Skip to content

สู่วิถีอสุรา 88

ตอนที่ 88 บทเพลงมรณะ

“มันเป็นใคร! เผ่าเขาทมิฬไม่มีรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้!” ชายฉกรรจ์กระอักโลหิต สีหน้าตื่นตะลึง ร้องคำรามในใจ

ทว่าซูหมิงรวดเร็วยิ่งนัก แทบจะเป็นช่วงที่ชายฉกรรจ์กระแทกกับกำแพงไม้

ซูหมิงทะยานเข้าใกล้อีกครั้งด้วยความบ้าคลั่งและกระหายเลือด เขาปล่อยหนึ่งหมัดเข้าไปพร้อมกัดปลายลิ้นพ่นโลหิต โลหิตพวกนั้นพลันกลายเป็นหมอกเลือด สำแดงเคล็ดวิชาธุลีโลหิตดำในทันใด

หมอกโลหิตตรงเข้าใส่ชายฉกรรจ์ ท่ามกลางสีหน้าเหลือเชื่อของศัตรู หมัดขวาของซูหมิงทะลวงผ่านหมอกเลือดด้วยความเร็วสูงสุด ก่อนชกเข้าใส่หน้าอกชายฉกรรจ์

เสียงโครมดังสนั่น กำแพงไม้ยักษ์สั่นสะท้าน ชายฉกรรจ์พลันเบิกตากว้าง หน้าถอดสี โลหิตทะลักจากมุมปากจำนวนมาก หมัดของซูหมิงทะลวงหน้าอกของเขา

“ตาย!” ดวงตาซูหมิงแดงก่ำ หลังจากสังหารแล้วยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เขาหมุนตัวตรงเข้าใส่นักรบหมานภูผาดำที่เหลืออยู่ การต่อสู้กับชายฉกรรจ์ก่อนหน้านี้แม้จะจบลงอย่างรวดเร็ว ทว่าก็อยู่ในสายตาของนักรบฝ่ายภูผาดำโดยรอบทั้งหมด พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า รองผู้นำกลุ่มล่าสัตว์ของพวกเขาจะถูกสังหารลงอย่างง่ายดาย กระทั่งพวกเขายังไม่เห็นร่างของซูหมิง เห็นเพียงเงาวูบวาบเท่านั้น

ไม่ใช่เพียงแค่พวกนั้น เหล่านักรบหมานข้างกายซูหมิงยังตื่นตะลึง

พวกเขารู้จักซูหมิง ซูหมิงในความคิดของพวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดา ก่อนหน้านี้พวกตนยังสงสัยเลยว่าเหตุใดซูหมิงถึงได้อยู่ในกองกำลังนักรบหมาน

ทว่ายามนี้ ซูหมิงกลับทำให้พวกเขาตื่นตะลึง อีกทั้งยังมีความฮึกเหิมแรงกล้า!

พวกเขาทั้งเจ็ดคนแปดคนล้วนแผดเสียงคำรามขึ้นตามซูหมิง

“สังหาร!”

“คนที่ทำลายบ้านของข้า ต้องตาย!” ซูหมิงตาแดงก่ำ ทั้งร่างอัดแน่นไปด้วยพลังโลหิตมหาศาล ก่อนปล่อยหนึ่งหมัดออกไป!

“คนที่สังหารคนในครอบครัวของข้า ต้องตาย!” ปล่อยไปอีกหนึ่งหมัด

“คนที่สังหารพรรคพวกของข้า ต้องตาย!” และปล่อยไปอีกหนึ่งหมัด

เงาซูหมิงขยับวูบวาบ ท่ามกลางความหวาดผวาของชายฉกรรจ์เผ่าภูผาดำสิบกว่าคน ซูหมิงคลุ้มคลั่งล่าสังหารอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อบอวลไปด้วยความเคียดแค้นอย่างที่ไม่เคยเห็น เขาในยามนี้ไม่เหมือนกับเด็กอายุยังไม่ถึงสิบเจ็ดปีอีกต่อไป แต่เป็นมือสังหารโหดเหี้ยมไร้ซึ่งสติ

โลหิตกระเซ็นรอบตัว ซูหมิงได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นข้างหู หัวใจของเขาหลั่งเลือด ชาวเผ่าคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัสจนถึงวาระสุดท้าย จึงเลือกระเบิดเส้นเลือดตัวเอง!

นี่เป็นสงครามระหว่างผู้บุกรุกและผู้ปกป้อง เป็นความบ้าคลั่งระหว่างชนเผ่า และเป็นความแค้นที่ไม่อาจสะสางมานานหลายร้อยปีระหว่างเผ่าเขาทมิฬและเผ่าภูผาดำ!

เผ่าภูผาดำพลันมีนักรบหมานจำนวนมากขึ้น ทำให้สงครามครั้งนี้ดุเดือดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แม้จำนวนนักรบหมานเผ่าเขาทมิฬจะมีน้อยกว่าเผ่าภูผาดำ ทว่ายามนี้ ชาวเผ่าเขาทมิฬทุกคนล้วนยึดมั่น ยอมแลกทุกสิ่งเพื่อปกป้องครอบครัว ปกป้องชาวเผ่า และปกป้องชนเผ่าของพวกเขา!

ความตายมันจะสักเท่าไรกันเชียว! สู้เพื่อครอบครัว สู้เพื่อชนเผ่า สู้เพื่อลูกเมีย สู้เพื่อบิดามารดา นี่เป็นสิ่งที่มีเกียรติมากที่สุดในชีวิต!

ชาวเผ่าที่อยู่ภายใต้การคุ้มกันจากแสงของเทวรูปหมาน ท่ามกลางความเงียบสงัด มีเสียงสะอื้นไห้ดังกังวาน ทั้งยังมีเสียงร้องเรียกดังระงม พวกเขากำลังร่ำไห้เพื่อคนที่ปกป้องพวกเขา ร้องเพื่อบิดาและเพื่อนักรบหมานที่ปกป้องพวกตน …

“ท่านแม่ เหตุใดท้องฟ้าจึงเป็นสีฟ้า…..เพราะว่าตรงนั้นมีท่านพ่อกำลังมองพวกเราอยู่ใช่หรือไม่….”

“ท่านพ่อ เหตุใดดวงดาวในยามค่ำคืนถึงกะพริบแสง…..หรือว่าท่านแม่อยู่ตรงนั้น กำลังมองพวกเราอยู่….” ไม่ทราบว่าใครกล่าวขึ้นเป็นคนแรก ทว่าแทบทุกคนที่อยู่ใต้แสงเทวรูปหมาน กล่าวพึมพำพลางสะอื้นไห้

เสียงของพวกเขาหลอมรวมเข้าด้วยกัน ค่อยๆ กลายเป็นคลื่นเสียงต่ำที่อ่อนโยนและดูเศร้าโศก ทว่าภายในความอ่อนโยนและเศร้าโศกนั้น กลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้

คำพูดเหล่านั้นเป็นของเผ่าเขาทมิฬ ทุกครั้งที่มีนักรบตายตก ทุกคนที่ล้อมอยู่รอบกองเพลิงต่างมองนับรบที่จากไปพร้อมกับร้องเพลงอย่างโศกเศร้า

“ลาซู เจ้าอยู่บนฟ้าไม่ต้องเหงา ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องร้องไห้ พ่อกับแม่จะมองเจ้าอยู่บนผืนดินแห่งนี้…ทุกปี…..ทุกวัน…..จะมองเจ้าตลอดไป…”

“ข้าจะไม่ร้องไห้ จะไม่เสียใจ จะไม่เหงา ข้ารู้ว่าพวกท่านอยู่ตรงนั้น กำลังมองข้าอยู่……ข้ามีความสุขมากเหลือเกิน……”

เสียงเพลงดังขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้ เมื่อนักรบหมานเขาทมิฬที่กำลังต่อสู้อย่างไม่หวาดหวั่นเหล่านั้นได้ยินเสียงเพลงที่คุ้นเคย สีหน้าก็เศร้าสลด แผดเสียงร้องด้วยความอดกลั้น พวกเขาจะสู้ จะสู้ให้ถึงที่สุด!

ซูหมิงตัวสั่นเทา น้ำตาไหลพราก บนตัวเขาอาบไปด้วยเลือด มีโลหิตของตัวเอง ทว่าที่มากกว่าคือของศัตรู เขาไม่รู้จักความเหนื่อยล้า ไม่รู้จักความหวาดกลัว เขารู้เพียงว่าต้องสู้ เมื่อร่างกายไม่อาจขยับเขยื้อนและบาดเจ็บสาหัส สิ่งที่เขาต้องทำคือ ระเบิดเส้นเลือดตัวเอง!

“ท่านพ่อ……ท่านแม่……ผีผี……” ซูหมิงได้ยินเสียงสะอื้นของเด็กหญิงที่กำลังตื่นกลัวดังมาจากด้านหลัง หัวใจของเขากำลังเจ็บปวดและหลั่งเลือด ราวกับมีหนามแหลมจำนวนมากทิ่มแทงทะลุ ทำให้ความเร็วเพิ่มมากขึ้น หมัดหนักขึ้น เสียงบทเพลงดังกังวานท่ามกลางความโศกเศร้า

เสียงของเพลงเผยความอ้างว้าง เศร้าอาดูร และการจากลา……ห่างไปไม่ไกลนัก หลิ่วตี๋จากเผ่าเขาทมิฬกำลังนั่งพิงต้นไม้ ขาทั้งสองข้างของเขาเป็นแผลเหวอะหวะ ทั้งตัวอาบไปด้วยเลือด ใบหน้าขาวซีด แววตามืดสลัว มือทั้งสองข้างสั่นเทา

เขาหยิบสวินที่ทำจากกระดูกขึ้นมา ก่อนเป่าบรรเลงบทเพลงโศก เสียงของมันเหมือนกับเสียงร่ำไห้ของมารดา ผสมเข้ากับเสียงร้องเพลงของเหล่าชาวเผ่าท่ามกลางสงครามดุเดือด กลายเป็นความเศร้ารันทดที่บีบหัวใจของผู้คน

เสียงบทเพลงหลอมละลายอยู่ท่ามกลางหิมะบนพื้น แช่อยู่ในโลหิตของชาวเผ่า ในสนามรบแห่งนี้ ทำให้ชาวเผ่าเขาทมิฬทุกคนที่ได้ยินน้ำตาไหลไม่หยุด

ซูหมิงตัวสั่นเทา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินบทเพลงสวิน เพียงแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ เขาน้ำตาไหลพราก หัวใจราวกับถูกทะลวงจนกลายเป็นคนไร้หัวใจ ที่เหลืออยู่มีเพียงรอยแผลทั้งตัวกับความเศร้าที่ไม่รู้จบสิ้น

นอกจากเสียงเพลงสวินแล้ว ยังมีเสียงระเบิดดังขึ้นอีกหลายครั้ง เสียงดังกล่าวหมายถึงมีนับรบหมานร่วมเผ่าเลือกระเบิดเส้นเลือดตัวเอง

“ทางสู่ยมโลก เหลือที่ไว้ให้ข้าด้วย!” ซูหมิงฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าว ปล่อยหมัดออกไป ทำให้นักรบเผ่าภูผาดำร่างกายปริแตก ส่วนเขากระอักโลหิตเช่นเดียวกัน ขณะหมุนตัวเห็นชาวเผ่ากำลังนั่งเป่าสวินก่อนตายอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลนัก

แม้ว่าดวงตาของคนผู้นั้นมืดสลัว ทว่ากลับมีแสงสว่าง เขาเป่าสวิน โลหิตอาบมือทั้งสองย้อมสีเครื่องดนตรีที่ทำจากกระดูก ทว่ากลับไม่อาจปกปิดเสียง ความเศร้า และความอาวรณ์ของเขาได้

นี่เป็นบทเพลงสวินที่เขาจะเล่นเพื่อชาวเผ่าเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต บทเพลงนี้ใช้ชีวิตของเขาเพื่อบรรเลงมัน…..

ซูหมิงหลับตาหันหน้ากลับ ก่อนพลันหรี่ตาลง เขาเห็นอีกด้านหนึ่ง เบื้องหน้าเป่ยหลิงมีชายฉกรรจ์เผ่าภูผาดำสามคน พวกเขามีท่าทีตื่นเต้นและเหี้ยมโหด กำลังคุกคามเป่ยหลิงจนต้องถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง คันศรของเป่ยหลิงหักจนใช้การไม่ได้ บนตัวของเขายังมีบาดแผลหลายจุด โดยเฉพาะตรงหน้าอก เต็มไปด้วยโลหิตจำนวนมาก ใบหน้าขาวซีด มือถือมีดกระดูก กำลังต่อสู้อย่างบ้าคลั่งและทรหด

เขาจะถอยไม่ได้ เพราะด้านหลังของเขาคือชาวเผ่า แม้จะมีเทวรูปหมานคุ้มกันอยู่ก็จริง ทว่าก็ถอยไม่ได้เช่นเดียวกัน ด้านหลังใกล้เขาที่สุดเป็นเด็กสาวผู้หนึ่ง นางน้ำตารินไหลกำลังมองเป่ยหลิง มองร่างสั่นเทาของเขา มองแผ่นหลังที่เหมือนดั่งภูผา

เด็กสาวคนนี้คือเฉินซิน เหมือนนางกำลังตะโกนบอกอะไรบางอย่างกับเป่ยหลิง ซูหมิงอยู่ไกลนักจึงไม่ได้ยิน ทว่าเขาเห็นแววตาของนางยามมองเป่ยหลิง มันแฝงไว้ด้วยความอบอุ่น

นางชอบเป่ยหลิง ในยามนี้นางยิ่งมั่นใจในความรู้สึกของตัวเอง นางชอบ…เขา

เฉินซินน้ำตาไหล ตอนที่นางเห็นเป่ยหลิงตัวสั่นเทา ชายฉกรรจ์เผ่าภูผาดำสามคนเบื้องหน้ายิ้มเยาะ ก่อนพลันทะยานเข้ามาหนึ่งคน มีดกระดูกในมือตรงเข้าใส่ศีรษะของเป่ยหลิงประดุจสายฟ้า ทันใดนั้น เฉินซินส่งเสียงกรีดร้อง นาง…พุ่งตัวออกไป

เป่ยหลิงฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าว เขาในยามนี้เหนื่อยล้าจนไม่อาจทนไหว ตั้งแต่เมื่อคืนวาน เขาต่อสู้มาโดยตลอด เขาทราบดีว่าตนไม่อาจหลบหลีกได้ ขณะกำลังจะระเบิดตัวเอง พลันเห็นเฉินซินวิ่งเข้ามากอดตัวเขาเอาไว้

“ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้ามาแล้วก็ไปพร้อมกับข้า…..” เป่ยหลิงหลับตาลง ครั้นกำลังจะระเบิดเส้นเลือดตัวเอง พลันมีเสียงดังสนั่นก้องกังวาน สั่นสะเทือนรอบสี่ทิศ ทำให้ทุกคน รวมถึงเผ่าภูผาดำที่กำลังทำสงครามตื่นตะลึง

พบว่ามีหอกยาวสีแดงฉานพุ่งตรงเข้าไปเบื้องหน้าของเป่ยหลิงด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ หอกยาวเผยกลิ่นอายสังหารรุนแรงถึงขีดสุด ก่อนกลายเป็นนกอินทรีสีแดงยักษ์ให้ทุกคนได้ประจักษ์

มันพลันพุ่งผ่านเป่ยหลิง ทะลวงผ่านหน้าอกชายฉกรรจ์เผ่าภูผาดำคนที่กำลังลงมืดใส่เขา ส่งเสียงดังลั่น ปักร่างตรึงอยู่บนพื้นหิมะ ในขณะเดียวกัน คลื่นลมแตกเป็นวงกว้าง ร่างชายฉกรรจ์พลันระเบิดกระจายเป็นเศษเนื้อ

ชายฉกรรจ์อีกสองคนที่เหลือ ตัวสั่นเทาถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนกระอักโลหิตออกมา พร้อมกันนั้น เงาคนพลันกระโดดขึ้นรวดเร็วประดุจสายฟ้า มายืนอยู่เบื้องหน้าเป่ยหลิง เข้ามาแทนที่ทุกสิ่งในดวงตาของเขา!

ภาพนี้ แผ่นหลังนี้ ปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา ในใจของเป่ยหลิงเกิดคลื่นลูกใหญ่ เขาคุ้นภาพนี้ ช่วงที่อยู่ในเผ่าร่องลม เขาเคยเห็นภาพนี้มาก่อน เคยเห็นบุคคลนี้มายืนอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ แม้ว่าทั้งสองคนจะมีรูปร่างแตกต่างกัน ทว่ายามนี้ ในแววตาของเป่ยหลิง พวกเขา….วางซ้อนทับกัน

“ซู…….หมิง……..” สีหน้าเป่ยหลิงดูเหลือเชื่อ ยืนชะงักงัน ตอนนี้เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!