Skip to content

King of Gods 455

King Of Gods

บทที่ 455 พ่ายแพ้

“สลายเนตรมารจันทราชาดของข้าได้ตรงๆ? อย่าได้บอกข้าเชียวว่าพลังวิญญาณและพลังดวงตาของเขาได้ถึงระดับที่เป็นราวห้วงมหาสมุทรแล้ว?”

ร่างของหลินทงแข็งค้างอยู่กลางอากาศ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงที่ระบายออกไปทั่วใบหน้า

การโจมตีวิชาดวงตาเมื่อครู่ จ้าวเฟิงไม่แม้แต่จะป้องกัน ทำราวกับว่ามันไม่ส่งผลใดๆ ตั้งแต่แรก หากจะพูดง่ายๆ วิชาดวงตาของหลิงทงไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำลายการป้องกันทางจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงได้

ฟึ่บ ฟึ่บ

ในเวลาเดียวกัน สองยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้ที่นำกองกำลังมาก็พุ่งตรงไปยังจ้าวเฟิงที่ยืนอยู่กลางลานกว้าง ตามแผน หลินทงจะรับหน้าที่ในการดึงดูดวิชาดวงตาของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว ในขณะที่สองกองกำลังของสองยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้รับผิดชอบในการลอบโจมตี

คมมีดวายุอัสนี

จ้าวเฟิงตวาดเบาๆ ไม่ช้า ไม่เร็ว ในมือควบรวมคมมีดสายลมที่ส่องประกายกระแสไฟฟ้าส่งเสียงเปรี้ยะๆ ออกมา สร้างความปั่นป่วนให้กับไอสวรรค์อัสนีและวายุรอบกาย

“ไม่ดีแล้ว ถอย”

จ้าวตำหนักศพโลหิตที่อยู่ไม่ห่างออกไปสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไป

แน่นอนว่าด้วยสายตาของเขาย่อมสามารถมองเห็นขอบเขตจิตวิญญาณที่ทรงพลังของจ้าวเฟิงได้ สำนึกรู้ของกระบวนท่านั้นเหนือกว่าปกติ

ทว่าคำเตือนของเขาสุดท้ายแล้วก็ยังช้าไป

ความเร็วการโจมตีของจ้าวเฟิงอยู่ในระดับที่ไม่มีทางหลบหลีกได้ คมมีดสายลมและกระแสไฟฟ้าได้หลอมรวมกัน แบ่งแยกออกเป็นสอง สร้างประกายไฟฟ้าส่องสว่างขึ้นในอากาศ ยาวกว่า 7-8 จ้าง ทั้งยังหนาแน่น

ในยามนั้น ความแหลมคมของสายลมก็ได้ตัดผ่าตรงไปยังดวงวิญญาณ

พรวด

สองยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้ไม่ทันตอบสนองก็กลับกลายเป็นศพ โลหิตสาดกระจายไปทั่ว

ตลอดทั้งเหตุการณ์ใช้เวลาไปเพียงไม่กี่ลมหายใจ

การโจมตีของหลินทงเพียงเพิ่งเสร็จสิ้นก็ถูกจ้าวเฟิงสลายไป เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวโจมตีออกอย่างเรียบง่ายก็ฆ่าหัวหน้าหน่วยในขั้นผู้วิเศษแท้ได้ นี่ได้ทำให้หลินทง รวมทั้งยอดฝีมือของพันธมิตรมังกรโลหะต้องสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไป

ร่างกายของหลินทงสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม

ไม่เพียงแค่ที่พลังดวงตาของจ้าวเฟิงได้อยู่ในระดับที่เขาไม่อาจรับรู้ ทว่าพลังวิชาของอีกฝ่ายยังน่าพรั่นพรึงถึงเพียงนี้

สองยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้ทั้งสองนั้นคือผู้อาวุโสหลักในสิบห้าอันดับแรกของพันธมิตรมังกรโลหะ หากเปลี่ยนเป็นหลินทงที่ไม่ใช่พลังดวงตา อาจทำได้เพียงสู้จนเสมอเป็นอย่างมาก

ทว่าสองยอดฝีมือในระดับนั้นกลับตายตกด้วยน้ำมือของจ้าวเฟิงง่ายดายราวกับหั่นหัวไชเท้า

“ฮี่ฮี่ ผู้ที่เคยพ่ายแพ้ในมือข้า รีบๆ มาตายได้แล้ว”

จ้าวเฟิงนำสองมือไพล่หลัง มองไปยังเบื้องหน้า

ผู้ที่เคยพ่ายแพ้ในมือข้า

จิตใจของหลินทงสั่นสะท้านราวกับร่วงหล่นลงสู่หุบเหวอันไร้ก้นบึ้ง ความรู้สึกอัปยศอดสูปกคลุมสตินึกคิด

“เจ้า…”

หลินทงกัดฟันกรอดแหงนหน้ามอง เตรียมที่จะใช้กระบวนท่าสุดท้าย

ทว่าเมื่อแหงนหน้าขึ้น เขาก็รู้สึกตื่นตะลึงเล็กๆ

เพราะร่างที่มีเรือนผมสีน้ำเงินบนลานกว้างนั้นไม่แม้แต่จะชายตามองเขาตั้งแต่ต้น กระทั่งยามนี้ก็ด้วย

“ไอ้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม อย่าได้จองหองนัก ในอดีตนายเหนือผู้นี้เพียงเพิ่งได้สติจึงถูกเอาเปรียบโดยเจ้า…”

น้ำเสียงมืดครึ้มหงุดหงิดของจ้าวตำหนักศพโลหิตดังขึ้นจากบริเวณใกล้เคียง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งมิตรและศัตรูต่างก็ชะงักงัน

“นี่มัน… สถานการณ์อันใดกัน?”

คนทั้งหลายในที่นั้นมองตาค้าง

มือทั้งสองของหลินทงสั่นระริก ความอัปยศอดสูเมื่อครู่กลับกลายเป็นความอึ้งและกระอักกระอวลไปหลายส่วน

ผู้ที่เคยพ่ายแพ้ในมือข้า คำพูดเหล่านี้ที่จ้าวเฟิงเอ่ยเมื่อครู่มีเป้าหมายที่จ้าวตำหนักศพโลหิต สำหรับหลินทง เขาได้ถูกเพิกเฉยตั้งแต่ต้นจนจบ

ศัตรูที่จ้าวเฟิงตั้งเป้าไว้คือจ้าวตำหนักศพโลหิต

มันยากที่จะจินตนาการยิ่งนักว่าจ้าวตำหนักศพโลหิต ยักษ์ใหญ่แห่งพันธมิตรนี้กลับเคยพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของจ้าวเฟิงในอดีต

ดังนั้นแล้ว

จ้าวเฟิงจึงมีรอยยิ้มเหยียดหยามประดับอยู่บนใบหน้าเช่นนั้น

“เป็นเช่นนี้เอง จ้าวเฟิง ดูเหมือนข้าจะยังคงประเมินเจ้าต่ำไปอยู่”

ผู้เฒ่าซู่ที่กำลังล่าถอยอยู่ห่างออกไปไม่ได้จากไปในทันที ยังคอยสำรวจสถานการณ์ของจ้าวเฟิงอยู่

ทว่าเขาค้นพบว่าความระมัดระวังของเขาเป็นสิ่งที่เขากังวลมากเกินไป

ผู้เฒ่าซู่จึงเข้าใจน้ำเสียงของคำว่า ‘หยอกล้อ’ ที่จ้าวเฟิงพูดที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ยนั้น

“ไอ้เด็กเวร ให้ข้าดูหน่อยว่าสองปีเจ้าพัฒนาไปมากมายเพียงใด”

จ้าวตำหนักศพโลหิตกลับกลายเป็นลำแสงสีม่วงแดง พุ่งตรงไปยังร่างของจ้าวเฟิง ความเร็วของจ้าวตำหนักศพโลหิตเหมือนเช่นสายลมและสายฟ้าที่ฟาดลง ผู้คน ณ ที่นั้นยากที่จะมองทันการเคลื่อนไหวของมันได้

ในเวลาพริบตา จ้าวตำหนักศพโลหิตก็ไปปรากฏอยู่ใกล้จ้าวเฟิง กลิ่นอายหนักหน่วงอึดอัดให้ความรู้สึกราวกับมีภูเขาล่องหนกดทับอยู่บนร่างของเด็กหนุ่ม

“ผู้คุ้มครองศพโลหิตนี่ศึกษาศาสตร์แห่งซากศพเดียวกับโม่ก่านจากตำหนักผาดำ ทว่าจ้าวตำหนักศพโลหิตนี่ยังมีศาสตร์แห่งโลหิตปะปนอยู่ด้วย”

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงมองเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจนในการกวาดมองครั้งเดียว

ในด้านระดับพลัง จ้าวตำหนักศพโลหิตและโม่ก่านคงไม่แตกต่างกันมากนัก ทว่าฝ่ายแรกโหดเหี้ยมและเจ้าเล่ห์กว่ามาก

เปรี้ยะ

ยอดเขาสูงกว่าร้อยจ้างใกล้ๆ ปรากฏเสียงแตกระเบิดออก สร้างลมพัดพาฝุ่นจนฟุ้ง

ฝ่ามือน่าพรั่นพรึงไร้ที่ติของจ้าวตำหนักศพโลหิตทำลายยอดเขานั้นไป ทั้งพลังนั้นยังถูกอัดแน่นจนแม่นยำยิ่งนัก มิเช่นนั้นยอดเขานั้นคงถล่มลงมาแล้ว

เสียงหวีดหวิวของสายลมปรากฏขึ้นที่กลางอากาศเหนือศีรษะ

ร่างของจ้าวเฟิงกลับกลายเป็นกลุ่มก้อนสายลมที่ส่งเสียงครืนครางของสายฟ้า ทั้งลึกลับยากจะคาดเดา เคลื่อนไหวทั่วระยะ 1-2 ลี้ เข้าปะทะกับอีกฝ่าย

“อ๊ากกกก”

ใกล้เรือสีแดงอมดำลำใหญ่ได้ปรากฏเสียงกรีดร้องขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สายลมที่ปรากฏเสียงครืนครางของสายฟ้าราวกับภาพลวงตา ทุกการเคลื่อนไหวของมันจะเก็บเกี่ยวเอาชีวิตของผู้ฝึกตนไปหนึ่งหรือสองคน ตามด้วยโลหิตที่สาดกระจาย

“เจ้าเดรัจฉานสมควรตาย”

จ้าวตำหนักศพโลหิตกราดเกรี้ยวอย่างหนัก ร่างกลับกลายเป็นเส้นแสงสีม่วงอมแดง ไล่ล่าจ้าวเฟิงไป

ทว่าความเร็วของเขา เมื่อเทียบกับจ้าวเฟิงแล้วไม่มีความเหนือกว่าใดๆ

ร่างของจ้าวเฟิงเคลื่อนไหวไปมาราวกับภาพลวงตา หลังจากผ่านการ ‘ปฏิบัติ’ แล้วจึงกลับไปทำความเข้าใจ ‘อนุสรณ์วายุอัสนีโบราณ’ ในสมองอีกครั้ง

อนุสรณ์วายุอัสนีโบราณคือมรดกของมหาจักรพรรดิวายุอัสนี เหนือกว่าผู้คนทั้งปวงในด้านความเร็ว อาจกล่าวได้ว่าเป็นมรดกของมหาจักรพรรดิที่มีความรวดเร็วเป็นอันดับหนึ่ง ขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงเมื่อเทียบกับจ้าวตำหนักศพโลหิตแล้วก็มีเพียงแค่จะเหนือกว่า ไม่ด้อยกว่า พลังฝึกตนของเขา แม้ว่าจะยังไม่บรรลุสู่ขั้นนายเหนือแท้ ทว่าความสามารถในการตอบสนองของไอสวรรค์และด้านอื่นๆ ก็ไม่เลวร้ายกว่านัก

เช่นนั้นเอง

ความเร็วของจ้าวเฟิงจึงอยู่ในจุดสูงสุด สลัด ‘จ้าวตำหนักศพโลหิต’ ออกและมุ่งหน้าไปจัดการยอดฝีมือของพันธมิตรมังกรโลหะ

“อ๊ากกกก”

ความเกลียดแค้นจ้าวตำหนักศพโลหิตถึงขีดจำกัด แทบจะสูญสิ้นสตินึกคิดไป

เขาทำได้เพียงแค่มองจ้าวเฟิงเข่นฆ่าลูกน้องของตนเองอย่างไร้หนทาง สิ่งที่ทำให้เขาไม่อาจทำสิ่งใดได้คือความเร็วของจ้าวเฟิงที่มักจะเหนือกว่าหนึ่งขั้นหรือครึ่งนาที ทำให้สามารถจัดการเรื่องราวได้อย่างง่ายดาย

ความเร็วของจ้าวเฟิงเหนือกว่าจ้าวตำหนักศพโลหิตอย่างมั่นคงด้วยการควบคุมที่แม่นยำของดวงตาเทพเจ้า แม้จะมีจ้าวตำหนักศพโลหิตเพิ่มอีก 1-2 คนก็ไม่อาจล้อมเขาได้

ในหนึ่งนาที

ลูกน้องที่จ้าวตำหนักศพโลหิตนำมาก็ตายเกือบหมด

ผู้ฝึกตนในขั้นผู้วิเศษแท้ นอกจากหลินทงแล้ว คนระดับสูงคนอื่นๆ ล้วนถูกจัดการจนหมดสิ้น ยามที่จ้าวเฟิงเข่นฆ่า นัยน์ตาไร้ซึ่งความสั่นไหวลังเล ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับหุ่นเชิดที่มีร่างกายเป็นมนุษย์เท่านั้น

สิ่งที่ทำให้จ้าวตำหนักศพโลหิตกราดเกรี้ยวอย่างมากคือ ยามที่จ้าวเฟิงปะทะกับพวกมัน อีกฝ่ายมักจะปิดเปลือกตา ราวกับกำลังทำความเข้าใจบางสิ่ง

“บัดซบ”

ทรวงอกของจ้าวตำหนักศพโลหิตแทบจะระเบิดออกด้วยความโกรธแค้นที่จ้าวเฟิงใช้ลูกน้องของมันในการช่วยฝึกฝนวิชา

ในเวลาสั้นๆ เพียง 10-20 ลมหายใจ การใช้พลังวายุอัสนีของจ้าวเฟิงก็ปรากฏความก้าวหน้าขึ้นอย่างชัดเจน

ในสมอง ‘อนุสรณ์วายุอัสนีโบราณ’ ได้ปรากฏแสงของสายฟ้าและสายลมชัดเจนขึ้น เสวียนอ้าวของ ‘โลกแห่งสายฟ้าและสายลม’ ที่แตกหักอ้างว้างถูกตีความทำความเข้าใจ รูปแบบที่ตีความออกมาได้นั้นทำให้จ้าวเฟิงสามารถรับรู้ถึงภูมิความรู้ที่เหนือกว่าในยามนี้บางอย่าง กระทั่งถึงจุดหนึ่ง จ้าวเฟิงจึงค้นพบว่านอกจากจ้าวตำหนักศพโลหิตก็ไม่เหลือผู้ใดอยู่อีก

มีเพียงร่างสั่นเทาของหลินทงที่หลบซ่อนอยู่ในรอยแตกของผนังผา

หลินทงมั่นใจว่าจ้าวเฟิงต้องจงใจ หรือมิเช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้ตนเองยังมีชีวิตอยู่

“จ้าวตำหนักศพโลหิต ลูกน้องเจ้าตายหมดแล้ว” มุมปากของจ้าวเฟิงยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มยินดีปนครุ่นคิด

สีหน้าของจ้าวตำหนักศพโลหิตมืดครึ้ม จิตสังหารข้นคลั่กส่องประกายออกจากดวงตา ทว่าเขายังไม่สูญเสียสติไป หลังจากที่กราดเกรี้ยวจนแทบบ้าไปชั่วขณะ จ้าวตำหนักศพโลหิตกลับเยือกเย็นลง เขาสืบมาก่อนแล้วว่าสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ในการป้องกัน โดยเฉพาะวิชาลวงตาและการรุกรานจิตใจ

ในยามนี้

คนของพันธมิตรสังหารมังกรได้หลบหนีไปจนหมดแล้ว

ใจกลางฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย เหลือเพียงร่างของจ้าวเฟิงและจ้าวตำหนักศพโลหิตเผชิญหน้ากันห่างออกไป

คนทั้งสองมองหน้ากันเพียงชั่วขณะก็พลันลงมือ

เคร้ง

‘ลำแสงสีม่วงแดง’ ปะทะเข้ากับ ‘สายลมกระแสไฟฟ้า’ หลายครั้งกลางอากาศอย่างรวดเร็ว

เปรี้ยง ครืนนน

การโจมตีของทั้งสองแม่นยำยิ่งนัก คลื่นพลังโจมตีไม่เคยเลยออกไปนอกระยะ 20 จ้าง หลังจากปะทะกันหลายครั้ง ร่างทั้งสองจึงแยกออกจากกัน สายตาของจ้าวตำหนักศพโลหิตเต็มไปด้วยความเกลียดชัง บนร่างปรากฏรอยไหม้ขึ้นหลายรอย

“พลังกายของจ้าวตำหนักศพโลหิตนี่แข็งแกร่งยิ่งนัก เทียบกับโม่ก่านจากตำหนักผาดำได้ การโจมตีจากขั้นนายเหนือแท้ในระดับเดียวกันยากที่จะทะลวงผ่าน”

จ้าวเฟิงพึมพำในใจ

การปะทะรวดเร็วราวสายฟ้าของทั้งสอง จ้าวเฟิงเหนือกว่าในด้านความเร็วโดยไม่ต้องสงสัย

ทว่าในด้านพลังกายที่ปะทะกันตรงๆ เด็กหนุ่มไม่แกร่งไปกว่าอีกฝ่าย หากจะพูดโดยทั่วไป เขายังคงเหนือกว่า จ้าวตำหนักศพโลหิตทำได้เพียงแค่ป้องกันการโจมตีที่ถาโถมเข้าไป

“ในสถานการณ์ที่ข้าไม่ได้ใช้ดวงตาเทพเจ้า ดูเหมือนว่าการทะลวงเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้จะสามารถเพิ่มพลังต่อสู้ของข้าได้อีก”

ในใจจ้าวเฟิงปรากฏความเข้าใจ

หลังจากที่หยุดชะงักไปชั่วครู่ ร่างของจ้าวเฟิงก็หายไปอีกครั้ง สายลมกรีดร้องพร้อมสายฟ้าที่ส่งเสียงครืนครางให้ได้ยิน การควบคุมโคจรพลังสายลมและสายฟ้าของจ้าวเฟิงกระทั่งเชี่ยวชาญกว่าเดิม ความเร็วของเด็กหนุ่มเพิ่มขึ้นเล็กๆ

จ้าวตำหนักศพโลหิตตวาดลั่น ส่งกระบวนท่าลับที่ทรงพลังออกไป ทว่ากลับสามารถถูกทำความเข้าใจได้อย่างชัดเจนด้วยดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิง

กระบวนท่าทั้งสองปะทะกันอย่างรวดเร็ว

เมื่อความเร็วของจ้าวเฟิงเหนือกว่า ร่วมกับความสามารถในการควบคุมอันทรงพลังของดวงตาเทพเจ้าทำให้สามารถสร้างสถานการณ์ไร้พ่ายขึ้นได้

ทั้งนี่ยังเป็นจ้าวตำหนักศพโลหิตที่มีพลังป้องกันกายภาพแข็งแกร่งยิ่งนัก หากเป็นผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปอาจถูกฆ่าโดยจ้าวเฟิงไปแล้ว แม้จ้าวตำหนักศพโลหิตจะไม่ได้ฝึกฝนวิชากายาในศาสตร์แห่งศพโลหิต จ้าวเฟิงก็ยังสามารถส่งหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬที่เป็น ‘พิษ’ ต่อผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดไปฆ่าในเสี้ยววินาทีได้อย่างง่ายดาย

เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงพลันกลับกลายเป็นสีเขียวส่งเพลิงอัสนีวายุสีใสออกไปกลุ่มหนึ่ง ระเบิดบนร่างของจ้าวตำหนักศพโลหิต เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าในยามนี้ถูกใช้ออกโดยดวงตาสีเขียว สร้างเปลวเพลิงแห่งสายลมและสายฟ้า พลังโจมตีรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

จ้าวตำหนักศพโลหิตส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา ทั่วทั้งร่างถูกเพลิงอัสนีอาละวาดทำลาย สายลมพัดโหม เป็นการโจมตีที่มุ่งไปยังกายเนื้อและดวงวิญญาณพร้อมๆ กัน

“เป็นวิชาดวงตาที่น่าพรั่นพรึงนัก สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงสามารถรองรับมันได้ด้วยหรือ?”

เมื่อหลินทงที่หลบซ่อนอยู่เห็นกระบวนท่าดวงตาที่ทรงพลังไร้ที่ติก็เผยสีหน้าตื่นตะลึงขึ้นมา ในฐานะของผู้ที่ฝึกฝนวิชาดวงตา เขาย่อมเข้าใจถึงความทรงพลังของการโจมตีนั้นว่าต้องใช้พลังสายเลือดดวงตาในการรองรับมากมายเพียงใด นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังไม่ได้ใช้วิชาดวงตาทั่วๆ ไป มันคือเพลิงอัสนีที่มีพลังลมคอยหนุนอยู่

ในฐานะของผู้ที่ฝึกฝนในศาสตร์แห่งศพโลหิต จ้าวตำหนักศพโลหิตกลับสามารถต่อต้านการโจมตีของเพลิงอัสนีได้อย่างคาดไม่ถึง

การโจมตีของ ‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’ กลับสร้างสถานการณ์จนตรอกให้แก่จ้าวตำหนักศพโลหิต กระทั่งจ้าวเฟิงเองก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!