหวกอากาศคมกริบ สั่นสะเทือนแก้วหู

ประหนึ่งว่าเขาเตรียมหอกนี้มาก่อนแล้ว ยามนี้จึงปลดปล่อยพลังที่สั่งสมไว้ออกมา!

หอกนี้เข้าใกล้ซูหมิงในพริบตาเดียว เขายกมือขวาขึ้น

บนมือปรากฏระฆังเขาหานในทันใด คล้ายกับกำปั้นมือเขากลายเป็นระฆังและปะทะเข้ากับหอกยาว ระฆังส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ชายร่างกำยำที่ถือหอกยาวตัวสั่น หอกในมือแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนถอยไปหลายก้าวพร้อมกระอักเลือด

ขณะเดียวกันซูหมิงก็ทะยานผ่านวิหารนี้ และมุ่งหน้าไปยังวิหารที่สามอย่างไม่ลังเล

ทว่าชั่วขณะที่เขาเหยียบเข้าสู่วิหารที่สาม รูปปั้นนอกวิหารทั้งหมดตื่นขึ้นไม่ว่า แม้แต่คนเฝ้าวิหารยังเดินออกมา มือถือทวนยาว

ตอนที่คนผู้นั้นยกขึ้น ชาวเผ่าวิญญาณหยินทั้งหมดก็ยกทวนขึ้นแล้วปามาพร้อมกัน ส่งเสียงเฉียบคมตรงดิ่งมาทางซูหมิง

ซูหมิงมีสีหน้าเช่นปกติ เขาเผชิญหน้ามวลหอกที่พุ่งมา กดมือซ้ายไปข้างหน้าเบาๆ

“มือซ้ายของข้าเป็นตัวแทนของเวลาในอดีต…อย่างเช่นร่างกายของเจ้า จงตามหาร่องรอยของกาลเวลา…ย้อนกลับ….” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ตอนที่กล่าว ทวนยาวไม่ตรงมาข้างหน้าอีก แต่ถอยหลังไป! ในเวลาเดียวกัน ชาวเผ่าวิญญาณหยินของวิหารที่สามยังไม่ทันเหยียบเท้าลงพื้น ก็ถอยไปทีละก้าวดุจย้อนกลับ!

การถอยหนึ่งก้าวนี้สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้พบเห็น เพียงพอจะทำให้คนมองตาค้างอ้าปากกว้างและเกิดความหวาดกลัว!

ซูหมิงกระโดดข้ามวิหารที่สามปานสายฟ้า แล้วมาอยู่นอกวิหารหลังที่สี่

ชาวเผ่าวิญญาณหยินของวิหารที่สี่ไม่ตื่นขึ้นอย่างน่าประหลาด มีเพียงชายร่างกำยำสูงสามสิบจั้งกว่ายืนอยู่ มองซูหมิงด้วยความสับสน

“เจ้าก็จะขวางข้าเหมือนกันรึ” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!