ตอนที่ 269 บทเพลงเทพหมาน
หลังจากคำพูดของชายชราดังขึ้น เขาแหงนหน้าคำรามขึ้นฟ้า เสียงคำรามฟังไม่เหมือนเสียงมนุษย์ แต่เหมือนกับสัตว์ป่า
ชั่ววินาทีที่เขาคำราม มีหมอกดำหลายเส้นลากยาวเข้ามาจากทุกสารทิศของป่าทึบ มันเคลื่อนที่รวดเร็วยิ่งนัก เร็วกว่าเงาของไป๋ฉางไจ้ที่กำลังทะยานเข้าใกล้ แทบเป็นช่วงพริบตาเดียว ทั้งแผ่นดิน ทั้งป่าทึบ ก็ถูกหมอกดำไร้สิ้นสุดเข้าปกคลุม
ณ ส่วนลึกของป่าทึบ ภายในชนเผ่าของชายชรา ยามนี้ชาวเผ่าเชมันทั้งหมดล้วนคุกเข่าลงกับพื้น พวกเขาจับมือกัน สีหน้าศรัทธา ล้อมรอบรูปปั้นสีดำขนาดสิบกว่าจั้งแล้วกราบไหว้ไม่หยุด
ลักษณะของรูปปั้นไม่ใช่คน แต่เป็นกิ้งก่ายักษ์ตัวหนึ่ง มันมีสีหน้าดุร้าย ทั้งตัวแผ่กลิ่นอายพลังชั่วร้ายและเหี้ยมโหด มันกำลังเงยหน้ามองท้องฟ้า ในปากกัดเด็กคนหนึ่ง เหมือนเด็กคนนั้นจะยังไม่ตาย กำลังดิ้นรนพร้อมกับร้องไห้
รูปปั้นดังกล่าวสมจริงราวกับมีชีวิต สีหน้าของเด็กคนนั้นชัดเจนไร้ที่เปรียบ ท่าทางดูเจ็บปวด แววตาสิ้นหวัง ทั้งยังได้ยินเหมือนเสียงร้องโหยหวนเจ็บปวด
และเห็นได้ว่าบนใบหน้าเด็กน้อยมีลายสักที่มิใช่ของเผ่าเชมัน มันคือ…ลายหมาน!
ใต้รูปปั้น ตรงแขนขาทั้งสี่ของกิ้งก่ามีรูปปั้นคนยืนอยู่สามคน
เป็นชายชรา หญิงสาว และชายหนุ่ม รูปปั้นคนทั้งสามนี้เหมือนกำลังร้องโหยหวน บนใบหน้าพวกเขามีลายหมานอย่างชัดเจน
รอบรูปปั้นน่าสะพรึง มีชาวเผ่าเชมันหลายร้อยคนล้อมรอบเป็นวงกลมหลายวง ในนั้นมีชายชรา เด็ก สตรี และมีนักรบเชมัน เสียงของพวกเขาหล่อหลอมเข้าด้วยกัน
ส่งเสียงออกไปช่วงที่หมอกดำปกคลุมฟ้าดิน ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเสียงนี้แฝงไว้ด้วยความเย็นเยือกชั่วร้ายไร้ที่สิ้นสุด เมื่อเข้าถึงหูหัวใจจะเต้นแรงขึ้น จิตใจตื่นกลัว เกิดความหนาวเหน็บขึ้นทั้งตัว
ขณะเดียวกัน ตรงจุดที่ซูหมิงต่อสู้กับชายชราเผ่าเชมัน ร่างกายของชายชรากลายเป็นจุดรวมหมอกดำ หมอกดำมหาศาลตรงเข้ามาโอบล้อมตัวชายชราเอาไว้อย่างต่อเนื่อง เมื่อห่อหุ้มแล้วก็กลายเป็นกิ้งก่ายักษ์ตัวหนึ่ง!
กิ้งก่าตัวนี้นอนหมอบกับพื้น มันสะบัดหางไปมาตามสัญชาตญาณ ดวงตาเป็นแสงสีแดง แลบลิ้นแผลบๆ แหงนหน้าคำรามขึ้นฟ้า รูปร่างของมันเหมือนกับรูปปั้นสัตว์ที่ชาวเผ่าเชมันนับร้อยกำลังกราบไหว้ในชนเผ่าของพวกเขาทุกประการ!
ขนาดของมันราวหลายร้อยจั้ง อีกทั้งจากการที่หมอกดำหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด ตัวมันยังพองบวมขึ้น กลิ่นอายพลังจากตัวเต็มไปด้วยความชั่วร้ายเย็นเยือก จากเสียงคำราม จากเสียงบดเคี้ยวในปากของมัน ทำให้เกิดเสียงหอบหายใจที่ซูหมิงเคยได้ยินอีกครั้ง
ตอนนี้ซูหมิงรู้แล้วว่าเสียงนั้นเป็นของใคร!
ขณะเดียวกับที่กิ้งก่าคำราม มันพลันหันศีรษะจ้องเงาของไป๋ฉางไจ้ที่กำลังห้อเหยียดเข้ามา ช่วงที่มองไป ซูหมิงสัมผัสได้ทันทีว่าดวงตาของกิ้งก่าตัวนี้มีสี่ลูกตา!
ตอนที่มันมองเงาเสี้ยวจิตของไป๋ฉางไจ้ หางยักษ์พลันสะบัด ส่งเสียงลากยาวน่าสะพรึงเฆี่ยนเข้าใส่อากาศ ทำให้มวลอากาศตรงจุดที่หางมันผ่านเกิดรอยแยกดำมืดชั่วพริบตา แล้วตรงเข้าใส่ไป๋ฉางไจ้
เงาของไป๋ฉางไจ้ไม่หยุดแม้แต่น้อย ยามนี้เขาหายไปแล้วมากกว่าครึ่ง จนแทบจะโปร่งใส จังหวะที่หางกิ้งก่าสะบัดใส่ เขายกมือขวาขึ้นปล่อยหมัดเข้าไป
หมัดนี้ดูเหมือนธรรมดานัก ทว่าเมื่อปะทะกับหางกิ้งก่า กิ้งก่ากลับกระเด็นถอยไปหลายก้าว ตรงหางมันมีรอยแตก เลือดเนื้อกระเด็นไปทั่ว ทว่าขณะเดียวกัน เงาของไป๋ฉางไจ้เลือนรางมากขึ้น เหมือนกับจะหายไปได้ทุกเมื่อ
ทันใดนั้น กิ้งก่ายักษ์พลันกระโดดลอยขึ้นจากที่ไกล รวมหมอกดำไว้จำนวนมากกลางอากาศ ก่อนกลายเป็นเหมือนภูเขาเล็กขนาดเกือบหนึ่งร้อยจั้งพุ่งเข้าใส่ไป๋ฉางไจ้
“พลังการแบ่งจิตของเจ้าจะหายไปแล้ว ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะรับมือกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าข้าอย่างไร!” น้ำเสียงแหบพร่าเลือนรางดังมาจากปากกิ้งก่า ขณะเสียงกึกก้องโดยรอบ เงาของมันเข้าใกล้ไป๋ฉางไจ้อย่างรวดเร็ว
ซูหมิงยืนขึ้น ดวงตาขวาขยับประกายแสงโลหิต เขายกมือขวา สีหน้าเด็ดขาด ด้านหลังเขาปรากฏเงามายาภูเขาทมิฬ ห้ายอดเขาภูเขาทมิฬปล่อยแรงกดดันออกมาพร้อมกัน เมื่อซูหมิงชี้มือขวา มันก็ตรงเข้าใส่กิ้งก่ายักษ์
แทบเป็นตอนที่กิ้งก่ายักษ์เข้าประชิดตัว ร่างที่เลือนรางของไป๋ฉางไจ้เงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างพลันเปล่งประกายแรงกล้า ในประกายแสงมีความกระหายในการต่อสู้ที่ไม่อาจบรรยาย
มันเป็นความกระหายในการต่อสู้ที่บ้าคลั่งและร้อนแรงเพียงพอจะแผดเผาดวงตาของเขา ขณะที่ประกายแสงปรากฏ ไกลออกไปบนกำแพงหมอกนภานอกขอบเขตไร้พรมแดน ร่างจริงของไป๋ฉางไจ้กำลังนั่งฌานสมาธิอย่างเงียบๆ ยามนี้เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเปล่งประกายเช่นกัน ร่างกายผ่ายผอมลงไป!
เวลาเดียวกัน สนามรบในป่าทึบของแผ่นดินเผ่าเชมัน ร่างแยกของไป๋ฉางไจ้จากในสภาพมายาโปร่งใสพลันเหมือนของจริงอีกครั้ง ระหว่างที่ดวงตาทั้งสองข้างปะทุความกระหายในสงครามอย่างบ้าคลั่ง หมัดขวาของเขาตรงเข้าใส่กิ้งก่าที่ใกล้เข้ามา
เสียงระเบิดดังก้องแปดทิศ หมัดของไป๋ฉางไจ้อัดเข้าใส่ตัวกิ้งก่ายักษ์ ด้วยหมัดนี้ทำให้ร่างกายเขาหายไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่ลมหายใจก็แทบจะโปร่งใสอีกครั้ง
กิ้งก่าคำรามเสียงแหลม จุดที่ถูกไป๋ฉางไจ้ต่อยเริ่มปริแตก บาดแผลลุกลามไปทั้งตัว ร่างกายใหญ่โตของมันเหมือนจะทนรับการโจมตีครั้งนี้ไม่ไหว พลันกระเด็นถอยไป
ร่างที่กำลังจะหายไปของไป๋ฉางไจ้เดินหน้าหนึ่งก้าว มาปรากฏตัวอยู่หน้ากิ้งก่า แล้วยกมือขวาขึ้น ครั้งนี้มิใช่ฝ่ามือ มิใช่หมัด แต่เป็นการกดนิ้วตรงหัวของกิ้งก่า
ขณะเขายกมือขึ้นกำลังจะกดลงไป ซูหมิงที่อยู่ไม่ไกลนักมีความรู้สึกเหมือนท้องฟ้าพลันสว่างในค่ำคืนมืดมิด
“นิ้วนี้ข้าสร้างขึ้นเอง ชื่อของมันคือไป๋ (ขาว)!” เสียงสงบนิ่งดังขึ้น นิ้วชี้มือขวาของไป๋ฉางไจ้เหมือนกลายเป็นสีขาวที่ขับไล่ค่ำคืนมืดมิดได้ กลายเป็นจุดสว่างไสวที่สุดกลางฟ้าดิน ก่อนกดใส่ตัวกิ้งก่ายักษ์ในชั่วพริบตา
ตัวกิ้งก่าพลันกลายเป็นสีขาวสว่างจ้าถึงขีดสุด เสียงระเบิดดังก้องฟ้า เสียงร้องโหยหวนของกิ้งก่าดังสะเทือนเลื่อนลั่น ขณะเดียวกันตัวมันแตกกระจายทั้งหมด ไม่ได้เริ่มจากหัวตรงจุดที่ไป๋ฉางไจ้กด แต่เริ่มจากบริเวณหาง หางของมันปริแตกกลายเป็นหมอกดำหายไป เผยให้เห็นขาซ้ายของชายชราเผ่าเชมัน
ต่อมาลำตัวปริแตกเป็นหมอกดำหายไปอย่างต่อเนื่อง เผยให้เห็นขาขวาบิดเหมือนคุกเข่าและตัวชายชราเผ่าเชมัน
จากนั้นตัวมันปริแตกลุกลามมาจนถึงขาหน้า หลังจากเสียงปริแตก บริเวณหัวจุดที่ไป๋ฉางไจ้กดพลันระเบิดกระจุย หมอกดำจำนวนมากค่อยๆ หายไป เผยให้เห็นศีรษะของชายชราเผ่าเชมัน ใบหน้าขาวซีด กระอักโลหิต
เมื่อกดนิ้วนี้แล้ว ไป๋ฉางไจ้ถอนหายใจเบาราวกับยังเสียดายอยู่เล็กน้อย ร่างเลือนรางของเขาไม่อาจคงรูปต่อได้อีก จึงหายไปพร้อมกับหมอกดำจากร่างกิ้งก่ารอบด้าน
แทบเป็นช่วงที่ไป๋ฉางไจ้หายไป ภูเขาทมิฬจากลายหมานของซูหมิงกระแทกเข้าใส่ชายชราเผ่าเชมันที่กำลังกระอักโลหิตอย่างแรง ช่วงเวลาเดียวกัน ซูหมิงห้อเหยียดเข้าไปราวกับสายฟ้า ดวงตาขวาขยับประกายแสงโลหิต ปรากฏชนเผ่าภาพมายาแห่งหนึ่งบริเวณชายชรา
ชนเผ่านั้นก็คือเผ่าเขาทมิฬ!
ขณะเดียวกับที่เผ่าเขาทมิฬปรากฏ โลกรอบตัวชายชราปรากฏจันทร์โลหิตที่ราวกับกำลังลุกไหม้หนึ่งดวง!
ภาพจันทร์โลหิตเขาทมิฬ!
เมื่อภาพนี้ปรากฏอย่างสมบูรณ์ก็เหมือนกลายเป็นมิติแห่งหนึ่ง ภายในมีแรงกดดัน ทำให้ชายชราเผ่าเชมันที่กำลังบาดเจ็บสาหัสกระอักโลหิตอีกครั้ง แววตาพร่าเลือน ทว่ากลับดูคลุ้มคลั่ง
แม้เขาจะบาดเจ็บสาหัส กลับยังไม่ยอมแพ้ บนแผ่นดินเผ่าเชมันของเขา โดยเฉพาะในป่าทึบอันเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์แห่งลายสักพวกเขา พลังชีวิตของเขาจึงเปี่ยมล้น ไม่มีทางตายง่ายๆ
ซูหมิงห้อเหยียดเข้ามาใกล้ เหมือนในภาพภูเขาทมิฬมีลายเส้นเพิ่มเข้ามา เขาตรงเข้าใกล้ชายชรา วินาทีนั้นชายชราแผดเสียงตะโกนแล้วตรงเข้ามา ก่อนทั้งสองคนจะปะทะเข้าใส่กัน
เสียงอึกทึกดังกังวาน การโจมตีของห้ายอดเขาภูเขาทมิฬ ความเศร้าโศกจากบ้านเรือนทั้งหมดในชนเผ่า และยังมีแสงสีแดงจากจันทร์โลหิตบนท้องฟ้า หล่อหลอมเข้ากับเงาร่างของซูหมิง ทำให้ลายเส้นที่เพิ่มมาในภาพภูเขาทมิฬใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ
ช่วงที่ทั้งสองคนเข้าใกล้กัน ซูหมิงยกมือขวาวาดลายเส้นเข้าใส่ชายชรา!
ตอนลายเส้นนี้ปรากฏ ภาพภูเขาทมิฬเคลื่อนไหว ขณะบิดเบี้ยวก็เหมือนกลายเป็นน้ำหมึก ถูกลายเส้นนี้ตวัดขึ้นก่อนหลอมรวมประสาน วาดเข้าใส่ชายชราเผ่าเชมัน!
ขณะเดียวกัน ความรู้สึกเศร้าโศกที่ผ่านกาลเวลามาแสนนานปรากฏในลายเส้นของซูหมิง ความรู้สึกนี้ต่อให้เป็นลายเส้นที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก่อนหน้านี้ก็ยังไม่เคยมีมาก่อน มีแค่ตอนประมือกับซือหม่าซิ่นเท่านั้นถึงจะมีกลิ่นอายพลังเช่นนี้อยู่ในลายเส้น
หลังกลิ่นอายพลังปรากฏ มีเสียงลอยมาจากที่ห่างไกล มันเหมือนไม่มีอยู่จริงและเหมือนมีอยู่จริง กึกก้องมาจากในลายเส้นของซูหมิง
“ตอนข้าเกิดชีวิตข้าไม่มีความหมาย…” ลายเส้นตวัดขึ้น
“หลังจากข้าเกิด…หมานเสื่อมถอยแล้ว…” ลายเส้นตวัดลง
“ฟ้าไม่มีเมตตา สร้างสงครามวุ่นวายจนผู้คนต้องเร่ร่อน…” ซูหมิงเงยหน้า แววตาเศร้าโศก
“ปฐพีไม่มีเมตตา ทำให้ภูเขาทมิฬของข้าต้องถูกทำลาย…” ลายเส้นนี้ม้วนรอบภาพภูเขาทมิฬ ม้วนรอบทุกสิ่งของซูหมิง แล้วลากผ่านหน้าอกของชายชราเผ่าเชมัน
การลากเส้นผ่านครั้งนี้ ซูหมิงรู้ดีว่าการสร้างภาพวาดของตน ตั้งแต่แรกมาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็สร้างอย่างสมบูรณ์ มันแฝงไว้ด้วยกาลเวลาที่ตนเคยผ่าน แฝงไว้ด้วยความรู้สึกของเขา แฝงไว้ด้วยโลกของเขา….
หากซือหม่าซิ่นอยู่ตรงนี้ เมื่อเห็นลายเส้นของซูหมิงจะต้องตะลึงเป็นอย่างยิ่ง หากเขาได้ยินเสียงจากในลายเส้น ระดับความตะลึงของเขาคงเรียกได้ว่าถึงขีดสุด
เพราะสี่ประโยคนี้ นอกจากประโยคแรกที่ปรากฏขึ้นจากรูปแบบแรกของวิชาเปลี่ยนเทพหมานแล้ว ประโยคที่เหลือต่างจากบทเพลงเทพหมานโดยสิ้นเชิง
เพราะวิชาเปลี่ยนเทพหมานมีต้นกำเนิดมาจากบทเพลงสงครามเผ่าหมานที่สร้างขึ้นในยุคสมัยเทพหมานรุ่นหนึ่ง และเป็นยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุด มีชื่อว่า…บทเพลงเทพหมาน!