Skip to content

King of Gods 320

King Of Gods

บทที่ 320 : รวบรวมความแข็งแกร่ง

ระหว่างทางกลับ

จ้าวเฟิงนำมือไปสัมผัสพัดฉุ่ยเยว่เซียนเถาที่อยู่ในมือ แมวขโมยตัวน้อยยืดอกอยู่บนไหล่ ท่าทีราวกับว่ามันสมควรได้รับคำชม

“หัวหน้าสาขา ท่านได้ครอบครองพัดฉุ่ยเยว่เซียนเถาแล้ว ทั้งยังมีสามปทุมที่เป็นสมบัติในระดับเดียวกัน อาจเรียกได้ว่าไร้ซึ่งคู่ต่อสู้ กระทั่งสามารถต่อกรกับขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไปได้”

เตี๋ยเย่เอ่ยแสดงความยินดีพร้อมด้วยรอยยิ้ม

ในสี่สมบัติสายธารจันทรา มีพัดฉุ่ยเยว่เซียนเถาในการโจมตีหลักและมีสามปทุมช่วยสนับสนุนการป้องกัน

การโจมตีและป้องกันของทั้งสองนั้นนับว่าเข้าคู่กันอย่างสมบูรณ์แบบ

สิ่งที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้นั้นคือ จ้าวเฟิงยังมี ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ อยู่ด้วย

“พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถานี้งดงามยิ่งนัก มีช่องว่างอยู่เจ็ดช่อง สามารถใช้ใส่อาวุธลับได้เจ็ดชนิด ลอบโจมตีได้อย่างง่ายดาย”

จ้าวเฟิงมีมรดกของจอมโจรฉุ่ยเยว่ ความเข้าใจในสี่สมบัติสายธารจันทราไม่ด้อยไปกว่าผู้สืบทอดสำนักร้อยบุปผา

พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถานั้น ในสถานการณ์วิกฤตยังสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นร่มใช้ป้องกันได้

สิ่งที่ทำให้จ้าวเฟิงประหลาดใจนั้นคือ พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถาสามารถใช้พลังมายา เพิ่มพลังโจมตีทางจิตใจได้

พูดสั้นๆ

หลังจากที่ครอบครองพัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา พลังในหลากหลายแง่มุมของจ้าวเฟิงไร้ซึ่งจุดอ่อน

ในระหว่างทาง จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิบนสามปทุม พยายามทำให้พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถายอมรับ

พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถาเป็นอาวุธที่สามารถสืบทอดได้ ต้องใช้เคล็ดวิชาเฉพาะหรือพลังสายเลือดในการทำให้มันยอมรับ

จ้าวเฟิงมองหาวิธีการทำให้มันยอมรับใน ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม

จ้าวเฟิงและเตี๋ยเย่ก็กลับไปยังลัทธิโลหะเลือดสาขา

ในยามนี้ จ้าวเฟิงสามารถทำให้พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถายอมรับได้กว่าหกถึงเจ็ดส่วนแล้ว

อาวุธวิเศษทั่วไปไม่จำเป็นต้องทำให้มันยอมรับ เพียงแค่ถือก็สามารถเชื่อมต่อได้ อาวุธที่สามารถสืบทอดได้นั้นพิเศษกว่า ต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสมจึงสามารถใช้ได้

“รายงานหัวหน้าสาขา! สำนักร้อยบุปผาและตระกูลหยุนรองล้วนล่าถอย เสียหายอย่างหนัก”

“รายงานหัวหน้าสาขา! พวกเราจับคนของสำนักร้อยบุปผาและตระกูลหยุนรองได้ มีผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสองคนและพลังขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอีกเก้าคน…”

“ยามนี้ ความเสียหายของสำนักร้อยบุปผามากมายนัก ต้องออกจากเขตพันธารา ฐานกำลังของตระกูลหยุนรองก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ไม่อาจที่จะครอบครองตำแหน่งกลุ่มอำนาจแนวหน้าได้อีก”

จ้าวเฟิงนั่งในเก้าอี้ผู้นำภายในโถงประชุมหลัก เหล่าคนที่ตามมาได้เอ่ยข่าวดีขึ้น

อวิ๋นช่าและเฉินเมิ่งเจิ่น สองรองหัวหน้าสาขานั่งอยู่ข้างซ้ายและขวาเบื้องล่างจ้าวเฟิง สีหน้าแววตาปรากฏอารมณ์ซับซ้อน

เฉินเมิ่งเจิ่นสีหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชมและซาบซึ้ง ไม่กล้าที่จะกระด้างกระเดื่องต่อจ้าวเฟิง

อวิ๋นช่ารู้สึกไม่พอใจ ทว่าก็มีความหวั่นเกรงมาปะปนอยู่เสียมาก

ผู้คนต่างเห็นด้วยตา หัวหน้าสาขาคนใหม่ผู้นี้ที่พลิกกระดาน แก้ไขสถานการณ์วิกฤติและไล่ต้อนสำนักร้อยบุปผากับตระกูลหยุนรอง

สายตาของจ้าวเฟิงกวาดมองทุกคนอย่างรวดเร็วคราหนึ่ง ทั่วทั้งโถงหลักเงียบเสียงลง

ทุกคนล้วนรับรู้ได้ถึงความเย็นเยือกแหลมคมจากดวงตาซ้ายแสนลึกลับของหัวหน้าสาขา จิตวิญญาณปรากฏความกดดันขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้

“อวิ๋นช่า เจ้านำคนไปไล่ล่าเจ้าพวกสำนักร้อยบุปผาที่เหลือ อย่างน้อยสำนักนี้ก็ต้องออกไปจากพื้นที่พันธารา”

“เฉินเมิ่งเจิ่น เจ้ารับผิดชอบในการป้องกันสาขา เฝ้ามองตระกูลหยุนรองรวมทั้งท่าทีของกลุ่มอำนาจอื่นๆ หากมีความผิดปกติอันใดให้รายงานแก่หัวหน้าผู้นี้”

สีหน้าของจ้าวเฟิงเรียบเฉย เอ่ยแบ่งหน้าที่

บัดนนี้สถานการณ์ได้ตัดสินแล้วว่าเขามีส่วนในการนำชัยชนะครานี้มาเหนือกว่าทุกคน

“ข้าเพิ่งจะบรรลุสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ไม่นาน และเพิ่งจะมาเป็นหัวหน้าสาขาพันธารา ต้องสร้างสมดุลให้สถานการณ์และเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเอง”

ในใจของจ้าวเฟิงมีแผนของตนเอง

วันนี้เพียงย่างเท้าออกไปก็ได้เข้าร่วมการต่อสู้ ทว่าความแข็งแกร่งนั้นได้ปกปิดไว้ส่วนหนึ่ง ไม่ได้แสดงออกไปทั้งหมด

ตัวอย่างเช่นพลังสายเลือดของเขาที่ไม่ได้ใช้ออกจนถึงขีดสุด แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณเองก็ยังไม่ได้กระตุ้นใช้ออกอย่างเต็มที่

เรื่องเหล่านี้ส่วนหนึ่งทำเพื่อสร้างความเสถียรให้ระดับพลัง อีกส่วนหนึ่งคือเพื่อสถานการณ์ที่ตามมา

มีเพียงแค่ให้เวลาจ้าวเฟิงทำให้พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถายอมรับได้อย่างสมบูรณ์ รวบรวมแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณให้มั่นคง และเข้าใจถึงแก่นแท้ของ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ แล้วหลอมรวมมันเสริมเข้ากับมรดกอัสนี พลังของเขาจึงจะเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง

ในวันเดียวกัน

ลัทธิโลหะเลือดสาขาได้ไล่ล่าสมาชิกที่เหลือของสำนักร้อยบุปผา ความตั้งใจนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าปกติ

ไม่ถึงครึ่งเดือน สำนักร้อยบุปผาก็แทบจะถูกฆ่าล้างโคตร มีคนเพียงจำนวนน้อยนิดที่สามารถหลบหนีออกจากอาณาเขตพันธาราได้

นี่นับว่าจ้าวเฟิงไว้หน้าจอมโจรฉุ่ยเยว่แล้วจึงไม่ได้โหดเหี้ยมมากนัก

ในช่วงเวลานี้ กลุ่มอำนาจขนาดกลางและใหญ่ในพื้นที่พันธาราต่างเป็นพยานให้กับการต่อสู้นี้ เมื่อสายลมเปลี่ยนทิศก็ระมัดระวังตัวมากขึ้น

เฉินเมิ่งเจิ่นรับผิดชอบในการป้องกันและควบคุมท่าทีของกลุ่มอำนาจหลักทั้งหลาย

ในขณะเดียวกัน

หลังจากครึ่งเดือนผ่านไป แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณในร่างของจ้าวเฟิงก็ได้มั่นคงโดยสมบูรณ์ ระดับของมันนั้นนับว่าไม่ด้อยไปกว่าของผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับต่ำ

พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถาได้ยอมรับจ้าวเฟิงโดยสมบูรณ์ สามารถควบคุมประยุกต์ใช้มันได้

เมื่อมีพัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา การต่อสู้ระยะประชิดของจ้าวเฟิงนั้นย่อมไม่ต้องการอาวุธอื่นใด จึงยก ‘แส้อสรพิษโลหิตลึกลับ’ ให้กับแมวขโมยตัวน้อยไป

ในด้านของมูลค่า แส้อสรพิษโลหิตลึกลับนั้นใกล้เคียงกับพัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา ยอดเยี่ยมในการเข่นฆ่า สามารถใช้สนับสนุน ทั้งหากดูดกลืนโลหิตของศัตรูยังสามารถเพิ่มความสามารถของมันได้อีก

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยตัวน้อยตื่นเต้นเล็กๆ เล่นกับแส้อสรพิษโลหิตลึกลับในอุ้งเท้าของมันอย่างร่าเริง ก่อนหน้านี้ก็เป็นมันที่ควบคุมแส้เส้นนี้จับฉินหวางเฟยเป็นตัวประกัน

“อืม”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ

กระทั่งยามนี้เขาจึงออกจากการปิดด่านฝึกตนอย่างเป็นทางการ

หากจะพูด ในยามนี้นับว่าสถานการณ์ของเขามั่นคงแล้ว

การหลอมรวมสำนึกรู้ของ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ และ ‘มรดกอัสนี’ เป็นเรื่องในระยะยาว

มรดกอัสนีนั้นเป็นมรดกที่สมบูรณ์อยู่ในตัวเองแล้ว มีเพียงทฤษฎีบางส่วนที่เป็นนามธรรม พลังลึกล้ำ แม้ว่าจะแข็งแกร่งทว่าการหยิบมาใช้และความไม่มั่นคงของมันนับว่าเป็นจุดอ่อน

ทว่า ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ เป็นบันทึกที่รวบรวมแก่นแท้มรดกของสำนักร้อยบุปผาและวิชามารอื่นๆ มีกระบวนท่าเคลื่อนไหวและอื่นๆ ที่หลากหลาย ทั้งปกติธรรมดาและแปลกประหลาด สามารถปรับใช้ได้หลากหลายสถานการณ์

“รายงานหัวหน้าสาขา คนที่เหลือของสำนักร้อยบุปผาถูกกำจัดจนหมดสิ้นจากเขตพันธาราแล้ว”

อวิ๋นช่ามารายงาน

เกี่ยวกับสำนักร้อยบุปผา จ้าวเฟิงไม่ได้ให้ความใส่ใจอีกต่อไป สำหรับสาขาพันธารา พวกมันไม่อาจสร้างแรงคุกคามได้อีกต่อไป

ทว่าตระกูลหยุนรอง ตระกูลปี้รอง และกลุ่มอำนาจอื่นๆ ในเขตพันธารายังคงเป็นศัตรูที่ทรงพลัง

จะอย่างไร หลังจากต่อสู้ครั้งนี้ ความสูญเสียของสาขาพันธาราก็ไม่ใช่น้อย

“หัวหน้าสาขา! หลังจากที่ตระกูลหยุนรองพ่ายแพ้ยับเยิน คนจากตระกูบเทียนหลักสองคนได้มาเยี่ยมญาติ หนึ่งในนั้นคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลเทียน ‘เทียนหยุนจือ’ นอกจากนั้นตระกูลหยุนรองยังพยายามขอความช่วยเหลือจากตระกูลปี้รองเมื่อเร็วๆ นี้ คงกังวลว่าลัทธิโลหะเลือดสาขาของเราจะตอบโต้กลับ”

เฉินเมิ่งเจิ่นเองก็เอ่ยรายงานข่าวของตนเอง

“เทียนหยุนจือผู้นี้เป็นบุตรหลานตระกูลเทียน ทว่ากลับไปเยี่ยมญาติที่ตระกูลหยุนรอง?”

จ้าวเฟิงรู้สึกแปลกประหลาด

“หัวหน้าสาขา ท่านลืมไปแล้วหรือ เทียนหยุนจือมีสายเลือดของสองยอดฝีมือจากตระกูลเทียนและตระกูลหยุน มารดาของเทียนหยุนจือที่เสียไปนั้นเป็นบุตรหลานของผู้อาวุโสสตรีของตระกูลหยุนแห่งพันธารา”

เตี๋ยเย่เอ่ยเตือน

เป็นเช่นนี้เอง

จ้าวเฟิงผงกศีรษะเล็กๆ เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ หากลัทธิโลหะเลือดสาขาจะตอบโต้ตระกูลหยุนรองไปมากกว่านี้ย่อมยากลำบาก

เมื่อลัทธิโลหะเลือดสาขาตอบโต้ตระกูลหยุนรอง เทียนหยุนจือผู้นั้นย่อมไม่อยู่เฉย

หากเป็นผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ทั่วไป จ้าวเฟิงย่อมไม่ให้ความใส่ใจ

ทว่าเทียนหยุนจือนั้นเป็นอัจฉริยะที่มีจิตแห่งกระบี่ มีสายเลือดทรงพลังของสองตระกูล จิตแห่งกระบี่และจิตแห่งดาบนั้นสามารถตัดอากาศ เป็นพลังจิตที่มองไม่เห็น กับเคล็ดวิชาพลังจิตย่อมมีพลังต่อต้านในระดับหนึ่ง

“หัวหน้าสาขา ข้าแนะนำว่าในขณะที่เรากำลังได้เปรียบอยู่นี้ควรโจมตีตระกูลหยุนรอง ยึดครองพื้นที่พันธาราที่พวกนั้นครอบครองอยู่”

อวิ๋นช่าเอ่ยเสนอแนะข้อสงครามขึ้น

เฉินเมิ่งเจิ่นมุ่นคิ้วเล็กๆ “ ทางที่ดีรอให้ ‘เทียนหยุนจือ’ ผู้นี้กลับไปก่อนเราค่อยมาวางแผนกันต่อ จะอย่างไรเขาก็เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลเทียน”

“หึ! มีหัวหน้าสาขาคอยสั่งการ เทียนหยุนจือจะนับเป็นอันใดได้ นอกจากนั้น การต่อสู้ระหว่างตระกูลรองและสาขานั้นเหนือการควบคุมของกองบัญชาการ พวกเขาต้องรักษาสมดุล”

อวิ๋นช่าเค้นเสียงเย็น

สองรองหัวหน้าสาขา ความคิดเห็นไม่ตรงกัน ได้โต้เถียงกันขึ้น

“เตี๋ยเย่ เจ้าคิดเห็นเช่นไร”

สายตาของจ้าวเฟิงจับจ้องไปยังเตี๋ยเย่

หลังจากที่การต่อสู้สิ้นสุดลง จ้าวเฟิงก็ได้แต่งตั้งให้เตี๋ยเย่เป็นผู้ดูแลสาขาที่ขึ้นตรงกับตนเอง กระทั่งรองหัวหน้าสาขาก็ไม่อาจเอ่ยสั่งนางได้

“ในสาขานี้ หากมีผู้ที่มีความสามารถเพียงพอที่จะเอาชนะเทียนหยุนจือ เช่นนั้นย่อมมีโอกาสสำเร็จ นอกจากนั้นเรายังต้องกังวลถึงการสนับสนุนตระกูลหยุนรองของตระกูลปี้รองด้วย”

เตี๋ยเย่ไม่ได้เอ่ยความเห็นออกมาตรงๆ ทว่าเอ่ยแจงสถานการณ์ออกมา

จุดสำคัญนั้นคือผู้ใดจะรับมือกับเทียนหยุนจือ อย่างที่สองคือวีธีรับมือกับการสนับสนุนของตระกูลปี้รอง

ความจริงแล้ว ในพื้นที่พันธารานั้น สองตระกูลรองที่ยิ่งใหญ่นี้ไม่ได้แข็งแกร่งนัก

ตระกูลหยุนรองนั้นธรรมดาสามัญ ตระกูลปี้รองนั้นกระทั่งอ่อนด้อยกว่า

“ข้าเพิ่งมาอยู่ที่สาขาพันธาราแห่งนี้ จำต้องสร้างสมดุลให้สถานการณ์มั่นคงจึงจะสามารถฝึกตนได้อย่างวางใจเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วม ‘งานชุมนุมเซียนมังกร’ ”

สายตาของจ้าวเฟิงส่องประกายระริก ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน

คำสั่งน่าตื่นตะลึงได้ดังก้องขึ้นทั่วทั้งโถงหลัก “โจมตีตระกูลหยุนรองและตระกูลปี้รองพร้อมกันทันที”

วินาทีที่เสียงคำสั่งดังขึ้น เหล่าระดับสูงของสำนักโลหะเลือดสาขาก็ร่างสะท้านเฮือก

กระทั่งตัวการสำคัญ อวิ๋นช่า ยังผวาไป ในใจลอบหัวเราะ “ เจ้าคิดหรือว่าเทียนหยุนจือรับมือได้ง่ายๆ? สองตระกูลรองใหญ่นั้นแม้ว่าจะอยู่ในช่วงถดถอย ทว่าอูฐก็ยังคงตัวใหญ่กว่าม้า”

“หัวหน้าสาขา มิใช่นี่นับว่าค่อนข้างผลีผลามไปหรือ”

เตี๋ยเย่รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง

“ข้าตัดสินใจแล้ว! ลัทธิโลหะเลือดสาขา สมาชิกระดับกลางและต่ำมีจำนวนมาก นี่คือข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุด นอกจากนั้นเรายังมียอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงมากกว่าสิบคน คนเก่งกาจมากมาย”

จ้าวเฟิงเอ่ยตัดสิน

นับจากวันนี้เป็นต้นไป

กำลังคนของลัทธิโลหะเลือดสาขาทั้งหมดที่หลบซ่อนอยู่ หรือควบคุมอำนาจอยู่ รวมทั้งกำลังคนที่อยู่ใกล้โดยรอบทุกทิศต่างมารวมตัวกันที่สาขา

ทันใดนั้น

พื้นที่พันธาราก็ได้ตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย กลุ่มอำนาจเล็กๆ จำนวนมากในใจปรากฏความตื่นตะลึง

กลุ่มอำนาจเล็กๆ ทั่วไปอาจไม่มีขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงมาเป็นผู้สั่งการ หรือไม่ก็มีเพียง 2-3 คน

ช่วงเวลาไม่กี่วัน ลัทธิโลหะเลือดสาขาจำนวนมากได้เริ่มโจมตีที่ตระกูลหยุนรองเป็นหลัก

ทันใดนั้น ร่างในอาภรณ์สีแดงก็ได้มาถึงอาณาเขตตระกูลหยุนรอง

พร้อมกันนั้น อีกด้านหนึ่ง

จ้าวเฟิงส่งเฉินเมิ่งเจิ่นไปโจมตีตระกูลปี้รอง ความจริงแล้วเน้นความสำคัญกับการถ่วงเวลาเป็นหลัก

ตระกูลปี้รองนั้นค่อนข้างอ่อนแอ มีผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดหนึ่งคน ในขณะที่ผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้อีกสองคนฝีมือค่อนข้างธรรมดา

เฉินเมิ่งเจิ่นเพียงต้องถ่วงเวลาตระกูลปี้รองให้ไม่สามารถไปช่วยเหลือตระกูลหยุนรอง และไม่อาจโจมตีคู่ต่อสู้จากด้านหลังจนยอมแพ้ไปเอง

สนามรบที่แท้จริงคือตระกูลหยุนรอง

จ้าวเฟิงนำอวิ๋นช่า เตี๋ยเย่ และยอดฝีมือระดับสูงอีกหลายคนนำสมาชิกลัทธิโลหะเลือดจำนวนมากโจมตีตระกูลหยุนรอง

ตระกูลหยุนรองเผชิญหน้ากับสถานการณ์วิกฤตรุนแรง เกิดความวุ่นวายไปชั่วขณะหนึ่ง

โถงหลักตระกูลหยุนรอง

“ผู้นำเฒ่า ท่านไม่จำเป็นต้องกังวล ตราบเท่าที่ข้าสามารถฆ่าหรือเอาชนะหัวหน้าสาขาคนใหม่ของลัทธิโลหะเลือดสาขานั่นได้ ย่อมสามารถผ่านสถานการณ์นี้ไปได้สำเร็จ”

เทียนหยุนจือลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ส่งเสียงเลือนลั่น จิตแห่งกระบี่เย็นเยียบที่มองไม่เห็นแพร่กระจายออกมาอย่างเชื่องช้า ทำให้จิตใจของผู้คนในที่แห่งนั้นรู้สึกราวกับถูกกระบี่เชือดเฉือน

ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนเอ่ยอย่างยินดี “โชคดีที่เจ้ามาทัน หรือมิเช่นนั้นด้วยกำลังของลัทธิโลหะเลือดในครานี้ โดยเฉพาะหัวหน้าสาขาที่น่าเกรงกลัวนั่น มันมีพลังเหนือกว่าผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงระดับเดียวกันส่วนมาก มิคาดไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจต่อต้านหนึ่งการมองของเขาได้”

“พลังจิตมายานับเป็นเล่ห์กลเล็กน้อย จิตแห่งกระบี่ของข้าสามารถตัดผ่าอากาศได้ ย่อมสามารถป้องกันมันได้ นอกจากนั้นข้ายังคาดหวังในการประลองกับเขา”

ร่างของเทียนหยุนจือปรากฎจิตต่อสู้ขึ้นเจือจาง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!