ตอนที่ 84 เห็นชนเผ่าแล้ว
เพียงโบกสะบัด มีเสียงระเบิดดังก้องกังวานฟ้าดิน ช่องว่างระหว่างพวกสือไห่และแขนดังกล่าว ปรากฏขึ้นเป็นระลอกคลื่นซัดสาด พวกสือไห่ตัวสั่นสะท้าน คลับคล้ายถูกพลังมหาศาลปะทะเข้าใส่ พลังโลหิตในร่างกายปริแตก ใบหน้าพลันขาวซีดกระอักโลหิตมากองใหญ่ ก่อนกระเด็นถอยออกไป แม้ว่าจะยังไม่ตายตก ทว่าร่างกายราวกับถูกแรงระเบิด ไม่อาจยืนขึ้นอีกได้
“ยังไม่ตายอีกรึ? พวกเสี้ยวสายเลือดเผ่าเหมียวหมาน จะดูถูกไม่ได้จริงๆ ถึงอย่างไรสายเลือดของพวกเจ้าก็สืบทอดมาจากเผ่านั้น…..” น้ำเสียงชั่วร้ายดังก้อง ไม่รู้ว่าใช้วิธีการแบบใดถึงทำให้เสียงร้องของสัตว์ประหลาดแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด
“ก็แค่นกใหญ่ถีที่ถูกผนึกตัวหนึ่ง คงไม่ยากนักหรอก…ผนึกนี้จำกัดพลังของเจ้า ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะต่อต้านอย่างไร!” ภายในน้ำเสียงเย็นเยือก แฝงไว้ด้วยความปีติยินดี ทว่าในขณะนั้นเอง พลันมีเสียงคำรามต่ำดังมาจากท้องฟ้า
“เจ้าชาติชั่ว ทำลายเขาศักดิ์สิทธิ์ของข้า ใจกล้านัก!”
เสียงดังกล่าวเป็นของจิงหนานหรือจ้าวหมานที่กำลังโกรธแค้นในยามนี้ ด้านหลังของเขามีสตรีชุดม่วงใบหน้างดงามทว่ากลับเย็นชาคนหนึ่ง แม้ว่านางจะเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว ทว่าความงดงามกลับไม่ลดลงแม้แต่น้อย ยามนี้แววตาเกรี้ยวกราดแฝงไว้ด้วยความโกรธแค้นและจิตสังหาร
เมื่อทั้งสองมาถึง พลันตรงเข้าไปในรอยแยกดังกล่าว ก่อนเข้าสู่หมอกดำหนาทึบบนเขาร่องลมทันที จากนั้นมีเสียงระเบิดดังสนั่นมาจากในหมอกดำอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีเสียงคำรามของจิงหนานดังเป็นระลอก ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเขาร่องลม ซูหมิงไม่ทราบ และต่อให้เขาทราบก็ไม่ใส่ใจอยู่ดี สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือต้องรีบกลับเผ่าให้เร็วที่สุด
เขาจะต้องไปดูกับตาว่า…ชนเผ่า…..ยังอยู่หรือไม่…
เขาจะต้องไปดูกับตาว่า…คนในเผ่า….ยังปลอดภัยดีหรือไม่…..
หลังจากที่เขาตึงเครียด วิตกกังวล และคลุ้มคลั่ง ยามนี้กลายเป็นเงียบขรึม ห้อวิ่งอยู่ท่ามกลางพื้นหิมะ ตั้งแต่ท่านปู่จากไปก็ผ่านมานานมากแล้ว ตะวันเริ่มทอแสงเล็กน้อย ซูหมิงทราบถึงความเร็วของงูเหลือมทมิฬดี พวกท่านปู่น่าจะกลับถึงเผ่านานแล้ว
“จะต้องไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น…..” ซูหมิงกระโดดทะยานไปมาอยู่บนผืนดินกว้างใหญ่ด้วยความเร็วสูงสุดในชีวิต พริบตาเดียวหายวับไปไกล เขาวิ่งโดยไม่สนใจทุกสิ่ง กระทั่งเมินเฉยต่อความเมื่อยล้า เส้นเลือดสองร้อยสี่สิบสามเส้นปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความเร็ว ทำให้สามารถใช้พละกำลังได้ยาวนานขึ้น และความเร็วเพิ่มขึ้น
ตอนที่ท้องฟ้าส่องสว่าง ตะวันแรกทอแสง สาดส่องลงบนผืนดินกว้างใหญ่ เกล็ดหิมะบนพื้นสะท้อนแสงเงินสว้างจ้าละลานตา ซูหมิงวิ่งผ่านพื้นที่ราบเข้าไปในป่าทึบ ใกล้กับตลาดซื้อขายที่เขาเคยไป หากเปลี่ยนเป็นซูหมิงก่อนหน้านี้ เขาต้องใช้เวลาครึ่งวันกว่าจะข้ามไปได้ ทว่าตอนนี้ ใช้เวลาเพียงไม่ถึงสองชั่วยามเท่านั้น
ความเร็วเช่นนี้น่าเหลือเชื่อ ทว่าซูหมิงกลับรู้สึกว่ามันช้ายิ่งนัก!
เขาไม่ได้คลุ้มคลั่งอีกต่อไป แต่กลับสงบนิ่ง บนขาทั้งสองข้างมีเส้นเลือดสีดำปูดโปนจำนวนมาก ลำตัวขยับไปมาอยู่ในป่าทึบ พลันกระโดดขึ้นใช้พละกำลังพุ่งทะยานไปอีกครั้ง ขณะที่เขากำลังห้อเหยียดโดยไม่หยุดพัก เม็ดเหงื่อชโลมไปทั้งตัว รู้สึกเจ็บปวดแทบทุกส่วนของร่างกาย
เวลาดำเนินผ่านไป ไม่นานก็ใกล้เข้าสู่ยามเที่ยงวัน หิมะหยุดตก บนน่านฟ้าไกลหมื่นลี้ไร้เมฆ ดูแจ่มใส ทว่าภายในป่าทึบบนผืนดินกว้างใหญ่ กลับมีเงาคนกำลังวิ่งห้ออย่างเงียบขรึม กระทั่งเม็ดเหงื่อของเขายังไม่ทันไหลไปตามผิวหนังก็ถูกสะบัดไว้ด้านหลังทันที
สิ่งที่ค้ำจุนซูหมิงไว้คือความยึดมั่นและแน่วแน่ เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของชนเผ่า กังวลว่าคนในเผ่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทำให้ร่างกายของเขาเหมือนกับว่างเปล่า เหลือเพียงความมุ่งมั่นที่ต้องวิ่งต่อไปเท่านั้น
เดิมทีจำเป็นต้องใช้เวลาหนึ่งคืนถึงจะเดินทางถึงที่หมาย ทว่าตอนนี้ด้วยความเร็วของซูหมิง เพียงยามเที่ยงวันก็ขยับใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตาเขาฉายแววฮึกเหิมและตึงเครียด ยิ่งเข้าใกล้ชนเผ่า หัวใจเขายิ่งเต้นแรง ทำให้ความตึงเครียดทวีคูณเพิ่มขึ้นไปอีก เขากลัวจะเห็นชนเผ่าล่มสลาย กลัวจะเห็นศพกองอยู่เต็มพื้น
เขาหวาดกลัว ทว่าความเร็วกลับไม่ลดลงแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีความเหี้ยมโหดแฝงอยู่ภายใน ในช่วงที่แววตาเขาปรากฏเป็นภาพรางๆ ของเผ่าเขาทมิฬอยู่ไกลๆ ซูหมิงพลันตัวสั่นเทา น้ำตาไหลพราก
มองไกลๆ ประตูใหญ่ของเผ่าพังทลาย กำแพงซุงโอบล้อมสี่ทิศมีหลายจุดแตกหัก ทั้งยังมีควันสีดำมหาศาลพวยพุ่ง เห็นได้ชัดว่าเคยเกิดเหตุเพลิงไหม้ ภายในเผ่ามีผู้คนอยู่จำนวนมากกำลังรวมพล พอเห็นคนในเผ่าส่วนใหญ่ยังอยู่ดี ความกังวลของซูหมิงจึงคลายลงไม่น้อย ทว่ากลับแทนที่ด้วยจิตสังหารต่อศัตรูที่มาทำลายเผ่าเขาทมิฬ
ซูหมิงขยับร่างพุ่งตรงเข้าไปทางชนเผ่า ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็เป็นที่สังเกตของนักรบหมานกลุ่มล่าสัตว์ในเผ่า พวกเขาล้วนมีสีหน้าตื่นตัว ทว่าพอเห็นว่าเป็นซูหมิง จึงผ่อนคลายลง สีหน้าดูอ่อนเพลียจนยากจะปกปิดได้
ซูหมิงกลับมาถึงเผ่า น้ำตายังไหลพราก เขาเดินผ่านประตูใหญ่ที่แหลกเป็นชิ้นเข้าไปในชนเผ่า เห็นความอ่อนเพลียของนักรบหมานกลุ่มล่าสัตว์เหล่านั้น เห็นตรงกลางเผ่ามีศพหลายสิบคนนอนอยู่ พวกเขาเหล่านั้นซูหมิงรู้จักดี ข้างกายศพมีคนกำลังร่ำไห้ นั่นคือญาติพี่น้องของพวกเขา เสียงร้องไห้ดังระงมในชนเผ่า ทำให้ซูหมิงเจ็บปวดหัวใจราวกับมีโลหิตหลั่งไหล
เขาเห็นชาวเผ่าธรรมดาเหล่านั้นล้วนมีสีหน้าเศร้าโศก ทั้งหวาดกลัวและสับสน กำลังเก็บสัมภาระอย่างเร่งรีบ แล้ววิ่งมารวมตัวกันตรงจุดรวมพลในเผ่า
เขาเห็นลาซูน้อยเหล่านั้น ยามนี้บนใบหน้าเยาว์วัยมีน้ำตา แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว จับมือของมารดาเอาไว้แน่น ราวกับว่าหากปล่อยมือก็จะไม่ได้จับอีก…
ภายในชนเผ่า กระโจมหนังสัตว์จำนวนมากพังทลาย บนพื้นดูเละเทะยิ่งนัก และยังมีคราบเลือดหลายจุด เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เกิดสงครามขึ้นที่นี่ ขณะมองซูหมิงพลันกำหมัดแน่น นัยน์ตาฉายแววเคียดแค้น มันเป็นจิตสังหารที่หาได้ยากยิ่งในเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อายุยังไม่ถึงสิบเจ็ด
น้ำตาของซูหมิงหลั่งไหลไม่หยุด เขาเห็นท่านป้าข้างบ้านที่มีเมตตากับเขามาตั้งแต่ยังเยาว์วัย กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่นอกซากกระโจมหนัง ข้างกายนางไม่มีผู้ใด…บุตรชายของนางตายตก สามีก็เช่นเดียวกัน…เหลือเพียงนางที่นั่งเหม่ออย่างเลื่อนลอย ซูหมิงรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ไม่อาจกล่าวได้
“เผ่าภูผาดำ!” ซูหมิงกัดฟันแน่น เขาเห็นเหลยเฉินอยู่ในกลุ่มคน สีหน้าเหลยเฉินดูอ่อนเพลีย กำลังช่วยจัดระเบียบแถวและช่วยชาวเผ่าเก็บของมีค่าสำคัญ เหลยเฉินไม่ได้สังเกตเห็นซูหมิง เขาในยามนี้ดูเหนื่อยล้ายิ่งนัก
นอกจากนี้ซูหมิงยังเห็นอูลา เด็กสาวคนที่มองเขาอย่างเหยียดหยาม ทว่ากลับชื่นชมโม่ซู ยามนี้ราวกับเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในชั่วพริบตา นางแบกคันศรใหญ่เดินอยู่ในกลุ่มคน กล่าวปลอบขวัญพลางช่วยจัดระเบียบแถวอย่างรวดเร็ว
และยังมีเฉินซิน สีหน้านางดูอ่อนแรง มองดูแล้วน่าสงสาร ทว่าในแววตากลับเด็ดเดี่ยว นี่แสดงให้เห็นว่านางก็เป็นเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเช่นเดียวกัน
ซูหมิงไม่เห็นจ้าวเผ่าและผู้นำกองรักษาการณ์ ไม่เห็นซานเหินและเป่ยหลิง กระทั่งผู้แข็งแกร่งลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิตที่มีอยู่เพียงน้อยนิดยังไม่พบ
ทว่าซูหมิงเห็นท่านปู่
ท่านปู่อยู่ไกลออกไป ใบหน้าขาวซีด ดูแก่ชราลงมาก เหมือนกับว่าหนึ่งคืนสำหรับเขาราวกับผ่านไปหลายสิบปี
ท่านปู่ในยามนี้กำลังก้มหน้าช่วยรักษาบาดแผลตรงขาซ้ายให้กับชาวเผ่า เขาเป็นนักรบหมานอายุราวยี่สิบเจ็ดปี ซูหมิงรู้จักเขา เขาคือหลิ่วตี๋คนที่ชอบเล่นเพลงซวินเป็นประจำ
ซูหมิงทราบดี มันเรียกว่าซวิน เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ผู้คนในเผ่าส่วนใหญ่ไม่อาจเล่นมันได้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่มีพรสวรรค์ ทำให้มักจะได้ยินเสียงซวินดังอยู่ในเผ่าบ่อยครั้ง
ยามนี้ไม่เห็นความเจ็บปวดบนใบหน้าของเขา มีเพียงความยึดมั่นและแน่วแน่
ซูหมิงน้ำตาไหล เดินเข้าไปทีละก้าว หลังจากกลับมาแล้วได้เห็นทุกสิ่ง ทำให้ความแค้นของเขากลายเป็นจิตสังหาร เขาจะสู้เพื่อชนเผ่า!
“ท่านปู่…ไม่ต้องสนข้า แม้ขาข้าจะพิการ ทว่าข้าก็ยังสู้ได้…ข้า….” ซูหมิงเดินเข้ามาใกล้ เขาได้ยินเสียงแหบพร่าของหลิ่วตี๋ขณะท่านปู่กำลังรักษา
สีหน้าท่านปู่สลด ดูเศร้าโศก ก่อนพยักหน้าเบาๆ เหมือนกับสัมผัสอะไรบางอย่างได้ จึงแหงนหน้าขึ้นเห็นซูหมิงกำลังเดินเข้ามา
ท่านปู่ชะงักงันไปทั้วตัว สีหน้าดูประหลาดใจและเหลือเชื่อ เขารู้จักผนึกของตัวเองดี และทราบว่าไม่มีทางที่ผนึกจะถูกทำลายได้รวดเร็วเช่นนี้ ทว่าซูหมิงตรงหน้ากลับทำให้เขาตกใจสะดุ้งราวกับเห็นภาพหลอน
นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านปู่เผยสีหน้าเช่นนี้กับซูหมิง เขาไม่อยากเชื่อว่าซูหมิงจะทำลายผนึกได้ อีกทั้งยังกลับมาถึงเผ่าได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
เวลานี้ไม่ใช่เพียงแค่ท่านปู่ที่สังเกตเห็นซูหมิง เหลยเฉินก็เช่นเดียวกัน เขาเบิกตากว้าง นัยน์ตาฉายแววเหลือเชื่อ ขณะเดียวกันอูลาที่อยู่ไกลออกไปก็สังเกตเห็นซูหมิงตรงหน้าท่านปู่ด้วยความบังเอิญ