Skip to content

สู่วิถีอสุรา 60

ตอนที่ 60 พวกเขาหวาดกลัวแล้ว

ไม่ใช่มีเพียงแค่เขาคนเดียวที่กลืนคำพูดลงไป เวลานี้ผู้คนหลายร้อยบนลาน รวมถึงผู้เข้าแข่งขันที่สละสิทธิ์ก่อนหน้านี้บางส่วน ล้วนเบิกตากว้าง นัยน์ตาฉายแววตื่นตะลึง บางคนนั่งอยู่ถึงกับยันกายขึ้น บางคนอยู่ห่างจากรูปปั้นค่อนข้างไกลยังก้าวเท้าเข้ามาราวกับอยากดูใกล้ๆ

ยามนี้ยายเฒ่าเผ่ามังกรทมิฬดวงตาเป็นประกาย ฉายแววประหลาดใจ จ้องมองอันดับรายชื่อของโม่ซูบนรูปปั้นองค์หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก

นอกจากนี้ผู้นำเผ่าแต่ละคนล้วนเพ่งมองไป สีหน้าเคร่งขรึม ผู้นำกองรักษาการณ์เผ่าเขาทมิฬหรือบิดาของเป่ยหลิง เขามองอันดับรายชื่อบนรูปปั้นตลอดเวลา ทว่าส่วนใหญ่แล้วจะมองชื่อของเป่ยหลิง เวลานี้กลับเมินเฉย แล้วมองไปยังชื่อของโม่ซู มองจำนวนขั้นด้านหลังชื่อของเขาที่กำลังพุ่งพรวดด้วยความเร็วสูงจนน่าตะลึง

เวลานี้ทั้งลานเงียบเป็นป่าช้า

อันดับสามสิบหก โม่ซู สามร้อยหนึ่งขั้น

อันดับสามสิบสี่ โม่ซู สามร้อยสิบขั้น

อันดับสามสิบเอ็ด โม่ซู สามร้อยยี่สิบสองขั้น

อันดับยี่สิบแปด โม่ซู สามร้อยสามสิบห้าขั้น

อันดับยี่สิบหก โม่ซู สามร้อยสี่สิบสี่ขั้น

อันดับยี่สิบสาม โม่ซู สามร้อยห้าสิบเอ็ดขั้น

อันดับสิบเก้า โม่ซู สามร้อยเจ็ดสิบเอ็ดขั้น!

จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ ชื่อของโม่ซูยังคงค้างอยู่อันดับสิบเก้า สามร้อยเจ็ดสิบเอ็ดขั้น จึงเริ่มมีเสียงสูดลมหายใจดังขึ้นระงมบนลาน

ภาพดังกล่าวทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ที่พบเห็นล้วนไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง แม้ว่าพวกเขาจะเคยผ่านเรื่องเหนือความคาดหมายมาแล้วเมื่อคืนวาน ทว่าการเปลี่ยนแปลงในตอนนี้กลับต่างจากเมื่อวานโดยสิ้นเชิง!

หากเมื่อวานเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย เช่นนั้นตอนนี้คงมีแต่คำว่าตำนานเท่านั้นที่จะเปรียบกับสิ่งที่เหลือเชื่อเช่นนี้ได้!

“ไม่ถึงหกสิบลมหายใจ จากสองร้อยสี่สิบแปดขึ้นมาเป็นสามร้อยเจ็ดสิบเอ็ดขั้น…นี่…นี่ข้ามมาทีเดียวหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าขั้น…..พะ เพียงไม่ถึงหกสิบลมหายใจ!”

“อูเซินทำไม่ได้ เฉินชงก็ทำไม่ได้ แม้แต่เยี่ยหวั่ง เดินหนึ่งร้อยขั้นก่อนหน้านี้ยังต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่า!”

“โม่ซู เป็นใครกัน!” ท่ามกลางเสียงสูดลมหายใจ เริ่มมีเสียงฮือฮาดังสนั่น ดุเดือดยิ่งกว่าเมื่อคืนวาน

“นี่เพิ่งแค่ยามบ่าย หากเป็นยามโพล้เพล้หรือเป็นยามค่ำคืนเล่า ดูจากความแข็งแกร่งของเขาเมื่อคืนวานแล้ว จะเดินไปได้กี่ขั้น? ท้ายที่สุดแล้วเขาจะอยู่อันดับใด?”

“หนึ่งในสิบ! เขาจะต้องติดหนึ่งในสิบอย่างแน่นอน!”

กลางฝูงชน ผู้ริษยาย่อมมี ทว่าส่วนใหญ่แล้วก็เป็นแค่ผู้น้อยในชนเผ่า ไม่ว่าจะเป็นเฉินชง อูเซินหรือสิบอันดับแรก ยี่สิบอันดับแรก กระทั่งสามสิบหรือสี่สิบอันดับแรก ในความคิดของพวกเขาล้วนเป็นดั่งดวงตะวันที่อยู่สูงส่ง จำต้องแหงนหน้ามอง ในใจเกิดความเฝ้าปรารถนาจะใกล้ชิด ทว่าอีกใจหนึ่งกลับมีความไม่ยินยอมและจำใจ

เวลานี้พวกเขาได้ประจักษ์ถึงสิ่งปาฏิหาริย์กับตาแล้ว จากอันดับสุดท้ายเมื่อวานพุ่งพรวดขึ้นมาด้วยความเร็วที่ไม่อาจเปรียบได้ จนเข้ามาอยู่ในอันดับเก้า! และนั่นก็เป็นเพราะเห็นกับตา จึงเกิดความฮึกเฮิมราวกับตนเป็นโม่ซู เพียงแต่ว่านิสัยมนุษย์ซับซ้อนยิ่งนัก ในความฮึกเฮิมของพวกเขา แฝงไว้ด้วยความสับสนและชื่นชม ความรู้สึกหลายอย่างนำมารวมเข้าด้วยกันเป็นอารมณ์ที่ตนเองไม่อาจกล่าวได้

แม้จะหวังให้ซูหมิงผงาดขึ้นเพื่อเติมความปรารถนาของพวกเขา ทว่าความริษยาลึกๆ ค่อยๆ คืบคลานมาจากผู้น้อยเหล่านั้น อยากให้อีกฝ่ายตกต่ำเหมือนตนตลอดไป

“หนึ่งในสิบ? หึ ข้าว่าไม่แน่ เขาแค่ก็โชคดีเท่านั้น บางทีเขาอาจจะใช้วิธีต่ำทรามจนมาได้ไกลถึงเพียงนี้!”

“ไม่ผิด เจ้าดูหลังจากเดินมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เขาจะต้องหยุดพักเป็นเวลานาน เขาต้องมีความลับแน่!”

เสียงสนทนาของผู้คนเต็มไปด้วยความขัดแย้ง หนึ่งลมหายใจก่อนยังคงฮึกเฮิม หนึ่งลมหายใจต่อมากลายเป็นริษยา ทว่าในกลุ่มคนเวลานี้กลับมีผู้อาวุโสปากแหลมแก้มลิงคนหนึ่งกำลังกลอกตาไปมา ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่ บ้างก็เข้าไปใกล้คนที่กำลังสนทนากัน แล้วลากออกมาหนึ่งคน ก่อนรีบก้มหน้ากระซิบข้างหูของอีกฝ่าย จากนั้นจึงเปิดตรงอกเสื้อแล้วรีบปิดอย่างรวดเร็ว ท่าทางเหมือนกลัวคนจะเห็นเยอะ

เพียงแต่ว่าคนที่ผู้อาวุโสลากออกมาล้วนมีสีหน้าประหลาดใจราวกับไม่เชื่อ แต่ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสกล่าวต่อว่าอย่างไรบ้างถึงทำให้ส่วนใหญ่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่าก็มีบางคนที่ถูกผู้อาวุโสชักจูงไปไกล ยอมตกลงทำการค้าขาย

หากเทียบกับผู้คนหลายร้อยบนลานแล้ว ยามนี้ผู้เข้าร่วมแข่งขันบนภูเขาสูงล้วนสับสนยิ่งกว่า ส่วนใหญ่มองชื่อของโม่ซูที่ไต่ขึ้นมาจากเมื่อคืนวานจนเป็นที่สนใจของพวกเขา ในใจบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ชื่นชม ริษยา หรือเหลือเชื่อ

เหลยเฉินละสายตาจากตราหิน มุมปากยกขึ้นเผยรอยยิ้มซื่อๆ ทว่านัยน์ตากลับฉายแววสงสัย เดินไปพลางขบคิดไปพลาง โม่ซูคนนี้จะใช่ซูหมิงหรือไม่…

หลังจากที่เขาเห็นชื่อของโม่ซูเมื่อคืนวาน ในความคิดพลันปรากฏหน้าของซูหมิง ทว่ายามนี้เมื่อได้เห็นอันดับของโม่ซูสูงขึ้นเรื่อยๆ จนติดอันดับเก้า นอกจากตื่นตะลึงแล้ว เขายังเริ่มลังเลมากขึ้น

“เฮ้อ บางทีอาจจะไม่ใช่เขา…”

เป่ยหลิงเหงื่อชโลมไปทั้งตัว มองอันดับรายชื่อบนตราหิน เห็นคนที่ชื่อโม่ซูพุ่งพรวดขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ส่ายศีรษะเบาๆ ถอนหายใจ

“คนนี้มีความอดทนสูงมาก…..จากวันนี้ไป เขาจะต้องเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างแน่นอน…..แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนเผ่าเขาทมิฬ แต่คำว่าซูในชื่อของเขา…ข้าเกลียดคำนี้” เป่ยหลิงก้มหน้าค่อยๆ เดินต่อไป

และยังมีซือคงที่อยู่ไปไม่ไกล เขาไม่สนใจความรุ่งโรจน์ของโม่ซูอีก ในความคิดของเขา อีกฝ่ายแซงหน้าผู้เข้าแข่งขันไปจำนวนมาก นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะไปเทียบเคียงได้เลย ที่เขาต้องสนใจในตอนนี้คือเป่ยหลิงที่อยู่หน้าเขา

“จะต้องติดหนึ่งในห้าสิบให้ได้!” ซือคงกำหมัดแน่น กัดฟันเดินต่อไป

ส่วนไป๋หลิง นี่เป็นครั้งแรกที่นางมองอันดับรายชื่อนานขนาดนี้ นางมองชื่อของโม่ซู ในใจเกิดความสงสัยเช่นเดียวกับเหลยเฉิน

“จะใช่เขาหรือไม่…” ไป๋หลิงยิ้มด้วยความขมขื่น ส่ายศีรษะ นางทราบดีว่าซูหมิงเป็นนักรบหมาน และก็มีความสามารถอยู่บ้าง แต่นางไม่คิดว่าซูหมิงจะเป็นโม่ซูผู้โดดเด่นคนนี้

เทียบกับพวกเขาเหล่านี้แล้ว คนที่ตึงเครียดอย่างแท้จริง ไม่ใช่เยี่ยวั่งผู้ไม่แยแสต่อทุกสิ่ง และไม่ใช่ปี้ซู่กับเฉินชงที่กำลังขบเขี้ยวกันไม่หยุดหย่อน แต่เป็นอูเซิน!

อูเซินมีสีหน้าตึงเครียด เขากำลังมองอันดับรายชื่อบนตราหิน พลันมีชื่อของโม่ซูเข้ามาติดอยู่ในอันดับสิบเก้า ตอนนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าระหว่างปี้ซู่กับโม่ซู ใครเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุด

ทว่านี่ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขาตึงเครียด สาเหตุคือ หากถูกคนนอกเผ่าแซงหน้าไปได้ก็ถือว่าไม่เป็นอะไร แต่นี่มีคนนอกเผ่าแซงหน้าตนไปได้ถึงสองคน ด้วยเกียรติของเขา ทำให้เขารับไม่ได้

“สมควรตาย!”

อูเซินแผดเสียงตะโกน กัดฟันแม้ใบหน้าขาวซีด ทว่ากลับเดินต่ออย่างบ้าคลั่ง ในหัวของเขาราวกับมีเสียงคำรามกำลังบอกเขาว่าจะถูกแซงหน้าอีกไม่ได้แล้ว!

ในอับดับรายชื่อยี่สิบคนแรก ทุกคนต่างกำลังพยามสุดความสามารถ การเข้ามาของซูหมิงพลันเปลี่ยนรูปแบบของยี่สิบอันดับแรกทั้งหมด ประดุจดั่งก้อนหินโยนลงน้ำ นอกจากเกิดคลื่นน้ำกระเพื่อมแล้ว ยังทำให้ปลาที่อยู่ใต้น้ำตื่นตะลึง

โชคดีที่โม่ซูตัวต้นเหตุของเรื่องนี้ เมื่อเขาเดินมาถึงขั้นสามร้อยเจ็ดสิบเอ็ด พลันหยุดลงอีกครั้ง จนผ่านไปนานก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหว พวกเขาจึงถอนหายใจโล่งอก รีบเดินหน้าต่ออย่างฉับไว ราวกับใช้โอกาสนี้ในการทิ้งห่าง

พวกเขา…กำลังหวาดกลัว

กลัวการเคลื่อนไหวมหัศจรรย์ของคนชื่อโม่ซู กลัวการเปลี่ยนแปลงน่าตะลึงของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาให้ความสนใจกับคนผู้หนึ่งในได้ถึงเพียงนี้ ขณะเดินต่อยังมองอันดับรายชื่อตลอดว่ามีการเคลื่อนไหวหรือไม่

สภาพจิตใจของพวกเขาย่ำแย่ ทั้งยังมีลางสังหรณ์ว่า เมื่อโม่ซูเคลื่อนไหวอีกครั้ง เป็นไปได้สูงมากที่จะติดหนึ่งในสิบได้รวดเร็วประดุจฟ้าร้อง!

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนขั้นสามร้อยเจ็ดสิบเอ็ด แม้เขาจะคาดเดาไว้แล้วว่าตอนนี้ตนอาจจะเป็นที่สนใจของผู้คนจำนวนมาก ทว่าเขากลับคาดไม่ถึงว่า ชื่อของโม่ซูที่เขาสวมรอยกลับเป็นดั่งคลื่นลมพายุคลั่งในงานประลองครั้งนี้

นอกจากเยี่ยวั่ง ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อนี้ กระทั่งจำนวนสายตาของผู้คนที่มองไปยังสามสิบอันดับแรกลดน้อยลง แต่หันกลับไปสนใจแถบรายชื่อของซูหมิง รอคอยการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของเขา

ซูหมิงมีสีหน้าเรียบเฉย หลับตาโคจรโลหิตในร่าง ตอนนี้เส้นเลือดไม่ได้มีหกสิบเจ็ดเส้น แต่มีเจ็ดสิบเอ็ดเส้น!

เส้นเลือดเจ็ดสิบเอ็ดเส้นพันรอบตัวของเขา ขยับแสงสีแดงวูบวาบ หายบ้างปรากฏขึ้นบ้างสลับกันไป ภายใต้การควบคุมความละเอียดอ่อนของซูหมิง ไม่เพียงแต่จะดึงศักยภาพออกมาได้แล้ว มันยังช่วยขัดเกลาร่างกายของเขา ทำให้มีพลังที่แข็งแกร่งขึ้น!

เขาเฝ้าปรารถนาที่จะทราบถึงระดับความเร็วสูงสุดของตัวเองในตอนนนี้ ถึงอย่างไรสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือ ความเร็ว!

เวลาเดินผ่านไป ไม่นานก็เข้าสู่ยามโพล้เพล้ ตลอดช่วงบ่ายนี้ มีหมอกพัดเข้ามาในลานอยู่ตลอดเวลาพร้อมกับผู้เข้าแข่งขันที่ยอมแพ้จำนวนมาก สีหน้าของพวกเขาเริ่มแตกต่างกัน ยิ่งเป็นอันดับต้นๆ ความผิดหวังจะยิ่งน้อย กระทั่งมีบางคนที่ดูตื่นเต้นอยู่บ้าง

ยามพลบค่ำ ท้องฟ้าเริ่มมืด อันดับรายชื่อบนรูปปั้นทั้งเก้า นับตั้งแต่อันดับหกสิบเป็นต้นไปแทบจะเป็นสีเทาทั้งหมด มีเพียงสองชื่อที่ยังคงยืนหยัด

อันดับหกสิบเจ็ด อูลา หนึ่งร้อยห้าสิบเก้าขั้น

อันดับหกสิบเอ็ด ไป๋หลิง หนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดขั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!