ตอนที่ 633 การเฝ้ารอคอยจากโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก
“ข้าไม่ได้บอกว่าเป็นเผ่ายมโลก ข้าโกรธแล้วนะ ไม่บอกท่านหรอก!” เด็กสาวมีสีหน้าลำพองใจ พอเหลือบตามองชายชราในวงควันแวบหนึ่งแล้วก็เผยอาการเสียดาย
“น่าเสียดายคนหนุ่มๆ แบบนี้ อายุยังน้อย มีทักษะความเข้าใจน่าทึ่ง ใช้ใจเป็นกระดานภาพ ใช้จิตวิญญาณเป็นพู่กัน ลอกแบบการเปลี่ยนแปลงฟ้าดิน!” เด็กสาวกล่าวพลางมองวงควันอีกครั้ง
ชายชราในวงล้อมควัน แม้รูปลักษณ์จะเลือนราง ทว่าก็มองออกว่าสีหน้าน่าจะเหมือนปกติ ราวกับไม่ได้สนใจทักษะความเข้าใจอันน่าทึ่งแบบนี้
“ใช้ใจและจิตวิญญาณลอกแบบ ก็ไม่เห็นจะเท่าไร” ชายชรากล่าวช้าๆ
“ใช้พลังเทียบเท่าขั้นทรงอำนาจต่อสู้กับผู้ฝึกฌานก้าวสอง มีการวางแผนต่างๆ ต่อให้สุดท้ายพ่ายแพ้ แต่ก็ทำให้ผู้ฝึกฌานก้าวสองตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ นอกจากนี้ตัวเขายังหนีออกมาสำเร็จด้วย” เด็กสาวกล่าวอีกครั้ง
“มีแผนการลึกล้ำ ต่อสู้ด้วยขั้นพลังต่ำกว่า แม้คนที่ทำได้จะมีไม่มากแต่ก็ไม่น้อย” ครั้งนี้ชายชราในวงควันเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวขึ้น
“เช่นนั้นหากอายุไม่มาก แต่ปรากฏนิมิตหมายแห่งยมโลกแล้ว…สามารถย้อนคืนเวลาได้ล่ะ!” เด็กสาวมีสีหน้าปกติ ยิ้มพลางกล่าว
พอกล่าวจบ ในวงควันพลันบิดเบี้ยว ชั่วครู่เดียวก็มีเสียงชายชราดังแว่วออกมา
“ย้อนคืนเวลา?”
“ใช่ นอกจากนี้ร่างกายยังมีกลิ่นอายพลังของเผ่ายมโลก จากที่ข้าตรวจสอบและวิเคราะห์ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นชาวเผ่ายมโลกซึ่งสาบสูญจากโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกไปหลายหมื่นปีก่อน!” เด็กสาวมองวงควันพร้อมกับเอ่ยด้วยความลำพองใจ
ครั้งนี้ในวงควันเงียบนานยิ่งกว่าเดิม จนกระทั่งชายชราดูเหมือนสงบ ทว่าน้ำเสียงที่เอ่ยมากลับตื่นเต้นเล็กน้อย
“เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าเขาเป็นชาวเผ่ายมโลก และยังมีนิมิตหมายแห่งยมโลก?”
เด็กสาวไม่กล่าวสิ่งใด เพียงยกมือขวาขึ้นก็มีแผ่นหยกม้วนหนึ่งลอยเข้าไปในวงควันแล้วเปล่งแสงพร่างพราว ในแสงนั้นฉายเป็นภาพภาพหนึ่ง นั่นคือภาพตอนซูหมิงสู้กับตี้เทียนและสู้กับเซินตง
“เขาอยู่ที่ใด?” ผ่านไปพักหนึ่ง มีเสียงหนักแน่นดังแว่วมาจากในวงควัน อีกทั้งวงควันยังบิดเบี้ยว พอเห็นได้ว่าชายชราที่นั่งอยู่ยืนขึ้นแล้ว
“ปัดโธ่ ท่านพูดให้มันดีๆ หน่อย ข้าอุตส่าห์ยอมสละความสุขในอนาคตตัวเอง ออกมาตามหาคนให้ท่านเพื่ออนาคตของโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกของเราเชียว
คิดว่ามันง่ายสำหรับข้ารึ? ไหนจะต้องถูกเข้าใจผิดอีก!
ช่างเถอะ อะแฮ่มๆ กระบี่ทะลวงปรโลกสิบเล่ม เม็ดยายมโลกร้อยเม็ด โอสถผสานวิญญาณสามร้อยเม็ด และยังมีโอกาสรดน้ำที่บ่อยมโลกหนึ่งครั้ง” เด็กสาวหักนิ้วมือนับ กล่าวด้วยท่าทีเหมือนถูกเอาเปรียบอย่างมาก
“เจ้าเด็กคนนี้…เอาเถิด ข้าจะให้เจ้า ทีนี้บอกข้ามาว่าเด็กคนนั้นอยู่ที่ใด!” ตอนที่เสียงชายชราดังมาอย่างจำใจยอม เด็กสาวมีท่าทางยิ้มแย้มดีใจ รีบโยนแผ่นหยกอีกอันเข้าไปในวงควัน
ระลอกคลื่นขยับวูบวาบ วงควันรวมถึงแผ่นหยกในนั้นพลันหายวับไป
บนผืนฟ้ากระจ่างดาว ท้องฟ้าจักรวาล ณ อาณาเขตของจักรพรรดิยมโลก หนึ่งในสี่มหาโลกแท้จริง ท่ามกลางอากาศกว้างไกลมีแผ่นดินใหญ่สีดำลอยอยู่ แผ่นดินนี้กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ด้านบนรกร้างไม่มีผู้คน ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ
ตรงใจกลางแผ่นดินใหญ่มีซากปรักหักพังกลุ่มหนึ่ง ในซากปรักหักพังที่ไร้ขอบเขตนั้นมีเรือนอยู่หนึ่งหลัง ยามนี้ถูกเปิดไว้อย่างเงียบเชียบ
ชายชราสวมอาภรณ์สีขาวก้าวเดินออกมา ทั้งตัวเขาขมุกขมัว มองเห็นรูปลักษณ์ไม่ชัด ทว่านัยน์ตาเฝ้ารอคอยฉายแววหนักแน่น
“เป็นชาวเผ่ายมโลกจริงๆ…ไม่นึกเลยว่าในจักรวาลนี้จะยังมีเผ่ายมโลกอยู่อีก…ที่ยุ่งยากคือเขาอยู่โลกแท้จริงดาราสัจธรรม….แต่ต่อให้เป็นแดนมรณะหยินแห่งโลกแท้จริงแห่งนั้น ข้าก็ต้องไปสักครั้ง ไปเห็นบุคคลนั้นกับตาว่าของจริงหรือไม่!”
เขาเอ่ยพลางเดินหน้าหนึ่งก้าว ร่างเงาผสานรวมกับความมืดแล้วหายไป
แทบเป็นขณะเดียวกับที่ชายชราหายไป อีกด้านหนึ่งของโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก ตรงนั้นเต็มไปด้วยแม่น้ำดวงดาวสีดำ วนเป็นวงกลมไม่รู้เท่าไร และจะขยับแสงพร่างพราว ต่อให้อยู่ไกลก็ยังเห็นได้รางๆ
ในแม่น้ำดาราไร้ที่สิ้นสุดมีร่างผู้ฝึกฌานจำนวนมากกำลังข้ามผ่าน….ตรงส่วนลึกของแม่น้ำดารามีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง ใจกลางทะเลสาบมีหนึ่งหมู่เกาะ ยามนี้ในหมู่เกาะมีสตรีนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง ใบหน้านางปิดด้วยผ้าบางสีดำ ดวงตาเป็นดาวระยิบระยับ ตรงหน้ามีน้ำวนกำลังโคจรอยู่ ในน้ำวนนั้นคือเด็กสาวหน้าตาน่ารักกับมังกรเหลือง
“พี่ฝูสุ่ย…..เม็ดยามะเดื่อวารีร้อยเม็ด น้ำจากแม่น้ำดาราห้าร้อยชุด ท่านต้องยกเลิกเรื่องงานแต่งของข้ากับคุณชายสี่แห่งจักรพรรดิยมโลกให้ด้วย แล้วข้าจะบอกว่าชาวเผ่ายมโลกคนนี้อยู่ที่ใด นี่ข้าบอกท่านเป็นคนแรกเลยนะ หากท่านปฏิเสธ ข้าจะไปบอกตาเฒ่าหมิง”
สตรีผู้ปิดผ้าบางขมวดคิ้ว ถลึงตามองเด็กสาวในน้ำวนแวบหนึ่ง ทว่าความรักเอ็นดูในแววตา ไม่ว่าจะเคร่งขรึมอย่างไรก็ปิดไม่มิด
จนกระทั่งน้ำวนหายไป นัยน์ตานางถึงฉายแววขบคิด
‘ไม่อยากเชื่อว่ายังมีเผ่ายมโลกอยู่…เผ่ายมโลก…เมื่อหลายหมื่นปีก่อนสายเลือดสุดท้ายก็ตายด้วยภัยพิบัติครั้งใหญ่ไปแล้ว….’ ครั้นพูดถึงภัยพิบัติครั้งนั้น สตรีผู้นี้มีสีหน้าตื่นกลัว
‘ย้อนกลับไปช่วงยุคเริ่มต้น ตำนานบอกว่าโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกสร้างขึ้นด้วยมือเผ่าพวกเขา หากบุคคลนี้เป็นชาวเผ่ายมโลกจริงๆ เช่นนั้นก็จะเป็นสมบัติล้ำค่าต่อโลกจักรพรรดิยมโลก!’ สตรียืนขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาวาววับ ก่อนเดินหน้าหายไปในอากาศ
กลับมาที่ซูหมิง ในช่วงฟ้าสาง ร่างเขาเหมือนวิญญาณในปรโลก ตรงไปยังซุ้มประตูภูเขาสำนักซ่อนมังกร ในมือถือแผ่นหยกม้วนหนึ่ง แผ่นหยกนี้ก็คือของที่เหลืออยู่ในถุงเก็บวัตถุของชายชราแซ่กู้แห่งสำนักซ่อนมังกร
ในนั้นทำเครื่องหมายบอกชัดเจนถึงถ้ำซ่อนสมบัติของสำนักซ่อนมังกรใต้หุบเขาพันวารี ของที่เอาไปไม่ทันจากภัยพิบัติกะทันหันครั้งนี้กองรวมอยู่ที่นั่น
ซูหมิงห้อเหยียดไปอย่างเงียบเชียบ ทว่าข้างหูยังได้ยินเสียงร้องครวญครางเบาๆ ดังมาจากในสำนักซ่อนมังกร นั่นคือคนสำนักวิญญาณอสูรกำลังเข่นฆ่าและค้นสิ่งของอยู่ และเพราะโดยรอบถูกผนึกเอาไว้เป็นกรงขัง นอกจากชายชราแซ่กู้ที่อาจใช้ขั้นพลังหนีออกไปในสภาพบาดเจ็บสาหัสแล้ว คนอื่นๆ ต่อให้หนีออกจากหุบเขาพันวารีก็ไม่อาจออกจากผนึก
ฉะนั้นโดยรอบจึงเต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวน มีเสียงก่อนตายของศิษย์สำนักซ่อนมังกรที่ถูกพบตัวแล้วถูกเข่นฆ่าอย่างเหี้ยมโหด
ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง เขาไม่ได้เห็นใจคิดจะห้ามการสังหารครั้งนี้ นี่ไม่เกี่ยวกับเขา นี่คือการเข่นฆ่ากันระหว่างสำนักเซียน ซูหมิงบินไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งมาอยู่ใต้หุบเขาพันวารี แล้วมาหยุดอยู่ในเหวลึกใต้สะพานแขวนสำนักซ่อนมังกร หลังจากพิจารณาแผ่นหยกในมืออย่างละเอียดแล้ว เขาจึงแผ่ขยายจิตสัมผัส ก่อนขยับวูบไหวลงไปในเหวลึกต่อ ไม่นานก็หยุดลงอีกครั้ง มองผนังภูเขาตรงหน้าเขา ที่นี่ดูปกติทุกอย่าง เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ หินภูเขาดูโบราณ เห็นได้ว่าอยู่มานานนม โดยรอบไม่มีคลื่นพลังวิญญาณใดๆ และยังไม่มีร่องรอยเคยขุด
ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ เขายกมือขวาขึ้น ขณะกำลังจะทำสัญลักษณ์มือกลับพลันขมวดคิ้ว ครั้นเงยหน้ามองด้านบนแล้วก็ไม่สนใจอีก แต่ทำสัญลักษณ์มือผลักใส่หินภูเขาพิลึกอย่างต่อเนื่อง
ครู่ต่อมาก็มีเสียงมวลอากาศระเบิดแว่วมาจากด้านบน หลังจากซูหมิงทำสัญลักษณ์มือผลักใส่ไม่หยุด หินภูเขาที่ดูปกติสั่นสะเทือนโดยทันที หินถูกเปิดออกดุจม่านหนึ่งชั้น ตะไคร่น้ำหายไป เผยออกมาเป็นถ้ำปิดแห่งหนึ่ง
บนประตูถ้ำมีหลุมเว้าลงไปหนึ่งจุด มันเหมาะเจาะพอดีกับขนาดของแผ่นหยกหนึ่งชิ้น ซูหมิงจึงเหวี่ยงแผ่นหยกในมือเข้าประทับในหลุมเว้านั้นอย่างไม่ลังเล ฉับพลันนั้น ประตูภูเขาส่งเสียงดังก้องแล้วเปิดอย่างช้าๆ วินาทีที่ประตูเปิด เสียงระเบิดมวลอากาศจากด้านบนดังกระชั้นขึ้น และยังมีคำพูดน้ำเสียงทะมึนทึบแว่วลงมา
“เจ้าหนู ที่ซ่อนสมบัติที่เจ้าว่าอยู่ที่ใด? หากข้าไปแล้วเจ้ายังกล้าหยอกล้อพวกข้า ธงล้ำค่าสวรรค์ของข้าขาดวิญญาณหลักตนหนึ่งพอดี ข้าจะให้เจ้าต้องทรมานจนตาย!”
เสียงนี้ซูหมิงคุ้นหูเล็กน้อย พอขบคิดชั่วครู่แล้วก็นึกออกว่าเป็นศิษย์สำนักฝ่ายในร่างซูบผอมที่จะเซ่นไหว้โลหิตตนตอนอยู่บนของวิเศษเหาะเหิน
ซูหมิงไม่สนใจ เขาเดินเข้าไปในถ้ำ ทันใดนั้นหมอกด้านบนพลันหมุนตลบ แล้วมีสายรุ้งลากยาวเข้ามาสามเส้น
คนนำหน้าสุดเป็นศิษย์สำนักฝ่ายในร่างซูบผอม สองคนด้านหลังตามมาติดๆ ยามนี้ตาแดงก่ำ ดูละโมบและเฝ้าปรารถนา หนึ่งในนั้นหนีบชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังตัวสั่นไว้ใต้วงแขน ดูจากชุดของชายหนุ่มคนนี้แล้วก็คือศิษย์สำนักซ่อนมังกร ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวจากหมอก ศิษย์สำนักฝ่ายในร่างซูบผอมหน้าสุดเห็นถ้ำถูกเปิดบนผนังในแวบแรก และยังเห็นซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้นด้วย
เขาอึ้งงันไปชั่วครู่แล้วหัวเราะเสียงดัง
“เป็นศิษย์สำนักฝ่ายนอกทว่ากลับกล้ามาแย่งของข้า ถือว่าเจ้าโชคดี วันนี้โลหิตเซ่นไหว้ของข้าถึงขีดจำกัดแล้ว รีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า!” ศิษย์สำนักฝ่ายในร่างซูบผอมยิ้มเยาะพร้อมกับตรงเข้ามาหาซูหมิง ในสายตาเขาซูหมิงไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง หากไม่หลีกทางให้ก็จะสังหารทันที
สิ่งที่เขาสนใจคือที่ซ่อนสมบัติที่ศิษย์สำนักซ่อนมังกรบอกในถ้ำ
สองคนด้านหลังมองซูหมิงด้วยความเย็นชา ยามนี้ห้อเหยียดเข้ามาใกล้เช่นเดียวกัน มีเพียงชายหนุ่มสำนักซ่อนมังกรที่ถูกหนีบอยู่ใต้วงแขนมองประตูใหญ่ที่เปิดอ้าอย่างเหม่อลอย เขามองแผ่นหยกที่วางประทับบนประตูใหญ่ตาไม่กะพริบ สองดวงตาหรี่ลงมองซูหมิง
“ไม่หลีกรึ? ในเมื่อรนหาที่ตาย กับอีแค่ศิษย์สำนักฝ่ายนอกเหมือนมดปลวก ข้าจะช่วยเจ้าเต็มที่!” ชายร่างซูบผอมเข้ามาใกล้ เห็นซูหมิงยังคงยืนอยู่จึงหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนยกมือขวาหมายจะสังหารอีกฝ่าย
ทว่าเพิ่งยกมือขึ้นก็พลันมองเห็นดวงตาซูหมิง
มันเป็นดวงตาเรียบนิ่ง ราบเรียบจนน่ากลัว สงบจนแม้ฟ้าดินถล่มทลายตรงหน้าก็ยังไม่แปรเปลี่ยน ทำให้ศิษย์สำนักฝ่ายในซูบผอมผู้นี้ใจสั่นสะท้าน