Skip to content

สู่วิถีอสุรา 839

ตอนที่ 839 ข้าคือเจ้าแห่งโลกนี้

สิบปีต่อมา

เวลาสิบปีไม่ได้นานนัก สำหรับผู้ฝึกฌานที่มีอายุขัยยืนยาวเหล่านั้นเป็นเพียงการนั่งฌานชั่วคราวหนึ่งครั้งเท่านั้น พวกเขาใช้เวลาได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นสิบปี ร้อยปี หรือนานกว่านั้น

จุดนี้คือสิ่งที่ทำให้คนธรรมดาอิจฉาและเฝ้าใฝ่หา บางทีชีวิตยืนยาวอาจเป็นความปรารถนาที่คนธรรมดาอยากจะเป็นผู้ฝึกฌาน แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด

นอกจากชีวิตยืนยาวแล้ว ยังใช้เวลาตามใจได้อย่างไม่เสียเปล่า และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่อยากจะเป็นผู้ฝึกฌาน

สำหรับคนธรรมดาแล้ว ถึงเวลาสิบปีจะไม่ใช่ชั่วชีวิต ทว่าก็เป็นการรำลึกความทรงจำช่วงหนึ่ง สิบปีก่อนบางทีข้างกายเจ้าอาจมีคนอยู่เป็นเพื่อน สิบปีก่อนบางทีเจ้าอาจจะยังเป็นเด็กหนุ่มที่ชอบได้ใจ สิบปีก่อนเจ้าอาจไม่รู้จักการรักทะนุถนอม สิบปีก่อนเจ้าอาจยังมีความสุข มีรอยยิ้มซื่อๆ อย่างไร้ความทุกข์

ทว่าสิบปีต่อมา…

ได้เพียงมองเมฆขาวฟ้าสีคราม มองตะวันขึ้นลงพลางถอนหายใจ…ว่าเหตุใดตนถึงยังเป็นคนธรรมดา

สิบปีสามารถเปลี่ยนคนธรรมดา ทว่าเปลี่ยนผู้ฝึกฌานได้ไม่มากนัก แต่ว่าสามารถความทรงจำช่วงหนึ่งค่อยๆ ฝังอยู่ในก้นบึ้งหัวใจ ราวกับระลอกคลื่นจากสายพิณ หากไม่มีสองมือดีดก็จะไม่เกิดเสียง

ความตื่นตะลึงในแดนแผ่นศิลาแสนอันเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นเดิม กลายเป็นความรู้สึกนึกคิดในก้นบึ้งหัวใจที่ทุกคนที่นี่ไม่ยอมพูดถึง ทว่าแววตาที่มีความรู้สึกนึกคิดนี้กลับมองแผ่นศิลาหนึ่งด้วยความหวาดกลัวเป็นบางครั้ง มันคือแผ่นศิลาสูงแสนจั้งที่สลักนามโม่ซูเอาไว้ด้านบน!

สิบปีก่อน แผ่นศิลาแสนอันแตกไปหนึ่งหมื่น ผู้ฝึกฌานตายไปหมื่นคน สร้างความตื่นตกใจไปทั้งแดนประหลาด ทำให้ทุกคนหวาดกลัว สิบปีต่อมา แม้ว่าความหวาดกลัวและตระหนกตกใจจะถูกฝังอยู่ในก้นบึ้งหัวใจ แผ่นศิลาของโม่ซูที่เป็นศิลาหนึ่งเดียวซึ่งคงอยู่หลังภัยพิบัติครั้งนั้นเมื่อสิบปีก่อน กลับเป็นจุดรวมสายตาจำนวนมากในสิบปีนี้

ในสายตาเหล่านั้นมีโจวคัง มีคนที่มาล่าสังหารซูหมิง และมีคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่ก่อนแล้ว

บางทีพวกเขาอาจไม่ได้เฝ้ารออย่างดื้อดึง ไม่ได้อยากรู้อยากเห็นอะไรมากนัก ทว่าความรุนแรงของหายนะเมื่อสิบปีก่อนทำให้พวกเขามีบางอย่างเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย นั่นคือเดาว่าหายนะนี้จะต้องเกี่ยวกับแผ่นศิลาของโม่ซูอย่างยิ่งแน่นอน

พวกเขากำลังรอโดยจิตใต้สำนึก รอมาสิบปีโม่ซูก็ยังไม่ปรากฏตัว เมื่อถึงตอนที่ปรากฏตัว บางทีพวกเขาอาจหาสาเหตุการเกิดภัยพิบัติเมื่อสิบปีก่อนพบ

ในสิบปีนี้ ฟ้ากระจ่างดาวแสนแห่งอันเป็นที่อยู่ของเอ้อชางสีม่วง มีครึ่งหนึ่งไม่มีเส้นเขตแดนแล้ว แต่หลอมรวมเข้าด้วยกัน ซูหมิงยังหลับใหลอยู่ ไม่มีสัญญาณว่าจะตื่นขึ้น

ผ่านไปอีกสิบปี

ฟ้ากระจ่างดาวแสนแห่งหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ ขั้นตอนต่อไปก็เป็นการหลอมรวมของหัวใจที่ถูกย้อมเป็นสีดำแสนดวง

จนกระทั่งซูหมิงหลับมาหกสิบปี ราวกับว่าผู้คนในแดนเก้าหมื่นศิลาจะชินกับแผ่นศิลาของซูหมิงที่ตั้งตระหง่านมานาน ชินกับการที่ไม่มีใครออกมาจากแผ่นศิลาแล้ว และก็เคยชินว่าแผ่นศิลาหนึ่งแสนอันที่นี่จะเป็นเก้าหมื่นอันไปตลอดกาล

ในเวลาหกสิบปีนี้ มีคนเข้ามาใหม่หลายพันคน

พวกเขาไม่รู้เรื่องหายนะเมื่อหกสิบปีก่อน สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือแผ่นศิลาเก้าหมื่นอัน จึงคิดว่าที่นี่…มีแผ่นศิลาเพียงเก้าหมื่นอันอยู่แล้ว

ในหกสิบปี ในโลกของซูหมิง หลังจากฟ้ากระจ่างดาวแสนแห่งหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์จนกลายเป็นผืนฟ้าใหญ่ไพศาลยิ่งแล้ว หัวใจสีดำแสนดวงก็ค่อยๆ รวมกันโดยสมบูรณ์ จากหนึ่งแสนส่วนกลายเป็น…หัวใจดวงเดียวลอยอยู่กลางฟ้ากว้างใหญ่

ทว่าซูหมิงก็ยังคงหลับใหล เพราะขั้นต่อมาคือการหลอมรวมของเอ้อชางแสนต้น เอ้อชางสีม่วงแสนส่วน เพื่อรวมเป็นร่างกายใหญ่ยักษ์

จนกระทั่งผ่านไปอีกหกสิบปี

รวมแล้วหนึ่งร้อยยี่สิบปี

สิบปีเหมือนกับหนึ่งความทรงจำ ร้อยปีคือหนึ่งตำนาน ตำนานนี้เป็นเช่นนี้สำหรับคนธรรมดา แต่สำหรับผู้ฝึกฌานที่อยู่ในแดนศิลาเก้าหมื่นอันที่มีความซ้ำซากเฉพาะตัวแล้ว หลังจากที่พวกเขาเข้าสู่โลกแผ่นศิลา ทำให้แผ่นศิลาสูงขึ้น และลองทำให้แผ่นศิลาสูงถึงแสนจั้งหลายต่อหลายครั้ง เหตุการณ์เมื่อร้อยปีก่อนก็ค่อยๆ ถูกลืมเลือนไปจนสิ้น

ทุกอย่างเหมือนเดิม แม้แผ่นศิลาจะเหลือเก้าหมื่นอัน แต่ก็ยังมีการทดสอบความสูงแสนจั้ง ยังมีการเดินทางแห่งความทรงจำในโลกแผ่นศิลาแต่ละอัน

หลังจากผ่านไปอีกหกสิบปี คนที่จำซูหมิงได้มีไม่มากแล้ว

ทว่าโจวคังกลับเป็นหนึ่งในคนไม่มากนั้น เขายังลืมซูหมิงไม่ได้ ไม่อาจลืมคนที่ชอบเงียบงัน อีกทั้งยังช่วยตนแก้แค้นคนนั้น ซึ่งตอบแทนด้วยการถ่ายทอดประสบการณ์การทดสอบของตนให้

จนผ่านไปถึงสองร้อยสี่สิบปี โลกของซูหมิง นอกหัวใจสีดำในฟ้ากระจ่างดาวกว้างใหญ่ ตอนนี้รวมออกมาเป็น…ต้นไม้ใหญ่ยักษ์สูงระฟ้าต้นหนึ่ง

ต้นไม้นี้กินพื้นที่ไปมากกว่าครึ่งฟ้ากระจ่างดาว แฝงไว้ด้วยความเก่าแก่โบราณ ทุกส่วนเป็นสีม่วง มาพร้อมกับแรงกดดันที่ไม่อาจบรรยาย อยู่กลางฟ้าเพียงหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง!

ในต้นไม้ใหญ่สีม่วงนี้ หากมองดีๆ จะเห็นรางๆ ว่าข้างในมีสีทองอยู่ มองไปดูเหมือนสีม่วง ทว่าความจริงหลอมรวมสีทองและสีม่วงเข้าด้วยกัน

สีม่วงคือรากฐาน สีทองคือต้นกำเนิด!

ทันทีที่ต้นไม้ใหญ่สีม่วงรวมออกมาอย่างสมบูรณ์ ก็เกิดแสงสีม่วงส่องสว่างขึ้น หลังจากสะท้อนอยู่ภายในฟ้ากระจ่างดาวแล้ว…ร่างมันก็ค่อยๆ หดเล็กลง!

นี่ไม่ใช่การหดเล็กลงแบบธรรมดา แต่คือการหดตัว แทบจะแห้งเหี่ยวโรยรา ทว่าไม่ใช่การฟื้นคืนชีพ เหมือนกับว่าภายในลำต้นของมันมีหนึ่งชีวิตกำลังถือกำเนิดขึ้น การเกิดของสิ่งมีชีวิตจำเป็นต้องใช้คุณประโยชน์จากต้นไม้ใหญ่ ฉะนั้นเมื่อชีวิตนี้รวมพลังชีวิตออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ต้นไม้ใหญ่จึงหดเล็กลง

ขั้นตอนนี้กินเวลาไปหกสิบปี!

ตั้งแต่ซูหมิงหลับใหลจนถึงตอนนี้ผ่านไปสามร้อยปีแล้ว ในสามร้อยปีมากพอจะให้ผู้คนในแดนแผ่นศิลาเก้าหมื่นลืมเคราะห์ภัยในตอนนั้นไป มากพอจะให้สายตาที่มองแผ่นศิลาซูหมิงบ่อยๆ ลดน้อยลง…จนเหลือเพียงสายตาเดียว!

สายตาที่เฝ้ามองอยู่ตลอดนี้เป็นของโจวคัง สามร้อยปีมานี้เขาทำให้แผ่นศิลาสูงถึงเก้าหมื่นกว่าจั้งหลายครั้ง เข้าไปทดสอบหลายครั้ง ทว่าก็ล้มเหลวหมด แต่นี่ไม่ใช่จุดสำคัญในชีวิตเขาอีกแล้ว

เขาในตอนนี้สนใจแผ่นศิลาของซูหมิงตลอด นั่นเป็นเพราะว่า…เขาอยากพิสูจน์ว่าการคาดเดาของภรรยาที่ลาลับจากไปของตนถูกต้องหรือไม่

เพราะขั้นพลังเขาถึงเจ้าปกครองโลกตอนปลายแล้ว เข้าใจนานแล้วว่าความทรงจำในโลกแผ่นศิลา ทุกอย่าง….เป็นเพียงภาพมายา ล้วนเป็นอดีตทั้งสิ้น มีเพียงการคาดเดาของภรรยาที่เป็นของจริง

ซูหมิงกับเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันมากนัก แต่เขาเป็นคนชี้แนะเส้นทางที่ซูหมิงเดิน วิถีทางที่ซูหมิงเดินเป็นการคาดเดาและผลสรุปของภรรยาเขาในตอนนั้น แม้ภรรยาจะตายไปแล้ว ทว่าสิ่งนี้ค้ำจุนโจวคังให้ยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ เป็นสิ่งค้ำจุนเพียงหนึ่งเดียว

ผ่านไปอีกสิบปี

ตอนที่เวลาผ่านไปสามร้อยสิบปี ในโลกแผ่นศิลาเก้าหมื่นไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในโลกของพวกเขา

การเปลี่ยนแปลงนี้มาจากในโลกของซูหมิง เขาลืมตาขึ้นแล้ว

ณ โลกของซูหมิง กลางฟ้ากระจ่างดาวกว้างใหญ่ ตอนนี้ต้นไม้ใหญ่หายไป มีเพียงชายหนุ่มเส้นผมสีดำดวงตาสีดำคนหนึ่งอยู่กลางฟ้า!

เส้นผมดำยาวถึงเท้า ใบหน้าขาวซีดราวกับป่วย แต่กลับมีพลังชีวิตมหาศาลที่ทำให้คนหายใจขัดข้องวนเวียนอยู่ในร่างชายหนุ่มราวกับพายุคลั่ง

สามร้อยปีนี้ ในที่สุดซูหมิงก็สำเร็จขั้นตอนที่สามในการยึดวิญญาณของเผ่ายมโลก เปลี่ยนของเสียให้เป็นของดี รวมเป็นร่างแยกของเขาออกมาจากต้นไม้ใหญ่เอ้อชาง!

เขาคือคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ยึดวิญญาณสิ่งมีชีวิตจำพวกเอ้อชางแล้วรวมออกมาเป็นร่างแยกได้ นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ร่างแยกนี้ไม่อยู่ในกฎของโลกนี้ อยู่เหนือกว่ากฎฟ้าดิน นี่คือ…ร่างแยกที่แกร่งที่สุดของซูหมิง

ร่างแยกเอ้อชาง!

เขา…ลืมตาขึ้นแล้ว

ทันทีที่ซูหมิงลืมตา ทั้งฟ้ากระจ่างดาวสั่นไหว เกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วนเสมือนยอมศิโรราบ เหมือนว่าขอเพียงเขาคิด ฟ้ากระจ่างดาวก็จะพังทลายลง

ภายในดวงตาเขามีแสงทองไม่มีสิ้นสุด และยังมีเงามายาอักขระซ้อนทับในดวงตาขวา เงามายามาแทนที่ลูกตา แผ่ความน่าเกรงขามสุดจะบรรยาย หากมีคนสบตาเขา ชั่ววินาทีนี้จิตใจจะแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ

ซูหมิงที่เข้าใจต้นกำเนิดส่วนหนึ่งของซุ่ยเฉินจื่อและรวมร่างกายหนึ่งส่วนของเอ้อชางสำเร็จ ช่วงที่รวมร่างแยกนี้ออกมา มันก็มีขั้นพลังเกินกว่าจินตนาการแล้ว บางทีอาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่ขั้นพลัง แต่เป็นสัญชาตญาณการควบคุมต้นกำเนิดจิต

“ข้าไม่รู้ว่าร่างแยกนี้แกร่งเพียงใด ทว่าในความรู้สึกข้า…ข้าคือเจ้าแห่งฟ้ากระจ่างดาวแสนแห่งนี้ หากจุดสูงสุดระดับเจ้าปกครองโลกตอนกลางอย่างบรรพบุรุษตระกูลจ้าวหรือมากกว่านี้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ร่างแยกนี้จะลบอีกฝ่ายหายไปได้ในพริบตา

บางทีอาจสู้กับดวงจิตโบราณในแดนมรณะหยินได้สักครั้ง! ทว่าก็เป็นแค่ตอนนี้ ข้ามีความรู้สึกเด่นชัดว่าร่างแยกนี้เหมือนกับเด็กทารกเพิ่งเกิดใหม่ เขายังเติบโตได้อีก จะแกร่งขึ้นทุกเวลาทุกลมหายใจ” ขณะซูหมิงกล่าวพึมพำกับตัวเอง แสงทองในดวงตาก็เหมือนดวงตะวันพร่างพราว

“จากนี้ไป ไม่ว่าแผ่นศิลาใดในโลกแผ่นศิลาเก้าหมื่นอัน ล้วนไม่อาจมีใครไปถึงหนึ่งล้านจั้งได้ชั่วนิรันดร์ เก้าแสนจั้งคือขีดจำกัดของพวกเขา เพราะว่าในแสนคนมีหนึ่งเดียวที่จะไปสูงถึงล้านจั้งได้ นั่นคือข้าแซ่ซู!” ซูหมิงยิ้มน้อยๆ ยกมือขวาสะบัดไปข้างหน้า

ฉับพลันนั้นกลางฟ้ากระจ่างดาวตรงหน้าปรากฏระลอกคลื่นบิดเบี้ยวขึ้น ระลอกคลื่นขยายออกไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ครู่ต่อมา กลางอากาศบิดเบี้ยวพลันปรากฏร่างกายหนึ่งลอยมาอยู่ตรงหน้าเขา

นี่คือร่างแยกหงส์งูเพลิงของซูหมิง เป็นร่างที่ฝึกวิชาเงากลืนนภา หรือร่างแยกกายเนื้อร่างแรกของเขา

‘ร่างแยกเอ้อชาง ฝึกต้นกำเนิดจิต

ร่างแยกกลืนนภา ฝึกร่างกาย

ร่างจริงในแดนเผ่าเซียน ฝึกวิญญาณ

ข้าต้องการอีกหนึ่งร่างแยกมาฝึกฝนการตระหนักรู้ของข้า

ตอนนี้ร่างแยกกลืนนภาน่าจะแกร่งขึ้นแล้ว…’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกายสีทอง ก่อนจะชี้นิ้วชี้มือขวาไปยังร่างแยกกลืนนภา

“ข้าคือเจ้าแห่งฟ้ากระจ่างดาวที่หลอมรวมจากผืนฟ้าแสนแห่ง ด้วยหนึ่งความคิดของข้า ขอให้ร่างนี้…แกร่งขึ้น!”

ซูหมิงกล่าวเสียงเบา เมื่อสิ้นเสียง ภายในฟ้ากระจ่างดาวกว้างใหญ่เกิดกฎเกณฑ์ขึ้นมา เพียงแต่กฎเกณฑ์ทุกอย่างล้วนรวมอยู่ในร่างแยกกลืนนภาในชั่วเวลานี้

เมื่อร่างแยกกลืนนภาลืมตาขึ้น ก็มีระลอกคลื่นพลังแก่กล้าระเบิดมาจากตัวราวกับน้ำหลาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!