Skip to content

สู่วิถีอสุรา 72

ตอนที่ 72 เขาแดนหมาน

หลังจากเหลยเฉินออกไปแล้ว ก็เหลือเพียงท่านปู่และซูหมิงสองคน เมื่อเห็นท่านปู่เข้ามา ซูหมิงจึงรีบยืนขึ้น ในใจวิตกยิ่งนัก เขาไม่ทราบว่าการกระทำในงานประลองด่านแรกของเขาเป็นสิ่งถูกต้องหรือไม่

ท่านปู่เผยรอยยิ้ม นั่งลงเบื้องหน้าซูหมิง มองเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางคนนี้ มองความอ่อนเยาว์บนใบหน้าใสสะอาด นัยน์ตาฉายแววคะนึงคิด

“เจ้าโตแล้ว…มา มานั่งข้างปู่” ผ่านไปพักใหญ่ ท่านปู่จึงกล่าวเสียงเบา

“ท่านปู่” ซูหมิงนั่งลง มองรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าท่านปู่ที่มีเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย ร่องรอยที่กาลเวลาฝากเอาไว้ สะท้อนให้เห็นว่าผ่านโลกมาอย่างโชกโชน

“ในด่านแรกเจ้าทำได้ดีมาก” ท่านปู่หัวเราะพลางลูบศีรษะซูหมิง ก่อนหยิบขวดเล็กจากในอกเสื้อยื่นให้เขา

“ในนี้มีโลหิตหมานขั้นชำระล้างสามหยด เจ้ารับเอาไว้ มันจะช่วยเจ้าได้มากในยามที่เหมาะสม สิ่งที่ปู่ทำให้เจ้าได้ก็มีเพียงแค่นี้….” ท่านปู่มองซูหมิง แววตาแฝงความหมายลึกซึ้ง

“วิธีการดูดซับโลหิตหมานของขั้นชำระล้างง่ายมาก ใช้เคล็ดวิชาธุลีโลหิตดำเปลี่ยนมันให้กลายเป็นหมอกโลหิต จากนั้นกลืนเข้าไปแล้วค่อยๆ ดูดซับเพื่อบำรุงเส้นเลือดในกาย ทว่าทุกครั้งจะดูดซับได้มากสุดเพียงหนึ่งหยดเท่านั้น ห้ามโลภเป็นอันขาด ต้องค่อยๆ ทำไปตามขั้นตอน มิเช่นนั้นแล้วจะส่งผลเสียต่อร่างกาย”

ท่านปู่มองซูหมิง กำชับอย่างจริงจัง

ซูหมิงมองท่านปู่ เขาไม่ทราบว่าทำไมในใจถึงเกิดความรู้สึกไม่ดี เหมือนกับว่าในสีหน้าและคำพูดของท่านปู่ รวมถึงความหมายแฝงที่เขาไม่เข้าใจ มันเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ

“ท่านปู่…..ท่าน…” ซูหมิงรับขวดเล็กจากท่านปู่ ขณะกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง กลับเห็นท่านปู่ยิ้มส่ายศีรษะ มองซูหมิงด้วยใบหน้าเมตตา

“ไม่ต้องกังวล วิกฤตในชนเผ่าใช่ว่าจะแก้ไขไม่ได้ ปู่กับจ้าวหมานเผ่าร่องลมทำข้อสัญญากันแล้ว ดูท่าไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น สิ่งที่เจ้าต้องทำคือตั้งใจฝึกฝน หากมีวันนั้นจริงๆ วันที่เจ้าบรรลุถึงขั้นชำระล้าง…..ออกจากที่นี่ได้แล้ว ไปสู่โลกกว้าง…เจ้าจงจำเอาไว้ ต้องไปที่เขาแดนหมาน” ท่านปู่กล่าวขึ้นเรียบๆ

“เขาแดนหมาน…มันอยู่ที่ไหนหรือ?” ซูหมิงงุนงง พอลองขบคิด เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเบื้องหลังชีวิตของเขา ทว่ายิ่งท่านปู่กล่าวเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ดี ความวิตกกังวลเข้ามาแทนที่ความตื่นตะลึงและสับสนที่เดิมทีควรจะเป็น

“อยู่ในใจเจ้า…” ท่านปู่มองซูหมิง กล่าวเรียบๆ

ซูหมิงมึนงงไปครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจความหมาย

“เอาละ เจ้าจำเอาไว้ก็พอ ไม่ต้องพูดแล้ว ปู่กับจ้าวหมานเผ่าร่องลมคุยกันเรียบร้อย จากนี้ไปเจ้าต้องเป็นโม่ซูในเผ่าร่องลม เผ่าร่องลมจะให้สิทธิพิเศษเหมือนกับเยี่ยวั่ง สิ่งนี้มันมีประโยชน์กับเจ้ามาก ดีกว่าสิ่งที่ปู่จะให้เจ้าได้ ทำให้โอกาสในการทะลวงสู่ขั้นชำระล้างมีมากขึ้น” ท่านปู่มองซูหมิงด้วยสีหน้าจริงจัง เห็นซูหมิงลังเลเหมือนจะกล่าวบางอย่าง จึงทำหน้าจริงจังมากขึ้น

“แต่ว่า…ท่านปู่ ข้าไม่อยากอยู่เผ่าร่องลม ข้า…” ท่านปู่บอกกะทันหันมากเกินไป ซูหมิงไม่ได้เตรียมใจแม้แต่น้อย ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเช่นนี้ หากเขาทราบว่าผลในงานประลองด่านแรกจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้น เขาคงไม่คิดอยากได้อันดับสูง ทว่ายังไม่ทันได้กล่าวจบ กลับเห็นแววตาดุดันจากท่านปู่

“ซูหมิง! เรื่องนี้ปู่ตัดสินใจแล้ว จากนี้ไปเจ้าต้องอยู่ที่นี่!” ท่านปู่กล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม

ซูหมิงเงียบ ทว่าในแววตากลับดูดื้อรั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

เห็นความดื้อรั้นในแววตาของซูหมิง ท่านปู่จึงถอนหายใจเบา สีหน้าดูผ่อนคลายลง มองซูหมิงแล้วกล่าว

“ซูหมิง เผ่าเขาทมิฬอยู่ไม่ไกลจากเผ่าร่องลม เจ้าจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้”

ซูหมิงกัดริมฝีปาก ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอย่างไรดี

“อีกอย่าง ปู่ได้ตัดสินใจแล้ว เผ่าเขาทมิฬจะเข้าร่วมกับเผ่าร่องลม ย้ายออกจากเขาทมิฬ แต่มาสร้างเผ่าใหม่นอกเมืองหินโคลนแทน ในความจริงแล้วเจ้าอยู่ใกล้มากนะ” ท่านปู่กล่าวต่อ

“แต่ว่าท่านปู่ ข้าไม่อยากเป็นคนของเผ่าร่องลม ข้าเป็นคนของเผ่าเขาทมิฬ!”

ซูหมิงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเบา

ท่านปู่มองซูหมิงเงียบๆ อยู่นาน ก่อนกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “ซูหมิง ปู่ให้เจ้าอยู่ในเผ่าร่องลม นอกจากจะดีกับเจ้าแล้ว มันยังมีความหมายแฝงอยู่ เมื่อฐานะของเจ้าสูงขึ้น ขั้นพลังของเจ้าสูงส่งเหมือนกับเยี่ยวั่งแล้ว จะได้ช่วยดูแลเผ่าเขาทมิฬอยู่ข้างๆ หรือว่าเจ้าไม่อยากดูแลเผ่าเรา?”

“ข้า…” ซูหมิงสับสน

“เช่นนั้นเอาอย่างนี้ เจ้าเก็บเรื่องนี้ไปใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน หลังจากจบงานประลองและเผ่าเขาทมิฬย้ายมาแล้ว เจ้าค่อยตัดสินใจอีกที ถึงตอนนั้นปู่จะเป็นคนส่งเจ้าด้วยตัวเอง หากเจ้าไม่อยู่เมืองหินโคลน จะอยู่เผ่าเขาทมิฬก็ได้ แบบนี้ดีหรือไม่” ท่านปู่ยิ้มพลางลูบศีรษะซูหมิง

ซูหมิงค่อยถอนหายใจโล่งอก หลังจากขบคิดดูแล้ว จึงพยักหน้าอย่างว่าง่าย หากเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังพอรับได้ ในใจของซูหมิง เผ่าของเขามีเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือเผ่าเขาทมิฬ

“เอาละ ในเมื่อเจ้าจะไม่เข้าร่วมงานประลองต่อ เช่นนั้นสองสามวันนี้ก็อยู่ในเผ่าร่องลม ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเสีย รอจนกว่าพวกเป่ยหลิงจะจบงานประลองแล้ว พวกเราค่อยกลับเผ่าด้วยกัน”

ท่านปู่ยิ้มพลางยืนขึ้น

เขาไม่ได้ถามว่าเหตุใดซูหมิงถึงได้อันดับที่สูงเช่นนี้ และไม่ได้ถามว่าเขาบรรลุถึงความหมายของตัวเลขทั้งหกได้อย่างไร เพียงแต่ยิ้ม มองซูหมิงอย่างลึกซึ้ง แล้วหมุนตัวเดินจากไป

ซูหมิงมองเงาหลังที่ดูมากประสบการณ์ของท่านปู่ค่อยๆ เดินห่างออกไป ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงรู้สึกไม่สบายใจนัก จนกระทั่งในเรือนเหลือเพียงซูหมิงคนเดียว เขานั่งเงียบอยู่ที่เดิม หวนนึกถึงทุกคำพูดของท่านปู่ก่อนหน้านี้ ในใจเป็นกังวล

“พลังของข้ายังไม่พอ….ข้าจะต้องแข็งแกร่ง!” ผ่านไปครู่ใหญ่ ซูหมิงกัดฟันแน่น สีหน้าเผยความเด็ดเดี่ยว แม้เขาจะมองความหมายแฝงในแววตาของท่านปู่ไม่ออก ทว่ากลับสัมผัสได้ว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านปู่บอกว่า วิกฤตของชนเผ่าจะคลี่คลายโดยง่าย

“ข้าอยากแข็งแกร่ง แต่ดูท่าเพลิงแผดเผาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะยังทำไม่ได้สักระยะ มีเพียงหลอมโอสถเท่านั้น…แต่มันต้องใช้เหรียญหินจำนวนมาก…” ซูหมิงขมวดคิ้ว สิ่งที่เขาขาดแคลนมากที่สุดในตอนนี้คือเหรียญหิน

“จะทำอย่างไรดี…ขายโอสถชำระล้างไปก่อนหน้านี้แล้วครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะไปดึงความสนใจของใครบ้าง…หากไม่ขายก็จะไม่มีเงิน…หากมีใครสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะขายมันไม่ได้อีกแล้ว” ซูหมิงนึกถึงช่องทางทุกอย่าง ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ยังหาข้อสรุปมิได้

“ช่างมัน เห็นทีคงต้องขอยืมท่านปู่…..” ซูหมิงถอนหายใจเบา เดิมทีเขาไม่อยากเพิ่มภาระให้ท่านปู่ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นความคิดของเขา ครั้งนี้จำเป็นต้องใช้เหรียญหินจำนวนมาก

ซูหมิงยันกายขึ้น ขณะกำลังเดินไปหาท่านปู่พลันชะงักฝีเท้า ในสมองมีประกายแสงแล่นผ่าน เขายืนอยู่ข้างประตูห้อง แววตาเป็นประกายวูบวาบ ภาพในความคิดปรากฏชัดเจนขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูหมิงจึงนั่งลงอีกครั้ง พิจารณาอยู่นานก่อนหยิบขวดเล็กมาจากอกเสื้อ

รอบขวดเล็กมีลำแสงโอบล้อม ภายในบรรจุโลหิตสีเขียวที่เขาชิงมาจากอูเซินก่อนหน้านี้ เขาใช้แสงจันทร์โอบล้อมเอาไว้ จึงไม่เผยกลิ่นอายพลังให้ผู้อื่นรับรู้

ยามนี้เขาถือขวดเล็ก แววตาเริ่มเป็นประกาย เขากลั่นกรองความคิดในหัวอย่างรอบคอบหลายครั้ง จนค่อยๆ ได้ข้อสรุป

“สิ่งนี้ต้องเป็นของสำคัญสำหรับอูเซินอย่างแน่นอน! อีกทั้ง…ยังได้ยินเป่ยหลิงพูดว่า ในรุ่นเยาว์แห่งเผ่าร่องลม อูเซินมีชื่อเสียงเทียบเท่ากับเฉินชง เป็นรองเพียงเยี่ยวั่ง!

บุคคลเช่นนี้ ในงานประลองครั้งก่อนต้องติดหนึ่งในสามแน่นอน ทว่าครั้งนี้…เขากลับหล่นไปอยู่อันดับสิบสอง…ต่อให้มีปี้ซู่ เขาก็ไม่น่าจะหลุดหนึ่งในสิบอันดับแรก

เรื่องแบบนี้…มีเพียงคำอธิบายเดียว นั่นคือเขาอ่อนแอลง! มีเพียงร่างกายอ่อนแอลงเท่านั้นถึงจะเกิดปัญหาเช่นนี้ มิเช่นนั้นแล้วไม่มีทางเป็นแบบนี้ในงานประลองอย่างแน่นอน อีกทั้งไม่น่าจะปกปิดพลัง ด้วยฐานะของเขามันไม่จำเป็นเลย!” ซูหมิงกล่าวพึมพำ วิเคาระห์ในมันสมอง

“ฉะนั้นมีความเป็นไปได้ห้าส่วนที่จะเป็นเพราะสูญเสีย…เจ้าสิ่งนี้” นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายวาววับ มองขวดเล็กในมือ มุมปากยกขึ้นเผยรอยยิ้ม

“อูเซินเป็นผู้มีพรสวรรค์ในรุ่นของเผ่าร่องลม ดูท่าสกุลเขาน่าจะเงินหนามิใช่น้อย…” รอยยิ้มบนใบหน้าซูหมิง ดูสดใสมากยิ่งขึ้น

“ไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ถึงได้สำคัญกับเขาขนาดนั้น” ซูหมิงตกอยู่ในห้วงความคิด ไม่ได้ผลีผลาม แต่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม ควบคุมลมหายใจอย่างสุขุม ปล่อยเวลาผ่านไป

จนกระทั่งฟ้าด้านนอกมืด ดวงจันทร์ลอยสูง ซูหมิงพลันลืมตาขึ้น

“ตอนนี้ก็ได้เวลาศึกษามันแล้ว” ซูหมิงถือขวดเล็ก ก่อนใช้มือซ้ายโบกไปด้านบน แสงจันทร์ที่โอบล้อมขวดเล็กอยู่พลันสลายไป ซูหมิงยกขวดขึ้นมาดูใกล้ๆ ดึงจุกฝาขวดออกแล้วมองอย่างละเอียด พบว่าโลหิตเขียวภายในขวดเล็กมีสีอ่อนลงเล็กน้อย เหมือนกับว่าไม่ได้เข้าสู่ร่างอูเซินมาเป็นเวลานาน จึงเสียสีสันและความมันวาว

“ต้องดูก่อนว่าเจ้าสิ่งนี้มีประโยชน์กับข้าหรือไม่ หากไม่มีก็คงต้องทำในขั้นตอนต่อไป” ซูหมิงเทโลหิตสดในขวดออกมาอย่างไม่ลังเล มันลอยอยู่เบื้องหน้าเขา ไม่มีกลิ่นคาวเลือดแม้แต่น้อย เหมือนกับไม่ใช่โลหิต

ซูหมิงจ้องมัน ก่อนใช้มือจับมาวางตรงกลางระหว่างคิ้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!