Skip to content

สู่วิถีอสุรา 720

ตอนที่ 720 การพบกันแห่งโชคชะตา

การโจมตีเซ่นไหว้โลหิตหวนคืนวิญญาณครั้งนี้ ร่างสองหัวกับกระบี่โลหิตที่รวมขึ้นเคลื่อนตัวเหมือนดาวตกพุ่งลงสู่พื้น เข้าปะทะกับซูหมิงและศิษย์พี่รองบนหลังที่พุ่งทะยานขึ้นฟ้า ชั่วเวลานั้นราวกับการปะทะกันของฟ้าและดิน ระลอกคลื่นจากการปะทะกลายเป็นแรงจู่โจมเส้นโค้งสองเส้น หากมองไกลๆ ภาพนี้จะงดงามที่สุดในเผ่าหมาน มากพอจะให้ทุกคนชำเลืองตามอง

อีกทั้งท่ามกลางแรงจู่โจมนี้ ศิษย์พี่รองบนหลังซูหมิงยังส่งเสียงหัวเราะอ่อนแอทว่าเบิกบาน ขณะกำลังหัวเราะอยู่นั้น พืชสีเขียวกระจายตัวอยู่บนแผ่นดินที่พังทลายลง กลิ่นหอมหวนแผ่กระจาย นอกจากนี้ยังมีกลิ่นอายพลังเข้มแข็งแฝงความนุ่มนวลจากตัวศิษย์พี่รองเข้ามาวนเวียนอยู่รอบตัวซูหมิง

ส่วนซูหมิงก็เหมือนกับกระบี่ออกจากฝัก แบกศิษย์พี่รองเข้าปะทะกับร่างวิญญาณจากการเซ่นไหว้โลหิตหวนคืนวิญญาณทันใด

นี่คือการปะทะกันระหว่างฟ้าและดิน เป็นการปะทะกันของพลังสองชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นจุดสูงสุดบนโลกหมานในตอนนี้ ช่วงที่เสียงดังสนั่นกังวานไปรอบๆ บนฟ้าปรากฏรอยแยกจำนวนมาก แผ่นดินแหลกสลายกลายเป็นผุยผง

เวลานี้แรงโจมตีรุนแรงพร้อมกับพายุคลั่งถาโถมใส่รอบๆ โดยมีซูหมิงเป็นใจกลาง เหมือนกับคลื่นลูกใหญ่ม้วนไกลออกไปโดยไร้สิ้นสุด

ซูหมิงกระอักโลหิต ร่างกระเด็นถอยไปสิบกว่าจั้ง แต่มีกลิ่นอายสีเขียวจำนวนมากแผ่ปกคลุมร่างกายเอาไว้ นั่นคือพลังของศิษย์พี่รอง

ส่วนร่างสองหัวนั้น หัวหนึ่งสลายหายไป ร่างยังถูกซัดกระเด็นถอย กระบี่โลหิตในมือมัวหมองขึ้นเล็กน้อย

ซูหมิงเงยหน้าขึ้น ร่างยังไม่ทันหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์ก็พุ่งทะยานไปอีกครั้ง

กระบี่สังหารในมือขยับแสงวูบวาบ พร้อมกับพุ่งตรงไปยังหัวของร่างวิญญาณสำนักชุมนุมเซียน หัวที่เหลืออยู่ร้องคำราม แล้วสองฝ่ายก็เข้าปะทะกันอีกครั้ง ไม่มีอภินิหาร ไม่มีวิชา ซูหมิงใช้กระบี่สังหารเล่มหนึ่งแสดงสี่รูปแบบของกระบี่ วาดออกมาเป็นสายรุ้งยาวหลายเส้น ครู่ต่อมาก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นยิ่งกว่าเดิม หัวหนึ่งลอยขึ้นและถูกซูหมิงใช้กระบี่ทะลวงผ่านไป จากนั้นมันก็ระเบิดกระจุย

ร่างรวมค่ายกลสำนักชุมนุมเซียนที่สูญเสียหัวไปทั้งหมด ตอนนี้ตัวสั่นไหวพลางถอยไปอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงว่าตรงจุดที่หัวขาดมีก้อนเนื้อกำลังขยับไหวอย่างรวดเร็ว เหมือนจะงอกหัวออกมา

“ผู้ล่วงเกินยอดเขาลำดับเก้า สังหาร!” ตรงมุมปากซูหมิงมีโลหิตไหล ทว่าสีหน้ากลับน่าสะพรึงกลัว เขาเดินหน้าหนึ่งก้าว ไล่ตามร่างรวมจากค่ายกลสำนักชุมนุมเซียนไป ก่อนใช้กระบี่ฟันลงโดยพลัน แขนซ้ายยักษ์ข้างหนึ่งลอยขึ้นแล้วสลายไป

เสียงหัวเราะของศิษย์พี่รองดังกึกก้อง ในรอยยิ้มเผยการระบายความอัดอั้นหลังถูกกำราบมานานปี ขณะหัวเราะอยู่ก็เอ่ยขึ้น

“ศิษย์น้องเล็กพูดได้ดี ผู้ล่วงเกินต้นไม้ใบหญ้าของยอดเขาลำดับเก้าก็ต้องสังหาร!”

ครั้นศิษย์พี่รองกล่าว ซูหมิงก็เดินหน้าอีกครั้ง เข้ามาใกล้ร่างค่ายกลที่กำลังถอย ก่อนกวาดกระบี่โลหิตในมือเข้าไป ทำให้ขาขวาของร่างค่ายกลขาดออก

“ผู้ล่วงเกินยอดเขาลำดับเก้า ต้องสังหารให้หมดสิ้นสำนัก!” ซูหมิงเอ่ยเสียงเย็นชา ยามเดินหน้าอยู่ก็พลันกระโดดขึ้น ชูกระบี่สังหารในมือ ดวงตาสองข้างเผยจิตสังหารโดยพลัน จากนั้นฟันไปยังร่างค่ายกลสำนักชุมนุมเซียนอย่างรุนแรง

เมื่อฟันลงไป เสียงหัวเราะศิษย์พี่รองยังคงดังอยู่ แสงสีเขียวจำนวนมากไหลเวียนบนตัวซูหมิง แล้วรวมตัวไปยังกระบี่สังหารของเขา หนึ่งกระบี่นี้ไม่ใช่พลังของซูหมิงคนเดียวอีกต่อไป แต่รวมศิษย์พี่รองผู้อ่อนแอในตอนนี้เข้าไปด้วย

ทันทีที่ฟันกระบี่ลง ร่างค่ายกลที่เสียสองหัว แขนซ้าย และขาขวาไปพลันยกมือขวาขึ้น ใช้กระบี่โลหิตในมือฟันเป็นแนวขวางไปข้างหน้าเพื่อรับกระบี่สังหารของซูหมิงกับศิษย์พี่รอง

เสียงระเบิดดังสนั่น ท่ามกลางเสียงหึเย็นชากับเสียงหัวเราะของศิษย์พี่รอง วินาทีที่กระบี่สังหารปะทะกับกระบี่โลหิต กระบี่โลหิตพลันแตกกระจาย ส่วนกระบี่สังหารทะลวงผ่านเข้าไปฟันร่างค่ายกล แล้วตัดเข้าไปในเนื้อจากกลางลำตัว ตอนที่ทะลวงผ่านก็แบ่งร่างค่ายกลออกเป็นสองส่วน

เมื่อเสียงร้องโหยหวนที่มีเพียงวิญญาณได้ยินดังแว่วมาจากร่างค่ายกล ร่างค่ายกลที่ขาดสองส่วนพลันระเบิดกระจุย วิญญาณนับไม่ถ้วนภายในกรีดร้องพร้อมกับม้วนกระเด็นออกไปเป็นวงกว้าง

หากมองจากพื้นดินจะเห็นเหมือนหมอกแผ่กระจาย ภายในหมอกนั้นคือวิญญาณสำนักชุมนุมเซียนนับไม่ถ้วน

นัยน์ตาซูหมิงแวววาว ขณะกำลังจะสังหารให้สิ้นซาก ศิษย์พี่รองบนหลังก็พลันกล่าวขึ้นก่อน

“ศิษย์น้องเล็ก อย่าฆ่า…”

ศิษย์พี่รองเอ่ยพลางกระโดดลงจากแผ่นหลังซูหมิง แล้วขยับวูบไหวกลางอากาศ กลายเป็นร่างภูตผียักษ์ตนหนึ่ง มีสองเขาตรงศีรษะ ร่างกายใหญ่ราวสิบจั้ง ทุกส่วนเป็นเขียวเข้ม

หลังจากกลายเป็นร่างภูตผี ศิษย์พี่รองก็อ้าปากสูบไปทางวิญญาณสำนักชุมนุมเซียนที่กำลังกระเด็นถอยไป วิญญาณเหล่านั้นร้องเสียงคำรามเล็กแหลมด้วยความตื่นกลัว ทว่ากลับตรงมาหาศิษย์พี่รองอย่างห้ามไม่ได้ พริบตาเดียวก็ถูกเขาสูบกินไป

หลังจากวิญญาณสำนักชุมนุมเซียนถูกศิษย์พี่รองสูบกินหมดแล้ว ร่างกายเขาขยายใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่าจากสิบจั้ง กลายเป็นร่างภูตผีสูงเกือบยี่สิบจั้ง ให้ความรู้สึกพิลึกอยู่กลางอากาศ จากนั้นเขาก็หันมามองซูหมิงอย่างช้าๆ

ถึงตอนนี้จะมีรูปร่างหน้าตาดุร้าย มีหมอกดำทึบแผ่กระจายมาจากทั้งตัวดุจดั่งวิญญาณร้าย แต่ตอนที่มองซูหมิง เขากลับยิ้ม

นั่นคือรอยยิ้มของศิษย์พี่รอง เขาเงยหน้าพลางยิ้ม ให้แสงตะวันส่องแถบใบหน้า ดูผ่อนคลายยิ่งนัก

“ข้าถูกพันธนาการอยู่ที่นี่มานานปี…ทั้งยังใช้ร่างกายข้าเป็นเครื่องมือในการฝึกฝนแก่สำนัก สูบกินไปไม่หยุดหย่อน….มันเป็นประสบการณ์อันเจ็บปวดนัก แบบนี้…ไม่ดี” ศิษย์พี่รองเอ่ยพร้อมยกมือขวา เขามองมือขวาตัวเองพลางยิ้มอย่างอบอุ่น แล้วค่อยๆ ลดระดับลงมายังพื้น

ทั้งแผ่นดินในตอนนี้เงียบสงัด ต่อให้พื้นดินพังทลายเป็นผุยผง ต่อให้บนพื้นมีหลุมยักษ์ ทว่าก็จะมีสีเขียวปกคลุมอย่างรวดเร็ว นั่นคือพืชพรรณ ดอกไม้ และต้นไม้นับไม่ถ้วนที่กำลังเติบโตอย่างบ้าคลั่ง

เสี้ยววินาทีเดียว แผ่นดินสำนักชุมนุมเซียนในอดีตก็กลายเป็นป่าไม้ที่มีดอกไม้บานสะพรั่ง เต็มไปด้วยพืชสีเขียวและต้นไม้เจริญงอกงาม

ในระยะเกือบหมื่นลี้ล้วนเป็นป่าเช่นนี้

กลิ่นอายหอมสดชื่นฟุ้งกระจาย ศิษย์พี่รองสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วร่างเขาก็ค่อยๆ หดเล็กลงจนกลับมาเป็นบุรุษอบอุ่นปานดอกไม้ สวมอาภรณ์สีขาวอีกครั้ง ยืนยิ้มน้อยๆ อยู่ตรงหน้าซูหมิง

ซูหมิงมองศิษย์พี่รอง มองรอยยิ้มในความทรงจำ สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าศิษย์พี่รองจะเป็นคนหรือภูตผี เขา…ก็ยังเป็นศิษย์พี่รองของตน

“ศิษย์พี่รอง” ซูหมิงเผยยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีบนใบหน้ามานานมากแล้ว เป็นรอยยิ้มจากใจจริง

“ศิษย์น้องเล็ก ที่ผ่านมาเจ้าคงลำบากน่าดู ที่นี่ข้าหาอาจารย์ไม่พบ แต่ก็เจอเบาะแสอยู่บ้าง อาจารย์น่าจะออกจากเผ่าหมานไปแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด…และไม่รู้ว่าใช้วิธีใดด้วย” ศิษย์พี่รองกล่าวเสียงเบา ใบหน้ายังคงขาวซีด เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บจากสำนักชุมนุมเซียนคงไม่อาจฟื้นตัวได้ในเร็ววัน

“ตอนนี้เหลือแค่พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้อง ส่วนหู่จื่อข้าให้อยู่ยอดเขาลำดับเก้า เจ้ากลับไปแล้วหรือยัง?”

ซูหมิงพยักหน้า ขณะกำลังจะกล่าวก็พลันขมวดคิ้ว เงยหน้ามองฟ้าแล้วค่อยๆ หรี่ตาลง นัยน์ตาศิษย์พี่รองเป็นประกายวาววับ ก่อนเงยหน้าตามขึ้นไป

ยามนี้บนฟ้ามองไปเหมือนไร้เมฆ ทว่าจริงๆ แล้วยังมีเมฆบางซ่อนอยู่ก้อนหนึ่ง เด็กสาวงดงามเลิศล้ำที่กำลังกระเทาะเมล็ดแตงเบิกตากว้าง นางมองการต่อสู้ระหว่างซูหมิงกับวิญญาณสองหัวจนจบ ผ่านไปพักใหญ่ก็ตบหน้าอกตัวเองเบาๆ แล้วถอนหายใจยาว

“ขาดทุนใหญ่แล้ว…” เด็กสาวยกมืองามจับหัวสุนัขข้างๆ อย่างแรง

สุนัขเจ็บปวดแต่ไม่กล้ากล่าวอะไร มันเคยได้ยินชื่อเสียงชั่วร้ายของเด็กสาวผู้นี้ในโลกจักรพรรดิยมโลกมาก่อน สิ่งมีชีวิตจำนวนมากในโลกจักรพรรดิยมโลกต้องปวดหัวเพราะนาง อีกทั้งยังเป็นคนไร้เหตุผล

มันถูกนางทรมานมาตลอดทาง กระทั่งตอนนี้เห็นอยู่ว่าไม่เกี่ยวกับมัน แต่ก็ยังหนีไม่พ้นเงื้อมมือปีศาจ…ขณะกำลังเจ็บปวดอยู่นี้ มันจ้องกระเรียนขนร่วงกับเฉียนเฉินตาเขม็งแล้วคำรามเสียงต่ำ กระเรียนขนร่วงตกใจก่อนรีบทำหน้าประจบสอพลอ ส่วนเฉียนเฉินก็ตัวสั่นงันงก

ทว่ากระเรียนขนร่วงเพิ่งประจบสอพลอ สุนัขก็กัดเข้าอย่างแรงทีหนึ่ง พอเห็นกระเรียนขนร่วงหน้าเปลี่ยนสี ดูเจ็บปวด มันถึงรู้สึกว่าเท่าเทียมกันเล็กน้อยแล้ว

เฉียนเฉินตัวสั่นแรงขึ้น นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัวมากกว่าเดิม เขาเห็นเด็กสาวงดงามเลิศล้ำรังแกสุนัข จากนั้นสุนัขก็รังแกกระเรียนขนร่วง และเขา…..

ขณะกำลังตัวสั่น กระเรียนขนร่วงเงยหน้าขึ้นจ้องเฉียนเฉินด้วยความเหี้ยมโหด ก่อนยกมือใหญ่ขึ้นตบหัวเฉียนเฉินอย่างแรงทีหนึ่ง หนำซ้ำเพราะเจ็บมากจากการถูกสุนัขกัด กระเรียนขนร่วงจึงตบไปอีกหลายที จนกระทั่งเฉียนเฉินมีสีหน้าเจ็บปวด ถึงจะรู้สึกว่าเท่าเทียมกัน

เฉียนเฉินมีสีหน้าขมขื่น พอมองไปรอบๆ แล้วหาคนที่ตนจะระบายและรังแกต่อไม่ได้ เลยดึงหัวตัวเองแทน เขาแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว

ตอนที่ทุกคนบนก้อนเมฆกำลังรังแกกันอยู่ ก็มีเสียงเย็นชาของซูหมิงแว่วขึ้นมาจากด้านล่าง

“ตามแซ่ซูมาตลอดทาง ไม่ทราบว่าท่านจะซ่อนตัวไปจนถึงเมื่อไร”

เสียงซูหมิงแว่วเข้าไปในหูเฉียนเฉิน ทำให้เฉียนเฉินตื่นเต้นจนเหมือนได้ยินเสียงญาติพี่น้อง ส่วนกระเรียนขนร่วงกลอกตา ไม่รู้ว่าในใจเกิดความคิดอะไรอีก

ส่วนสุนัขเหลือบตามอง ขณะกำลังจะมองไปนั้น เด็กสาวข้างกายก็ยืนขึ้น เอาสองมือไพล่หลัง นางมีท่าทางน่ารัก ทว่าสีหน้าประหลาดใจกลับบ่งบอกว่านางนึกไม่ถึงว่าซูหมิงจะสังเกตเห็นตน

นางกระแอมเสียงเบาหลายที แล้วเดินออกมาจากเมฆที่ใช้ซ่อนตัวอยู่อย่างงดงาม น่ารัก กระทั่งไร้เดียงสาเหมือนกับกระต่ายน้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!