Skip to content

King of Gods 183

King Of Gods

บทที่ 183 : ไข่

ในเวลานี้

จ้าวเฟิงได้หยุดลงและเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรโลหะทมิฬ สิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงที่มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงโดยตรง นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้อื่นใดในการทดสอบกล้ากระทำ

เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรโลหะทมิฬ?

ทุกคนย่อมถูกฆ่าในเสี้ยววินาทีโดยไม่ต้องสงสัย และด้วยพลังฝึกตนในนภาที่สามของเด็กหนุ่มเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

จ้าวเฟิงนั้นเยือกเย็นอย่างมากขณะที่ใช้เปิดดวงตาของเขาออกจนสุดขีดความสามารถ นัยน์ตาสีครามของเขานั้นราวกับจะมองทะลุจิตใจของทุกคนได้ ด้วยสายตาที่ถูกพัฒนาของเขา เด็กหนุ่มสามารถมองเห็นส่วนประกอบของอากาศ ฝุ่นผง เส้นแสง รวมทั้งจังหวะเต้นของหัวใจและอัตราการหายใจได้…

เขาสามารถเห็นการกระทำทุกอย่างของสัตว์อสูรสีนิลนั้นได้ รวมทั้งทิศทางของการเคลื่อนไหวของมัน

แม้ว่าความเร็วของสัตว์อสูรนั้นจะไม่มากมาย เด็กหนุ่มก็รู้ว่าเมื่อมันเข้ามาใกล้เขา เขาย่อมตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ความแตกต่างระหว่างขอบเขตก่อกำเนิดปราณและขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้นราวกับความแตกต่างของสรวงสวรรค์และนรกอเวจี

กระทั่งผู้ฝึกตนในขั้นสุดยอดของนภาที่เจ็ดแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณนั้นก็เป็นเพียงมดที่ตัวใหญ่ขึ้นเล็กน้อยต่อหน้าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

ฟุ่บบ คว้างงง

สัตว์อสูรโลหะทมิฬกระพือปีกของมัน ส่งผลให้ฝุ่นผงใกล้ๆ ฟุ้งกระจายขึ้นไปยังร่างของจ้าวเฟิง ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มคำนวณความเร็วและระยะการโจมตีของศัตรู

บัดนี้อีกฝ่ายนั้นอยู่ห่างจากร่างของเขาราวๆ 10 หลา และ 10 หลาคือระยะการโจมตีของมัน

จ้าวเฟิงพลันรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่แทบไม่อาจทานทนที่ได้กดทับลงมายังร่างของเขา ทำให้ปราณแท้และโลหิตของเขาจับตัวแข็ง

หากเป็นผู้ฝึกตนธรรมดาในนภาที่สองหรือสามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ พวกเขาไม่สามารถกระทั่งโคจรปราณแท้ของพวกเขาได้ ในสถานการณ์เข้าตาจนนี้ จ้าวเฟิงตวาดลั่นออกมาพร้อมกับที่พลังสายโลหิตของเขาได้เดือดพล่านอยู่ในร่างและหลอมรวมเข้ากับม่านพลังป้องกันของเขา

ฮู่ววว วูบบบ

ในเวลาเดียวกัน ผ้าคลุมด้านหลังของจ้าวเฟิงก็ได้ลอยสูงขึ้น ในเสี้ยววินาทีนั้น ร่างของเขาก็แผ่วเบาราวกับขนนกพร้อมกับที่เขาได้พุ่งตรงไปยังเหนือบ่อน้ำเยือกแข็ง

ตูมมมมม!

สายลมสีเขียวเข้มกราดเกรี้ยวได้กระแทกลงตรงจุดที่เด็กหนุ่มเคยอยู่ ส่งให้น้ำภายในบ่อสาดกระเซ็นออกไปทุกทิศทาง

น้ำภายในบ่อนั้นแปลกประหลาดอย่างมาก เมื่อมันสาดลงบนร่างของสัตว์อสูร มันก็ทำให้ร่างยักษ์นั้นแข็งค้างไปเล็กน้อย ทว่าเพราะมันได้อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง แสงสีเขียวเข้มได้ส่องวาบขึ้นและทำลายพลังนั้นไป

มันมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียว นั่นคือการฆ่าจ้าวเฟิง

ตูม!

ร่างของจ้าวเฟิงพลันพุ่งลงสู่บ่อน้ำเยือกแข็งพร้อมกับที่เขาดำลงไปลึกขึ้น

สัตว์อสูรโลหะทมิฬดำตามลงไปโดยไร้ซึ่งความลังเล ความหนาวเย็นจนร่างสั่นสะท้านปรากฏขึ้น สร้างชั้นน้ำแข็งบางบนร่างของมัน

“ฮี่ฮี่”

จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงแผ่วขณะที่พลังสายเลือดสีครามของเขาได้ถูกกระตุ้น ผ้าคลุมเงาหยินของเขาปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งออกมา

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ร่างของเด็กหนุ่มพุ่งวาบกลับขึ้นไปยังอากาศรวดเร็วราวกับสายฟ้า

ความเร็ว!

มันคือสิ่งที่จ้าวเฟิงได้เปรียบเหนืออีกฝ่าย

เสี้ยววินาทีหลังจากนั้น เขาได้เขาพลังแห่งสายเลือดทั้งหมดของเขาและผ้าคลุมเงาหยินเพื่อเพิ่มความเร็วของเขาจนเทียบเท่านภาที่หก แม้ว่ามันจะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม

มันเป็นยามนั้นเองที่สัตว์อสูรโลหะทมิฬได้จมลงที่บ่อน้ำเยือกแข็งและไม่อาจติดตามได้ทัน

อย่างแรก ความเร็วของมันถูกจำกัด อย่างที่สอง มันตัวใหญ่กว่าเด็กหนุ่มมาก หมายความว่าความเย็นจำนวนมากกว่าได้แล่นเข้าสู่ร่างของมัน

แต่หากมีเพียงเท่านี้ ด้วยพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงของมัน มันย่อมสามารถทะลวงออกมาได้

“อยู่ที่นี่ตลอดไปเถอะ”

จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกขณะที่เขานำคันศรโหลวฮัวของเขาออกมาในขณะที่อยู่กลางอากาศและใส่พลังสายเลือดของเขาลงไป ทำให้บัวหิมะบนคันศรนั้นเบ่งบานออก

ผึง ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ

ศรสีน้ำเงินเย็นเยียบพุ่งวาบสู่บ่อน้ำเยือกแข็งด้วยลำดับที่แปลกประหลาด

หลังจากเข้าไปยังบ่อน้ำ พลังของศรก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล นั่นเป็นเพราะพลังของทั้งคันศรโหลวฮัวและศรนั้นได้มาจากบ่อน้ำ ในบ่อน้ำพลังของพวกมันจึงได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

นอกจากนั้น พลังแห่งสายเลือดแบบเต็มกำลังของจ้าวเฟิงเองก็ได้ทำให้พลังโจมตีของมันนั้นเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าอยู่แล้ว ทั้งมันยังมีศรถึงสามดอก ไม่ใช่ดอกเดียว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พลังทำลายของศรเหล่านั้นจึงได้เข้าสู่ระดับน่าเหลือเชื่อ

ศรทั้งสามสามารถทะลวงพลังป้องกันของสัตว์อสูรโลหะทมิฬได้สำเร็จ ศรดอกแรกได้แตกกระจายเป็นเสี่ยง ศรดอกที่สองได้โจมตีเข้าไปยังมัน และดอกที่สามได้ระเบิดออกจากแรงกระแทก สร้างคลื่นความเย็นเยียบรอบร่างของสัตว์อสูร

ชั้นน้ำแข็งหนาปรากฏขึ้นบนร่างของมัน และภายในบ่อน้ำเยือกแข็ง ผลในการกักขังของมันนั้นเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็นอย่างน้อย หรือกระทั่งเหนือกว่านั้นเมื่อมีศรถึงสามดอก

ร่างของสัตว์อสูรโลหะทมิฬเริ่มที่จะจมลง

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของฝันร้ายที่หมายถึงการหลับใหลชั่วนิรันด์ของมัน เมื่อมันได้จมลงไปสู่ ‘ผลึกน้ำตาสีน้ำเงิน’

จ้าวเฟิงรู้ถึงความน่าพรั่นพรึงของผลึกนั้นเป็นอย่างดี เพียงแค่เศษเสี้ยวของพลังของมันก็ได้ทำให้อุณหภูมิของทั้งเกาะพรมแดนนภาเปลี่ยนแปลงไป

มันเป็นสิ่งต้องห้ามของสถานที่แห่งนี้!

ยิ่งสัตว์อสูรจมลงไปลึกเท่าใด ผนึกก็ยิ่งแน่นหนาขึ้น เมื่อมันสัมผัสเข้ากับชายขอบของผลึกน้ำตานั้น ระลอกกระเพื่อมสีน้ำเงินก็แผ่กระจายออก

เปรี้ยะ

สัตว์อสูรโลหะทมิฬที่ดิ้นรนอยู่ภายในแข็งนิ่ง พลังของมันหยุดชะงักลงจากความเย็นเยียบนั้น

“ถอย!”

จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงความเย็นที่คุ้นเคยที่ปรากฏขึ้น เขาโคจรพลังแห่งสายเลือดและใช้ผ้าคลุมเงาหยินจนสุดขีดความสามารถ ร่างของเด็กหนุ่มกลายเป็นโปร่งใสและพุ่งวาบข้ามท้องฟ้าไป

ความเย็นเยียบถึงกระดูกดำได้แพร่กระจายออกจากสถานที่ที่เขาเพิ่งจากมา จ้าวเฟิงสะอึกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้แม้ว่าจะอยู่ห่างออกมานับร้อยเมตรแล้วก็ตาม

โชคดีที่เขามีพลังแห่งสายเลือดรวมทั้งสัญลักษณ์บัวหิมะบนคันศรโหลวฮัวของเขาที่ได้ดูดกลืนความเย็นบางส่วนไป

ด้วยความช่วยเหลือของผ้าคลุมเงาหยิน เด็กหนุ่มจึงสามารถบินในอากาศได้หนึ่งถึงสองลี้ก่อนที่จะต้องลงพื้น หากไม่มีผ้าคลุมและพลังแห่งสายเลือด มันย่อมเป็นไปไม่ได้

หลังจากหลบหนีออกจาสถานการณ์เข้าตาจน จ้าวเฟิงก็พพ่นลมหายใจออกก่อนจะเหลือบมองไปยังทิศทางของบ่อน้ำเยือกแข็ง

มันคือความเงียบงัน

เด็กหนุ่มสามารถจินตนาการได้ว่าสัตว์อสูรสีดำนั้นย่อมถูกผนึกอยู่ในน้ำแข็งโดยสมบูรณ์ หลับใหลไปชั่วนิจนิรันด์

ในเวลาเดียวกัน

อุณหภูมิของเกาะพรมแดนนภาก็ได้ลดลงอีกครั้ง ก่อนหน้าอุณหภูมิได้ลดลงราวๆ 30 องศา หมายความว่าเมื่อน้ำได้ไหลลง มันย่อมกลายเป็นน้ำแข็งในเสี้ยววินาที

ผู้ที่อยู่ในนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณสามารถที่จะทานทนได้ แต่มีเพียงผู้ที่อยู่ในนภาที่สี่หรือสูงกว่าเท่านั้นที่จะสามารถขยับเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

“เหตุใดอุณหภูมิจึงลดลงอีกกัน?”

ห่างออกไปร้อยลี้ เป่ยโม่ยที่กำลังถูกไล่ล่าโดยสัตว์อสูรโลหะทมิฬชะงักนิ่ง คิ้วเลิกสูง นี่นับว่าคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสิบวันก่อน ทว่าสัญชาตญาณได้บอกกับเขาว่ามันเป็นน้ำมือของมนุษย์ ไม่ใช่จากเกาะพรมแดนนภา

เพราะเขานั้นเกือบจะมี ‘กายจิตวิญญาณดิน’ เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบของอากาศได้ดีกว่าผู้อื่นส่วนมาก ศิษย์คนอื่นๆ เองต่างก็รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่ลดลง

เหล่าผู้ที่มีพลังฝึกตนต่ำเช่นหลิวเยว่เอ๋อร์และหลินฟ่านต่างก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่างมาก ทว่าในทางกลับกัน สัตว์อสูรส่วนมากนั้นหากมิตายก็หลบซ่อนในถ้ำใกล้ๆ

ไม่มีผู้ใดจะจินตนาการว่า ‘สัตว์อสูรโลหะทมิฬ’ ที่แทบจะไร้ซึ่งหนทางเอาชนะนั้นจะได้ถูกบีบบังคับให้เข้าสู่การหลับใหลชั่วนิรันด์เช่นนี้

“ฮ่าฮ่าฮ่า บัดนี้ข้าก็จัดการอันตรายไปแล้ว การทดสอบจะทำสิ่งใดกับข้าได้อีกกัน?” จ้าวเฟิงหัวเราะ

เมื่อไม่มีสัตว์อสูรตามไล่ล่า เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจย้อนกลับไปยังปราสาท

ห้องสมบัติ

จ้าวเฟิงมีผ้าคลุมเงาหยินที่ได้ปกปิดตัวเขาไว้ และเพราะเขาคุ้นเคยกับพื้นที่ เขาจึงสามารถเข้าไปภายในปราสาทได้อย่างง่ายดาย

มันมีลิ้นชักนับร้อยที่ได้ใช้เก็บสมบัติทุกประเภทเอาไว้ จ้าวเฟิงจำต้องเลือกชิ้นที่สอง

“ข้าควรจะเลือกอาวุธในครานี้หรือไม่?”

จ้าวเฟิงระบายยิ้มกว้างบนใบหน้า มันมีอาวุธจำนวนหนึ่งในที่แห่งนี้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง อาวุธที่ถูกดูแลราวกับมรดกล้ำค่าในสำนึกจันทร์สลาย

เมื่อคิดถึงมัน เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำเช่นนั้นเพราะอาวุธชั้นจิตวิญญาณนั้นสูงเกินไปสำหรับเขา แม้ว่าเขาจะได้ครอบครองสักชิ้น เขาย่อมต้องมอบให้แก่สำนักเสียมากกว่า หากเขาไม่ทำเช่นนั้น มันก็มีเพียงแต่จะสร้างปัญหา

จากที่จ้าวเฟิงรู้นั้น ผู้ฝึกตนส่วนมากในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงไม่แม้แต่จะมีไว้ครอบครองสักชิ้น มิใช่ว่ามันจะดึงดูดความตายมาให้เขา ศิษย์ผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ หรือ? ดังนั้นแล้วเขาจึงตัดสินใจที่จะหาเป้าหมายอื่น

“หืมม? นี่คืออันใด?”

สายตาของเด็กหนุ่มจับจ้องลงที่ลิ้นชักที่ค่อนข้างใหญ่ ภายในนั้นมีชิ้นส่วนโลหะส่วนหัว แขน ตัว… ทั้งหมดเป็นทองคำ

จ้าวเฟิงวิเคราะห์มันและพบว่ามันควรเป็นผู้พิทักษ์เกราะทอง คล้ายคลึงกับผู้พิทักษ์เกราะเงินและเกราะดำด้านนอก ทว่าวัสดุนั้นล้ำค่ากว่า

“พลังของผู้พิทักษ์เกราะทองเหล่านี้มากมายเท่าใดกัน? พวกมันจะทำงานให้ข้าได้หรือไม่หากถูกประกอบกลับเป็นเช่นเดิม?” เด็กหนุ่มครุ่นคิด

เขานั้นมีความรู้มาก และสามารถคาดเดาได้บางอย่างว่าผู้พิทักษ์เหล่านี้คืออันใด

มันมีบางอย่างที่ถูกเรียกว่า ‘หุ่นกระบอก’ และผู้พิทักษ์เหล่านี้คือหุ่นกระบอกเครื่องกล หุ่นกระบอกเครื่องกลนั้นถูกสร้างขึ้นจากค่ายกลที่จำเพาะเจาะจงกับแกนพลังงาน พวกมันสามารถถูกควบคุมโดยผู้คนได้

“เมื่อมันเป็นหุ่นกระบอกเครื่องกล มันย่อมไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ตราบเท่าที่มันมีแกนพลังงาน พวกมันย่อมสามารถถูกควบคุมได้”

จ้าวเฟิงคิดถึงมัน ก่อนจะส่ายศีรษะ

อย่างไรก็ตามหุ่นกระบอกเครื่องกลนั้นเป็นเพียงของนอกกาย! เขาได้ควบคุมความต้องการที่จะได้รับความช่วยเหลือจากสิ่งอื่นไป แม้ว่าเขาจะวิเคราะห์ได้ว่าพลังของผู้พิทักษ์เกราะทองนั้นอยู่ในนภาที่เจ็ดเป็นอย่างน้อย และอาจกระทั่งต่อต้านพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ก็ตาม

จากนั้นดวงตาของจ้าวเฟิงก็ได้จับจ้องลงที่เป้าหมายต่อไป มันเป็นไข่สีเทาที่มีขนาดราวๆ กำมือพร้อมด้วยเส้นสายแปลกประหลาดที่สลักอยู่บนเปลือก แม้ว่าเขาจะเปิดดวงตาซ้ายของเขา เขาก็ยังคงไม่อาจที่จะมองทะลุผ่านเปลือกไข่ไปได้

สิ่งที่น่าเหลือเชื่อไปกว่านั้นคือเขาจับร่องรอยของชีวิตภายในไข่นั้นได้จางๆ

มีสิ่งมีชีวิตอยู่ภายในไข่?

หากเด็กหนุ่มไม่มีดวงตาซ้ายของเขา เขาย่อมไม่อาจแม้แต่จะเชื่อ ตำหนักยอดนภานั้นเก่าแก่อย่างมาก และจากสำนักจันทร์สลาย มันย่อมมีอายุอย่างน้อยนับหมื่นปี

หมื่นปี ทว่ายังคงมีชีวิตอยู่ พลังชีวิตของมันนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่ผู้ใดจะจินตนาการ

“อืม ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะลองดู อย่างไรข้าก็ไม่มีสิ่งใดที่ต้องกระทำ และแม้ว่ามันจะไม่มีช่องว่างบนค่ายกล ข้าก็ยังคงสามารถทำลายมันได้ในเวลา 6-7 วัน…” จ้าวเฟิงพึมพำกับตนเอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!