Skip to content

สู่วิถีอสุรา 216

ตอนที่ 216 กำแพงหมอกนภา

แดนอรุณใต้กว้างใหญ่ดุจไร้พรมแดน คนปกติแม้ทะลวงถึงขั้นชำระล้าง ก็มีน้อยคนนักที่จะเดินทางครบรอบ ดินแดนแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไปจริงๆ

เคยมีคนคำนวณเอาไว้คร่าวๆ ขั้นชำระล้างต้องใช้เวลาข้ามผ่านแดนอรุณใต้มากกว่าร้อยปี นี่ยังไม่รวมภัยอันตรายหลากชนิดที่ต้องพบเจอระหว่างทาง อีกทั้งในแดนอรุณใต้ยังมีสัตว์ร้ายจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันส่วนหนึ่งกระทั่งสามารถต่อกรกับนักรบขั้นวิญญาณหมาน

ต่อให้เป็นนักรบขั้นเซ่นไหว้กระดูก การเดินทางในแดนอรุณใต้ก็ยังต้องใช้เวลานานนัก อีกทั้งยังต้องระมัดระวัง

“แดนอรุณใต้แบ่งเป็นภายในและภายนอก มีเมืองหมอกนภาเป็นตัวกั้น เมืองนี้สร้างโดยสำนักเหมันต์สวรรค์กับสำนักทะเลตะวันออก มีประวัติศาสตร์หลายพันปี และยังคงสร้างจากภูเขา ท้ายที่สุดก็กลายเป็นกำแพงโอบล้อมแดนรุ้งเช้าตอนใต้” ทางเหนือของแดนอรุณใต้ ณ ยอดเขาที่ถูกโอบล้อมด้วยแสงทอง ชายหนุ่มแซ่เฉินแห่งเหมันต์สวรรค์ยืนอยู่ สายตามองทอดไกล กล่าวขึ้นเรียบๆ

“เมืองหมอกนภาแบ่งเป็นหนึ่งเมืองหลักกับเก้าเมืองรอง คอยเฝ้าระวังกำแพงกั้นระหว่างโลกภายในและภายนอกของแดนอรุณใต้ และเพราะกำแพงนี้ สัตว์ร้ายรวมถึงพวกเชมัน (พวกคนทรงหมอผี) บนแดนอรุณใต้ทั้งหมดถึงไม่อาจเข้ามายังโลกภายในและเข่นฆ่าชาวเผ่าได้โดยง่าย” ชายหนุ่มแซ่เฉินชี้ไปด้านหน้า

ตรงจุดที่เขาชี้ เห็นได้ว่าสุดสายตาเป็นเทือกเขาราวกับกระดูกสันหลังมังกร เชื่อมต่อกันไม่รู้จุดสิ้นสุดเหมือนกำแพงเมือง

“ตรงนั้นคือส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองหมอกนภา ศิษย์น้องหญิงหานเฟยจื่อน่าจะไม่เคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาก่อนกระมัง

หลังจากเจ้าเรียนรู้พื้นฐานแล้วต้องได้รับความสนใจอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นก็น่าจะมีประสบการณ์แล้ว บางทีอาจถูกส่งให้มาเป็นกองรักษาการณ์เมืองหมอกนภา นี่ถือเป็นเกียรติสูงสุดของคนในแดนอรุณใต้”

“สหายซูก็เป็นแม่ทัพเทพ จะรู้ความลับของแดนอรุณใต้สักเล็กน้อยคงไม่เป็นไร ด้วยขั้นพลังและฐานะของเจ้าไม่ช้าก็เร็วคงได้ทราบเรื่องเหล่านี้” ชายหนุ่มแซ่เฉินมองซูหมิงแวบหนึ่ง ใบหน้าเผยรอยยิ้มเป็นมิตร

ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง มองทอดไกลไปทางเทือกเขา ไม่กล่าวสิ่งใด เขาไม่รู้ว่าจากอาคมเคลื่อนย้ายบนยอดเขาเหยียนฉือผ่านมานานเท่าไรแล้ว รู้สึกเพียงว่ามันยาวนานยิ่งนัก จนเมื่อเสียงอึกทึกหายไปและลืมตาขึ้นได้ ก็มาปรากฏตัวอยู่บนยอดเขาแห่งนี้พร้อมกับทั้งสี่คน

จากนั้น สวี่หรูเยวี่ยแห่งสำนักเหมันต์สวรรค์ก็หยิบก้อนหินสีทองออกมาหลายก้อน แล้ววางตามระเบียบบางอย่างบนยอดเขา ขณะวางทีละก้อน ที่นี่ก็ค่อยๆ เปล่งแสงสีทองเด่นชัดมากขึ้นทุกที

“ดีที่มีอาคมเคลื่อนย้ายมิติระดับสี่ ก่อนหน้านี้จากเมืองเขาหานกลับสำนักเหมันต์สวรรค์ต้องใช้วงแหวนอาคมของเมืองหมอกนภาตลอด ทำให้เสียเวลาไปมาก อีกทั้งแม้ก่อนหน้านี้พวกเราเหมันต์สวรรค์จะใช้และทดลองอาคมเคลื่อนย้าย ทว่าก็เคลื่อนย้ายได้ในระยะทางสั้นๆ อีกทั้งยังต้องจ่ายแพง เคลื่อนย้ายหลายรอบจ่ายไปเยอะไม่ว่า แต่ร่างกายก็รับไม่ไหวเหมือนกัน ต้องพักผ่อนหลายสิบวันกว่าจะดีขึ้น

แต่ตอนนี้มีอาคมเคลื่อนย้ายมิติระดับสี่ เคลื่อนย้ายอีกแปดครั้งก็จะกลับถึงสำนักเหมันต์สวรรค์ สะดวกสบายขึ้นเยอะจริงๆ “ ชายหนุ่มแซ่เฉินมองสวี่หรูเยวี่ยจัดวางวงแหวนอาคม ก่อนยิ้มกล่าวกับซูหมิง หานชางจื่อ และหานเฟยจื่อ

“เมืองหมอกนภา?” หานเฟยจื่อมองเทือกเขา ขมวดคิ้วงาม

“ดูท่าศิษย์น้องหญิงหานเฟยจื่อคงไม่รู้จักเมืองนี้จริงๆ ทว่าก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากข้าเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์ก็เพิ่งรู้ความลับพวกนี้ของแดนอรุณใต้ สหายซูเคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาก่อนหรือไม่?”

ชายหนุ่มแซ่เฉินยิ้มบางมองซูหมิง เขามั่นใจว่าซูหมิงต้องได้เข้าสำนักอย่างแน่นอน อีกทั้งในภายภาคหน้าคงมีฐานะไม่ด้อยไปกว่าหานเฟยจื่อ กระทั่งเป็นไปได้มากว่าอาจสูงกว่า ดังนั้นเขาจึงผูกมิตรเชื่อมสัมพันธ์เอาไว้ และด้วยเหตุนี้เขาจึงตั้งใจเล่าเรื่องที่คนนอกไม่ควรจะรู้ให้ฟัง

“ไม่เคยได้ยินมาก่อน” ซูหมิงมองเทือกเขาไกลๆ พลางกล่าวอย่างสงบนิ่ง

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แซ่เฉินจะพาศิษย์น้องหญิงหานเฟยจื่อกับสหายซูเข้าไปใกล้กำแพงเมืองเทือกเขาหมอกนภาอีกหน่อย จะได้อธิบายให้ฟังอย่างละเอียดด้วย”

ชายหนุ่มแซ่เฉินยิ้มกล่าว หันกลับไปมองสวี่หรูเยวี่ยที่กำลังวางวงแหวนอาคมแวบหนึ่ง

“ยังต้องใช้เวลาอีกห้าชั่วยามถึงจะวางอาคมเสร็จและเคลื่อนย้ายครั้งที่สอง ศิษย์น้องหญิงหานชางจื่ออยู่คุ้มกันให้ข้าก็แล้วกัน” สวี่หรูเยวี่ยปาดเหงื่อตรงหน้าผาก เห็นเฉินลั่วปิ่งมองตนจึงยิ้มกล่าว

นางจัดวางวงแหวนอาคม วางหินสีทองย่อมต้องมีการคำนวณเวลา เรื่องพวกนี้สวี่หรูเยวี่ยยังไม่ชำนาญจึงต้องใช้สมาธิและระวังอย่างมาก

“ดี รบกวนศิษย์น้องหญิงสวี่ด้วย พวกเราจะไปไม่ไกล หากมีอะไรเกิดขึ้นจะรีบกลับมาทันที” เฉินลั่วปิ่งพยักหน้า มองหานชางจื่อ

“รบกวนศิษย์น้องหญิงฟางด้วย”

หานชางจื่อมีสีหน้าเรียบๆ กวาดสายตามองซูหมิงแล้วพยักหน้า

“สหายซู ศิษย์น้องหญิงเหยียน เชิญ!” เฉินลั่วปิ่งผายมือ ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวทะยานไกลออกไป หานเฟยจื่อมีสีหน้าเย็นชาตลอด ยามนี้ใต้ฝ่าเท้าปรากฏเมฆขาวพาร่างงามลอยตามไปติดๆ

ส่วนซูหมิงตามไปอย่างไม่เร่งรีบ ทั้งสามคนกลายเป็นสายรุ้งยาวมุ่งหน้าไปทางกำแพงเทือกเขาเมืองหมอกนภา

“หากพูดถึงเมืองหมอกนภาก็ต้องพูดถึงกำแพงกั้นระหว่างโลกภายในและภายนอกของแดนอรุณใต้ โลกภายในของแดนรุ้งเช้าตอนใต้คือจุดที่พวกเราอยู่ โลกภายในกว้างใหญ่ยิ่งนัก ทิศตะวันออกเป็นเขตแดนของเผ่าใหญ่สำนักทะเลตะวันออก ส่วนทิศเหนือเป็นของสำนักเหมันต์สวรรค์ ทว่าหากเทียบกับดินแดนโลกภายนอกแล้ว เขตที่พวกเราอยู่เป็นเพียงส่วนเล็กของแดนอรุณใต้ทั้งหมดเท่านั้น”

เสียงชายหนุ่มแซ่เฉินดังแว่วเข้ามา ด้วยความเร็วของทั้งสามคนจึงค่อยๆ เข้าใกล้กำแพงเทือกเขาเมืองหมอกนภา

ห่างจากกำแพงเมืองประมาณหลายพันจั้ง เสียงของเขายังคงกึกก้องข้างหูซูหมิง ทันใดนั้น กำแพงหมอกนภาที่ห่างไปหลายพันจั้งพลันมีแรงกดดันมหาศาลแผ่ขยายเข้ามาทางทั้งสามคน

“แดนต้องห้ามของหมอกนภา ห้ามบุกรุก!” น้ำเสียงเย็นชาดังกึกก้องแปดทิศราวสายฟ้าผ่าดังแว่วเข้ามา

หานเฟยจื่อสีหน้าเปลี่ยน นางแทบจะยืนไม่อยู่ เมฆขาวใต้ฝ่าเท้าคล้ายจะแหลกสลาย ขั้นพลังของนางอ่อนแอที่สุด ขณะตื่นตะลึงมีพลังงานอ่อนนุ่มส่งมาจากด้านหลัง ปกคลุมรอบตัวทำให้นางยืนได้อย่างมั่นคง

ซูหมิงยืนอยู่ข้างหานเฟยจื่อ ใช้มือขวาจับเอวนางไว้เบาๆ

หานเฟยจื่อหน้าแดงเรื่อ ทว่ากลับไม่อาจปฏิเสธ เพียงยืนอยู่ข้างซูหมิง มองกำแพงเทือกเขาที่มาของเสียงซึ่งห่างไปหลายพันจั้ง

“เฉินลั่วปิ่งศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ คารวะอาจารย์อากองรักษาการณ์แดนแห่งนี้” เฉินลั่วปิ่งก็ตื่นตะลึงเช่นกัน แต่กลับมิได้ลนลาน เห็นได้ชัดว่ามิได้แปลกใจกับเสียงนี้สักเท่าไร ยามนี้เขาคารวะไปทางกำแพงเทือกเขาด้วยความนอบน้อม

“เห็นตั้งนานแล้วว่าพวกเจ้ามาจากอาคมเคลื่อนย้าย เหตุใดไม่อยู่ตรงนั้น มาตรงนี้เพื่ออะไร!” เสียงเย็นชาดังแว่วมาเรียบๆ

“อาจารย์อา รุ่นเยาว์รับคำสั่งจากอาจารย์ใหญ่ฝ่ายซ้ายให้ไปรับศิษย์ที่เมืองเขาหาน ระหว่างผ่านทางก็เลยอยากเห็นกำแพงแดนอรุณใต้สักหน่อย พวกข้าจะไม่เข้าไปไกล้กว่านี้แล้ว เพียงแค่มองอยู่ตรงนี้ หวังว่าอาจารย์อาจะผ่อนผัน” เฉินลั่วปิ่งรีบกล่าว

ช่วงที่กล่าวจบ ซูหมิงรู้สึกว่าแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามายังตัวเขาและหานเฟยจื่อหายไป ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงอุทานเบาๆ กึกก้อง

“เข้ามาเถอะ ในเมื่ออยากดูก็มายืนบนกำแพงดูโลกภายนอกของแดนอรุณใต้เสีย” ผ่านไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงเย็นชาที่อ่อนลงดังแว่วมา

“ขอบคุณอาจารย์อา!” ชายแซ่เฉินตะลึงงัน รีบประสานมือคารวะด้วยความเคารพ หันกลับไปมองซูหมิงแวบหนึ่ง เขามิใช่คนโง่ ที่เขามานี่ก่อนก็เพราะทราบแล้วว่ากองรักษาการณ์ตรงนี้เป็นผู้อาวุโสของสำนักเหมันต์สวรรค์ จึงไม่น่าจะปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงใช้สิ่งนี้เพื่อผูกมิตรกับซูหมิง กลับไม่คิดเลย ไม่รู้ว่าเป็นอาจารย์อาท่านใดอนุญาตให้พวกเขายืนบนกำแพงได้

“นี่เป็นขอบเขตของสำนักเหมันต์สวรรค์ ดังนั้นกองรักษาการณ์นอกกำแพงเมืองหมอกนภาจึงเป็นผู้อาวุโสของสำนักเหมันต์สวรรค์ พวกเราก็เลยเข้าไปใกล้ได้ หากอยู่ในเขตของสำนักทะเลตะวันออกคงถูกขับไล่ออกไปแล้ว กระทั่งหากทำตัวเสียมารยาทอาจเกิดอันตราย”

ซูหมิงมองเฉินลั่วปิ่งแวบหนึ่ง ภายใต้สายตาของเขา ชายแซ่เฉินยิ้มชวนคุย พลางกล่าวเบาๆ

“จริงๆ แล้วข้าก็ไม่เคยเข้าใกล้ถึงขนาดขึ้นไปยืนบนกำแพงเหมือนกัน”

“ไปกันเถอะ ข้าอยากรู้จักแดนแห่งนี้ยิ่งนัก” ซูหมิงละสายตากลับ ก่อนยิ้มกล่าว

ขณะทั้งสามคนเข้าใกล้ ความรู้สึกกดดันหนาแน่นค่อยๆ เกาะกุมในจิตใจของซูหมิง กำแพงเทือกเขาแห่งนี้หากมองไกลๆ จะทรงพลังยิ่งนัก ยามนี้พอได้เข้าใกล้ก็ยิ่งรู้สึกมากกว่าเดิม

เมื่ออยู่ต่อหน้ามันก็อดเกิดความรู้สึกเล็กจ้อยมิได้ ระดับความสูงของมัน หากแหงนหน้าจากตีนเขาจะเกิดความรู้สึกราวกับเชื่อมถึงสวรรค์

หานเฟยจื่อหายใจกระชั้นถี่ นางมองกำแพงเทือกเขาตรงหน้า ยากจะจินตนาการถึงเทือกเขาเช่นนี้ โอบล้อมทั้งแดนอรุณใต้กลายเป็นกำแพง

ระยะห่างหลายพันจั้งบีบเข้ามาอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งทั้งสามคนยืนบนเทือกเขากำแพง แรงกดดันปกคลุม ภายใต้แรงกดดันหานเฟยจื่อหน้าซีดราวกับไม่อาจทนรับไหว หากมิใช่เพราะนางยืนข้างซูหมิง มีซูหมิงคอยชะล้างแรงกดดันให้นางมากกว่าครึ่ง เกรงว่าคงไม่มีทางยืนไหว

ยามนี้ซูหมิงตื่นตะลึง เขายืนบนยอดเทือกเขามองไปเบื้องหน้า ในสายตาของเขาเห็นแผ่นดินใหญ่หาสุดขอบเขตมิได้อยู่ไกลๆ

แผ่นดินใหญ่นี้คือแดนอรุณใต้เหมือนกัน ทว่ากลับอยู่นอกกำแพง ดินบนพื้นเป็นสีดำ มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งมาตามลม พลันเกิดความรู้สึกอ้างว้าง

ดินแดนรกร้าง ท้องฟ้าหาสุดขอบมิได้ และยังมีป่าทึบไร้พรมแดนกับเงาดำภูเขาเลือนรางบางแห่ง กระทั่งยังได้ยินเสียงคำรามดังแว่วมาไกลๆ โดยเฉพาะบนแผ่นดินใหญ่ยังมีโครงกระดูกจำนวนไม่มาก กระดูกพวกนั้นใหญ่และหนายิ่งนัก มองแวบแรกก็ทราบเลยว่าเป็นของสัตว์ร้าย

โลกภายในและภายนอกกำแพงราวกับแบ่งเป็นสองโลก!

เฉินลั่วปิ่งข้างกาย ยามนี้ตื่นตะลึง เขาเพิ่งมาเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน ยืนอยู่บนกำแพงมองโลกภายนอก

“ไม่อยากเชื่อว่าศิษย์ที่อาจารย์ใหญ่ฝ่ายซ้ายรับในครั้งนี้จะมีแม่ทัพเทพด้วย!” น้ำเสียงเย็นชาดังมาจากด้านหลังคนทั้งสาม มวลอากาศด้านหลังพวกเขาบิดเบี้ยวก่อนมีชายวัยกลางคนเดินออกมา

เขาสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ เส้นผมถักเป็นเปียเล็กจำนวนมาก รูปร่างไม่สูงนัก อีกทั้งยังผอมแห้งเล็กน้อย ใบหน้าธรรมดา ทว่านัยน์ตากลับเปล่งประกายเด่นชัด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!