ตอนที่ 640 หินแสงสว่างหยางก้อนเล็ก
หนึ่งก้าวเดินไป ร่างซูหมิงมีควันดำลอยโชยจำนวนมาก ในควันดำเหล่านั้นแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายมรณะที่เข้มข้นอย่างยิ่ง มันเพียงพอจะสร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคนที่พบเห็น หากสัมผัสเข้า ผลจะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจรู้
ซูหมิงกลั้นความเจ็บปวดจนยากจะบรรยายเอาไว้ หลังจากก้าวเดินแล้วหายวับไป ถ้ำแห่งนี้ก็ถล่มทลายลงเป็นเศษซาก อีกทั้งยังถูกกลิ่นอายมรณะเข้มข้นโอบล้อม
แทบจะเป็นขณะเดียวกับที่ซูหมิงหายตัวไป สายรุ้งยาวหลายเส้นบนฟ้าเข้ามาใกล้ คนนำหน้าคือเซินตง ส่วนด้านหลังเป็นผู้มาแห่งเยือนจากสำนักวิญญาณอสูรในหุบเขาพันวารีตอนนี้
“กลิ่นอายมรณะเข้มข้นมาก!”
“คนผู้นี้เป็นใคร เมื่อครู่เห็นหน้าไม่ชัด แต่กลิ่นอายมรณะนี้มันเข้มข้นจนน่าทึ่งจริงๆ หรือว่าจะเป็นปีศาจคล้ายๆ พวกศพสวรรค์!”
“ที่นี่มีร่องรอยของจิตแรกมาเยือนด้วย!”
เซินตงมองไปรอบๆ แล้วมองไปยังจุดที่ซูหมิงจากไปไกลเหมือนมีความคิดอะไรบางอย่าง กลุ่มคนด้านหลังต่างสนใจแต่ความแปลกพิลึก ขณะสนทนาก็พากันถอย ไม่อยากเข้าไปแปดเปื้อนกลิ่นอายมรณะมากเกิน
“ท่านบรรพบุรุษ พวกเราจะตามไปดีหรือไม่?” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินขึ้นมาจากด้านหลังเซินตง บุคคลนี้มีสีหน้าหวาดกลัวอยู่น้อยๆ หลังจากมองกลิ่นอายมรณะรอบๆ แล้วก็ประสานมือคารวะเซินตง
“ไม่ต้อง พวกเราได้หินแสงสว่างหยางมาจากกู้หยวนไห่แล้ว ตอนนี้สำเร็จภารกิจ ไม่ต้องสร้างปัญหาเพิ่มอีก…” เซินตงตรึกตรองอยู่ชั่วครู่จึงกล่าวเนิบช้า
“เช่นนี้ถูกต้องแล้ว ถึงอย่างไรพวกเราต้องรอคำสั่งต่อไปจากท่านจี๋อั้นและต้องต่อสู้กับสำนักอื่นอีก ข้าว่ากลิ่นอายมรณะเข้มข้นขนาดนี้ คนที่จากไปเมื่อครู่ต้องมีขั้นพลังน่าตะลึงอย่างแน่นอน เราไม่จำเป็นต้องล่วงเกินเขา” ชายชราเสื้อคลุมแดงหนึ่งในกลุ่มคนกล่าวอยู่ข้างๆ ด้วยเสียงหนักแน่น
เป่าชิวก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ยามนี้ใจเต้นตึกๆ เมื่อครู่ถึงพวกเขาจะเห็นหน้าตาซูหมิงไม่ชัด แต่จากความรู้สึก นางจำได้รางๆ ว่าคนที่แผ่กลิ่นอายมรณะเข้มข้นนั้นก็คือซูหมิง!
กลุ่มคนซึ่งมีเซินตงเป็นผู้นำหยุดอยู่ที่นี่อีกพักหนึ่ง เมื่อสำรวจไปรอบๆ แล้วเซินตงก็เป็นสายรุ้งยาวบินจากไป คนด้านหลังก็พากันตามหลังไกลออกไปทีละน้อย
‘ใกล้ๆ แถบนี้ คนที่บีบให้จิตแรกถอยไปได้อาจมีแค่คนเดียว…’ ตอนที่เซินตงจากไป เขาหันกลับไปมองจุดที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายมรณะแวบหนึ่ง ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นภาพร่างเงาที่ยากจะลืมเลือน จากนั้นก็กวาดสายตามองเป่าชิวเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
คนเหล่านี้เงียบไปอีกสักพักหนึ่ง ซูหมิงเคลื่อนย้ายออกมา พอปรากฏตัวแล้วก็เคลื่อนย้ายอีกครั้ง จนกระทั่งมาอยู่ในถ้ำยันต์อักขระแปดอันในหุบเขาพันวารี ร่างเงาเพิ่งปรากฏร่างก็โซเซ กลิ่นอายมรณะอบอวลอยู่รอบตัว โดยเฉพาะมือขวาแทบจะหลอมละลาย
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ซูหมิงกัดฟันพร้อมกับนั่งขัดสมาธิลงแล้วจ้องหินในมือ กลิ่นอายหยางปล่อยมาจากหินนี้ปานดวงตะวันร้อนแผดเผา สามารถหลอมละลายน้ำแข็งทั้งหมด ราวกับว่าในมือกำเปลวเพลิงไม่มอดดับและมอบความรู้สึกถึงอันตรายอย่างยิ่ง
ซูหมิงจ้องหินแสงสว่างหยางในมือ ลมหายใจกระชั้นถี่ นัยน์ตาเริ่มมีเส้นเลือดฝอย
‘หินเล็กจ้อยก้อนเดียวกลับทำให้ข้าตกอยู่ในสภาพนี้……หากภายภาคหน้าต้องไปยังแดนแสงสว่างหยางจริงๆ เกรงว่าไม่กี่ลมหายใจข้าคงกลายเป็นควันหายไป……’ ซูหมิงไม่คลายมือขวา แต่กลับกำแน่นขึ้นอีก
‘ข้าไม่เชื่อหรอกว่าด้วยขั้นพลังของข้าจะกำราบหินแสงสว่างเล็กจ้อยก้อนนี้ไม่ไหว!’ ใบหน้าซูหมิงมีเส้นเลือดดำปูดโปนก่อนระเบิดพลังจากในร่างกาย พลังกระดูกหมานทั่วร่างหมุนโคจรทำให้กลิ่นอายมรณะรอบตัวเยอะขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปพักหนึ่ง สองมือไม่มีห้านิ้วมือแล้ว ล้วนกลายเป็นควันดำเข้มข้น
ภายในควันดำ ซูหมิงโคจรพลังเร็วขึ้นเรื่อยๆ หมุนโคจรพลังทั้งหมดที่มีในตอนนี้เพื่อกำราบหินแสงสว่างหยางในมือ!
‘หินก้อนนี้เหมือนกับเปลวเพลิง บางทีอาจไม่มีผลกับคนอื่น ทว่าสำหรับข้ามันเหมือนปฏิปักษ์!’ ซูหมิงยกมือซ้ายขึ้นทำสัญลักษณ์มือแล้วกดหินแสงสว่างหยางในมือขวา ฉับพลันนั้นมือซ้ายหายไปจนหมด ร่างกายยังสั่นไหว คล้ายกับไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่อาจทำอะไรหินก้อนนี้ได้
‘ข้าไม่เชื่อ!’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววมืดทะมึน
‘ต่อให้หินก้อนนี้คือเปลวเพลิง ต่อให้ข้าต้องเป็นแมงเม่าต่อหน้ามันก็ต้องใช้ร่างกายกระโจนเข้าหาเปลวเพลิง! หากมันคือดวงตะวันและข้าคือหิมะ ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งหลอมละลาย……เช่นนั้น ข้าก็จะใช้น้ำจากน้ำแข็งละลายมอดดับมัน!’ ร่างซูหมิงแก่ชราลงอย่างรวดเร็ว ยามนี้ดูเหมือนชายชรา คนคุ้นเคยยังยากจะมองออกในแวบแรก
ขณะระเบิดพลังในร่างกาย มันเหมือนกับน้ำแข็งจำนวนมากอยู่ใต้ดวงตะวันและกำลังหลอมละลายหายไปอย่างเร็ว ทว่าเขายังไม่ถอดใจ นี่คือนิสัยแน่วแน่และไม่ยอมของซูหมิง
เขาไม่เชื่อว่าตนจะแพ้ให้กับหินเล็กจ้อยก้อนนี้ หากแม้แต่หินก้อนนี้ยังกำราบไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าตนจะมีความกล้าพอจะออกจากแดนมรณะหยินแห่งนี้ไปยังที่ที่ไกลกว่าหรือไม่!
เวลาค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็เจ็ดวัน ในเจ็ดวันนี้ร่างซูหมิงหายไปมากกว่าครึ่ง กระทั่งจิตสำนึกเหมือนจะทนไม่ไหวภายใต้ความเจ็บปวด ความเจ็บปวดที่ว่า ความรู้สึกร่างกายหายไปและความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ในชีวิตนี้ มันมากพอจะทำให้คนที่ทนรับต้องคลุ้มคลั่ง
ซูหมิงกัดฟัน กำหินแสงสว่างหยางไม่ยอมปล่อยมือ เขาจะเก็บมันก็ได้เพื่อหลีกเลี่ยงแสงคมกริบชั่วคราว พอขั้นพลังสูงขึ้นอีกหน่อยแล้วค่อยลองอีกที
ทว่าเขาไม่ทำ!
เขาไม่อยากทำแบบนั้น หากในใจคิดจะเลื่อนออกไปก่อน หากจิตใจแน่วแน่มีความคิดจะหลบหลีก เช่นนั้นเขาจะสูญเสียความกล้าในการออกจากแดนมรณะหยินไป เขาไม่เชื่อว่าหินก้อนนี้จะทำให้เขาถึงตาย!
และความเชื่อนี้เอง ทำให้แม้ต้องทนเจ็บปวดมากกว่านี้อีก ในใจก็จะไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย เวลาเจ็ดวันมานี้ เขาโคจรพลังเรียกได้ว่าแทบจะบ้าคลั่ง ปลดปล่อยพลังออกมากำราบหินก้อนนี้!
‘หากเจ้าเป็นเปลวเพลิง ข้าก็จะเป็นน้ำแข็งมอดดับเปลวเพลิง!’
‘หากเจ้าเป็นดวงตะวัน ข้าก็จะเป็นค่ำคืนมืดมิดขับไล่ดวงตะวัน!’
‘หากเจ้ากับข้าเป็นปฏิปักษ์กันทางธรรมชาติ…..ในเมื่อเจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าก็เอาชนะเจ้าได้เหมือนกัน!’ ซูหมิงร้องตะโกนในใจ เมื่อวันที่แปดมาถึง หลังจากระเบิดพลังในร่างกายทั้งหมดเพื่อกำราบหินติดต่อกันแปดวัน ขั้นพลังก็เกิดการเสื่อมถอย และเป็นครั้งแรกที่หินแสงสว่างหยางในมือเกิดเสียงดังกึกๆ แล้วปรากฏรอยร้าว!
ครั้นเกิดรอยร้าว กลิ่นอายมรณะจำนวนมากหลั่งทะลักเข้าไปในรอยร้าวนั้น พุ่งทะลวงไปตรงกลางหินแสงสว่างหยางประหนึ่งการต่อสู้กันของน้ำกับไฟ เวลานี้เองซูหมิงตีโต้ตอบ มีผลให้กลิ่นอายหยางในหินแสงสว่างหยางอ่อนแรงลงอย่างพบเห็นได้ยาก!
หากตอนนี้มีเซียนมาเห็นเข้าจะต้องตื่นตระหนกอย่างแน่นอน เพราะหินแสงสว่างหยางทำให้วิญญาณของเซียนคงอยู่ในสภาวะหยางได้ หลังจากลงมาเยือนยังแดนมรณะหยินแล้ว จะไม่รับผลกระทบอะไรมากนัก ในแดนแสงสว่างหยางก็มีหินแสงสว่างหยางนี้ไม่มากเหมือนกัน
มันแทบจะไม่มีทางถูกปรับเปลี่ยน ไม่มีทางถูกกลิ่นอายมรณะโอบล้อม เพราะที่ที่มันอยู่ กลิ่นอายมรณะทั้งหมดจะหายไปในพริบตาเดียว!
ทว่าตอนนี้…หินแสงสว่างหยางอยู่ในมือซูหมิงกลับเกิดเค้ารางถูกเปลี่ยน ปรากฏเค้ารางถูกกำราบ แม้เป็นเพียงร่องรอยและเค้าราง ยังห่างจากความจริงอีกไกลมาก ทว่ามันก็เพียงพอจะสร้างความตื่นตะลึงและเหลือเชื่อให้กับผู้พบเห็นทุกคน
เมื่อวันที่สิบมาถึง ขั้นพลังซูหมิงเสื่อมถอยเรื่อยๆ ทว่าในดวงตาที่มีเส้นเลือดฝอยกลับแน่วแน่ยิ่งกว่าเดิม กลิ่นอายหยางจากหินแสงสว่างหยางในมือไม่อาจเทียบกับเมื่อสิบวันก่อนได้แล้ว ถึงยังรุนแรงมากอยู่ แต่ซูหมิงรู้สึกได้
สำหรับเขาแล้ว สิบวันนี้เป็นการผลัดเปลี่ยนซึ่งไม่อาจบรรยาย เขายังคงยืดหยัดต่อไปภายใต้ความเจ็บปวดสุดขีดและคลุ้มคลั่ง พอยืนหยัดนานเข้า หินแสงสว่างหยางก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ!
‘สักวันหนึ่งข้าจะเปลี่ยนหินสว่างหยางอย่างสมบูรณ์ ให้พลังชีวิตของมันกลายเป็นพลังมรณะ ให้มันกลายเป็น…..หินมรณะหยิน!’ ซูหมิงอ่อนแอลงมากจากพลานุภาพของหินแสงสว่างหยาง ตอนที่รู้สึกเหมือนถูกมันกำราบ เขายกมือซ้ายขึ้นกรีดเป็นเส้นรอยแผลตรงหน้าอกหนึ่งเส้น ชั่ววินาทีที่กรีดรอยแผลก็ใช้มือขวาที่ถือหินแสงสว่างหยางอยู่กดมันเข้าไปในรอยแผลตรงหน้าอก
ทันทีที่หินแสงสว่างหยางสัมผัสกับแผลตรงหน้าอก ดวงตาซูหมิงขุ่นมัวในทันที ทว่าพริบตาเดียวก็กลับมาปกติ เขากัดฟันยัดหินแสงสว่างหยางเข้าไปในบาดแผล ให้มันผสานรวมอยู่ในร่างกาย
นี่คือการตีโต้ตอบหินแสงสว่างหยางของเขา!
เขาต้องจำความรู้สึกถูกเผานี้เอาไว้ จำความรู้สึกร่างกายแห้งเหี่ยวภายใต้แสงสว่างหยางเอาไว้ จดจำสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งต้องค่อยๆ ให้ตนคุ้นชินกันมัน สำหรับเป็นการเตรียมตัว วางแผนและคุ้นเคยเผื่อภายภาคหน้าต้องออกจากที่นี่!
หลังจากหินแสงสว่างหยางผสานรวมอยู่ในร่างกาย ซูหมิงใช้สองมือประสานมุทรา ฉับพลันนั้นร่างกายเหมือนกลายเป็นน้ำวนยักษ์ ม้วนกลิ่นอายมรณะทั้งหมดในถ้ำให้เข้ามาก่อนพรั่งพรูเข้าไปในรอยแผลตรงหน้าอก ขั้นตอนนี้กินเวลาไปสองชั่วยาม จนกระทั่งกลิ่นอายมรณะในถ้ำถูกสูบไปหมดแล้ว บาดแผลตรงหน้าอกผสานรวมกัน ทำให้มองไม่เห็นอีก
ทว่าในร่างกายเขากลับมีหินแสงสว่างหยางก้อนหนึ่ง เขาจึงต้องรับความเจ็บปวดตลอดเวลา ทว่าความเจ็บปวดนี้ซูหมิงจะต้องชินกับมัน!
‘ตอนที่ข้าไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด แดนแสงสว่างหยางจะไม่มีผลทำลายข้า มันจะต้องอ่อนลงอย่างแน่นอน นี่ก็คือเส้นทางจากฤดูหนาวก้าวสู่ฤดูใบไม้ผลิที่ข้าเข้าใจ!
จากตายสู่เป็น!’
ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก หลับตาแล้ว
ในความเจ็บปวดนี้ เขาค่อยๆ โคจรพลังในร่างกาย ให้ขั้นพลังฟื้นฟูกลับมาช้าๆ รักษาระดับการกำราบหินเอาไว้ นอกจากนี้เขายังแผ่ขยายจิตสัมผัสไปยังส่วนลึกของผืนดิน จนกระทั่งสามวันผ่านไป เขาก็หาเส้นชีพจรวิญญาณของหุบเขาพันวารีพบในส่วนลึกของพื้นดิน!