ตอนที่ 15
ต่อสู้ขั้นแตกหัก
รุ่งอรุณ ณ ลานกว้างบนเนินที่ราบสูง จากการที่เมิ่งฮ่าวมาเดินเร่ขายเม็ดยามากว่าครึ่งเดือน โดยเฉพาะหลายวันที่ลู่หงมากดขี่ขมเหง จึงมีผู้ฝึกตนมาที่นี่น้อยมาก โดยเฉพาะเวลาเช้าตรู่เช่นนี้ ก็ยิ่งบางตา มีเพียงแค่สองหรือสามคนเท่านั้น มานั่งขัดสมาธิอยู่
เมื่อเมิ่งฮ่าวเดินมาถึง พวกมันก็ลืมตาขึ้นมองมา และแต่ละคนก็แอบถอนหายใจออกมา ต่างก็คิดไปว่า เมื่อไหร่นะทุกสิ่งทุกอย่างถึงจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมเช่นที่ผ่านมาในอดีต
หลังจากนั้นสักพัก พวกมันก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นเมิ่งฮ่าวไม่ได้เดินเข้ามาบนเนินที่ราบสูง แต่กลับนั่งนิ่งหลับตา ขัดสมาธิอยู่ด้านนอก
สีหน้าพวกมันแสดงความประหลาดใจออกมา หันหน้ามองกันไปมา จากนั้นพวกมันก็คิดได้ถึงบางอย่าง ครั้นแล้วพวกมันก็เพ่งมองมาที่เมิ่งฮ่าวด้วยความชอบอกชอบใจ
เวลาผ่านไป ไม่ช้าก็เป็นช่วงสายของยามเช้า มีคนเดินมาบนเนินที่ราบสูงมากขึ้น และทุกคนก็สังเกตเห็นเมิ่งฮ่าว และพฤติกรรมที่ผิดปกติของเขา ทุกคนต่างก็คาดเดาไปต่างๆ นานา จนเกิดปรากฏการณ์ประหลาด ก็คือไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น
“เป็นไปได้ไหมว่า คำพูดของศิษย์พี่ลู่ได้ผล? ทำให้เมิ่งฮ่าวหวาดกลัว และไม่กล้าที่จะมาเร่ขายเม็ดยาอีก?”
“มันต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ศิษย์พี่ลู่คืออันดับหนึ่งของศิษย์ระดับต่ำ เมิ่งฮ่าวมีหรือจะไม่กลัวเกรง หากมันต้องการให้ไสหัวไป ก็ต้องไสหัวไป”
“ใครจะไปคิดว่าเจ้าผู้นี้จะรักตัวกลัวตายเช่นกัน? สิ่งที่มันทำได้ก็แค่ข่มเหงคนที่มีระดับพลังลมปราณต่ำกว่ามันเท่านั้น ดูซิว่าคราวนี้ มันจะยโสโอหังได้สักแค่ไหน มันคงคิดว่าเพียงแค่มันไม่ได้เอาป้ายยี่ห้อเส็งเคร็งนั่นมาด้วย ศิษย์พี่ลู่ก็คงจะปล่อยมันไปเช่นนั้นหรือ” บางคนก็เป็นเช่นนี้ สำหรับคนที่พวกมันหวาดกลัวมาก ต่อให้ใช้กำลังยื้อแย่งสมบัติไปจากมัน พวกมันก็ไม่โอดครวญ แต่หากเป็นผู้ที่มันไม่ยอมรับนับถือ แม้จะซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างอ่อนโยน พวกมันก็จะโอดครวญโดยไม่จบไม่สิ้น
ลู่หงสั่งสมอำนาจบารมีมานานแล้ว จากการใช้กำลังอย่างโหดร้ายเมื่อแต่ก่อน จวบจนบังคับซื้อขายในวันนี้ แม้ทุกคนไร้หนทาง ไร้ทางเลือก มีแต่อดทนรับไว้ มิหนำซ้ำยังรู้สึกไปว่า ศิษย์พี่ลู่มีเมตตาอารีมากขึ้น
เมิ่งฮ่าวเข้าสังกัดสำนักมาได้ไม่นาน ไม่ใช้กำลังวางก้าม เพียงค้าขายด้วยความสุภาพอ่อนโยน แต่ทุกคนกลับตัดพ้อต่อว่าอย่างไม่ลดละ
เมิ่งฮ่าวได้ยินทุกคำพูดของพวกมัน แต่สีหน้าของเขาก็ยังเรียบเฉยเหมือนเดิม แน่นอนเหตุผลที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่ด้านนอกของเขตส่วนรวม ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่ต้องการเข้าไป แต่เนื่องจากว่าตอนนี้พลังการฝึกตนของเขาอยู่ในขั้นสี่ของการรวบรวมลมปราณแล้ว เขาจึงไม่สามารถเข้าไปได้ แม้ว่าเขาต้องการจะเข้าไปก็ตามที
ท่างกลางการสนทนาของทั้งหมด ใครบางคนก็ปรากฏขึ้นตรงตีนเขา มันสวมใส่เสื้อยาวสีเขียว ดูแล้วอายุประมาณสามสิบปี และมีท่าทางเย่อหยิ่งยโส ลู่หง นั่นเอง ค่อยๆ เดินใกล้เข้ามา สองมือประสานอยู่ด้านหลัง
เมื่อมันปรากฏตัว เมิ่งฮ่าวก็ลืมตาที่สว่างเรืองรองขึ้น ทุกคนมองเห็นเขาลุกขึ้นยืน ตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ กระบี่สั้นเล่มเล็กก็ปรากฏขึ้น ส่องแสงระยิบระยับ เมิ่งฮ่าวพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา รังสีของกระบี่สั้นพุ่งตรงไปยังลู่หง
เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เสียงพูดก็ดังกระหึ่มยิ่งขึ้น ทุกคนต่างประหลาดใจที่เมิ่งฮ่าวไม่มีความเกรงกลัว เขาต้องการที่จะมีปัญหากับอันดับหนึ่งของศิษย์ระดับต่ำ ลู่หง จริงๆ?
“มัน…มันกำลังจะสู้กับลู่หง!”
“พวกมันต้องสู้กันไม่เร็วก็ช้า เมิ่งฮ่าวทำร้ายเฉาหยาง และ ลู่หงก็ทำลายการค้าของมัน การต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ ข้าเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเมิ่งฮ่าวจะกล้าลงมือจริงๆ ข้าคิดว่ามันคงไม่รู้จักประมาณตน”
“ศิษย์พี่ลู่ อยู่ในระดับขั้นสามมานานปีแล้ว เมิ่งฮ่าวต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน”
เมื่อเห็นเมิ่งฮ่าวพุ่งตรงมา สองตาลู่หงก็สาดประกายเจิดจ้า มันได้ตัดสินใจที่จะสังหารเมิ่งฮ่าว ถ้ามันเห็นเมิ่งฮ่าวอีกในวันนี้ และตอนนี้คู่ต่อสู้ของมันก็กล้าที่จะเริ่มขึ้นก่อน มันคิดว่าดีจริงๆ ไม่ต้องเสียเวลาอีกต่อไป มันพ่นลมออกทางจมูก ร่างเหมือนกับจะเปลี่ยนเป็นสายรุ้งเมื่อมันพุ่งเข้าไปหาเมิ่งฮ่าว ใช้มือขวาตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ กระบี่บินสีม่วงทองก็ปรากฏขึ้น
เมื่อกระบี่บินปรากฏ ก็บังเกิดเป็นเสียงแหลมเล็ก เปล่งประกายรัศมีเป็นสีม่วงทองกินบริเวณกว้างสิบกว่าจ้าง (1 จ้าง ยาวประมาณ 3 เมตร)
“นั่นเป็นกระบี่ประกายม่วงของศิษย์พี่ลู่!”
“ใช่แล้ว! ข้าเคยได้ยินมาว่า กระบี่ประกายม่วงเป็นรางวัล ที่ศิษย์พี่ลู่ได้รับจากสำนัก ตอนที่มันไปทำภารกิจพิเศษให้ กระบี่เล่มนี้คมกล้ายิ่งนัก”
สองคน หนึ่งอยู่บนเขา หนึ่งอยู่เชิงเขา ขณะนี้ เข้าประชิดกันในพริบตา
ท่ามกลางเสียงกระหึ่มดังกึกก้อง ลู่หงสีหน้าเปลี่ยนไป โลหิตพุ่งกระจายออกจากปาก ร่างลอยกลับไปด้านหลัง จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความตื่นตระหนก
“ระดับขั้นสี่ของการรวบรวมลมปราณ!”
เมิ่งฮ่าวสีหน้าน่าเกลียด ตนเพิ่งก้าวสู่ขั้นสี่ของการรวบรวมลมปราณ ยังไม่เสถียร ยังแสดงพลังแห่งขั้นสี่ได้ไม่เต็มที่
ถึงเมิ่งฮ่าวจะโจมตีด้วยท่าร่างธรรมดา แต่ก็เต็มไปด้วยพลังความดุร้าย แม้กระนั้นกระบี่บินของเขาก็เกิดรอยร้าวที่เห็นได้ชัดเจน ดูเหมือนว่าอาวุธเวทของลู่หงจะมีพลังความคมมาก จนทำลายอาวุธของเขาได้
แม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะมีประสบการณ์ต่อสู้ไม่มากนัก แต่เวลาครึ่งปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่ ใช้ไปกับการล่าสัตว์ป่าในเขตภูเขา จึงทำให้ความเร็วของร่างกายเขาเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างวันที่อยู่บนเนินที่ราบสูง เขาก็ได้สังเกตเห็นการต่อสู้มากมาย ทำให้เขาพอจะเข้าใจถึงวิธีการต่อสู้มาบ้าง เมื่อลู่หงถอยไปด้านหลัง เขาก็พุ่งตามติดไป มือขวาตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ กระบี่บินอีกเล่มก็ปรากฏขึ้นข้างเล่มที่มีรอยร้าว ประกายกระบี่สองเล่มรวมเข้าด้วยกัน พุ่งตรงเข้าไปหาลู่หง
เมื่อเขาเร่งความเร็วไปข้างหน้า นิ้วของเมิ่งฮ่าวก็เริ่มมีเปลวไฟพุ่งออกมา เมื่อก้าวขึ้นไปสามก้าว เปลวไฟอสรพิษก็ปรากฏขึ้น เปลวไฟขนาดเท่าแขนของเขา ยาวเกือบครึ่งจ้าง ลุกโชนไปในอากาศ จากนั้นก็มีเสียงดังกระหึ่มพุ่งตรงเข้าไปที่ลู่หง
ลู่หงมองดูด้วยความตกใจ ยังไม่ทันได้เช็ดคราบโลหิตที่ปาก รีบขยับร่างถอยหลบไปอย่างรวดเร็ว สองตาเบิกโพลงด้วยความโกรธ มันคาดว่าเมิ่งฮ่าวน่าจะเพิ่งก้าวถึงระดับขั้นสี่ ส่วนมันมีอาวุธเวทคุ้มกาย ผลลัพธ์ของการต่อสู้ครั้งนี้ยังไม่แน่นอน แต่ถ้ามันสังหารเมิ่งฮ่าวได้ ก็จะยิ่งสร้างชื่อเสียงให้มันมากขึ้นไปอีก แม้คนผู้นี้จะมีศิษย์พี่หญิงสวี่เป็นที่พึ่ง แต่มันก็หาใช่ตัวคนเดียวไม่
สองตาของมันลุกโชนไปด้วยความต้องการสังหาร นิ้วมือของมันประสานเคล็ดวิชา ครั้นแล้วก็ปรากฏก้อนน้ำสีสันแพรวพราวขึ้นในมือของมัน มันโยนน้ำก้อนนั้นออกไป ระเบิดออกมากลายเป็นลูกธนูวารีมากมายนับไม่ถ้วน ยิงตรงไปที่เปลวไฟอสรพิษ
ขณะเดียวกัน นิ้วของมันประสานเคล็ดวิชาขึ้นแล้วชี้ออกไป กระบี่ประกายม่วงส่งเสียงโลหะกระทบกันขึ้นสองครั้ง เสียงดังกึกก้อง กระบี่บินของเมิ่งฮ่าวแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยขณะกระทบกับมันจากนั้นกระบี่ประกายม่วงบินลอยไปตามลูกธนูวารี พุ่งตรงไปยังเปลวไฟอสรพิษ
พร้อมกับเสียงกระหึ่มดังกึกก้อง เปลวไฟอสรพิษกลายเป็นฝุ่นละอองเมฆจางหายไป ลูกธนูวารีก็กลายเป็นกลุ่มหมอกควัน และกระบี่ประกายม่วงลอยกลับไปที่ลู่หง รัศมีสีม่วงทองของมันไม่ค่อยส่องประกายเหมือนตอนแรก ปรากฏรอยร้าวขึ้นที่ตัวกระบี่ แต่ก็ยังคมกริบเหมือนเช่นเคย
“พลังระดับขั้นสี่ของการรวบรวมลมปราณแล้วไง ไม่มีอาวุธเวทที่ดีพอ การสังหารเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยาก ต่อให้มีเปลวไฟอสรพิษแบบนั้น เจ้ายังไม่ถึงบรรลุถึงระดับขั้นห้า จะใช้งานได้สักกี่ครั้งกัน” ในใจลู่หง กำลังกังวลกับกระบี่บินของมัน แต่การแสดงออกภายนอก มันยังคงฉีกยิ้มกว้าง ไม่ยอมล่าถอยแม้แต่ก้าวเดียว
“กระบี่ของเจ้าอาจจะคมมาก แต่เจ้าจะมีมันสักกี่เล่ม เพราะถ้าเป็นกระบี่บิน…ข้ายังมีอีกมาก สำหรับระดับขั้นห้าของการรวบรวมลมปราณ ด้วยเม็ดยาทั้งหมดที่ศิษย์พี่หญิงสวี่ให้กับข้าเป็นประจำ คงอีกไม่นานที่ข้าจะก้าวไปถึงได้” สีหน้าเขาไร้ความรู้สึก แต่ภายในจิตใจเมิ่งฮ่าวรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก นี่เป็นการต่อสู้จริงครั้งแรกของเขา จากนั้นเขาก็ตบไปที่ถุงเก็บสมบัติ กระบี่บินอีกสามเล่มก็ปรากฏขึ้น พุ่งตรงเข้าใส่ลู่หง
ลู่หงสีหน้าเป็นกังวลขึ้นทันที แต่ก็ไม่ได้ลังเลนานไป มันส่งเสียงคำราม จากนั้นกระบี่บินทั้งสามเล่มของเมิ่งฮ่าวก็ปะทะกับกระบี่ประกายม่วง
เคร้ง เคร้ง เคร้ง! กระบี่ทั้งสามเล่มแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ และเช่นกัน ประกายรังสีของกระบี่ประกายม่วงก็ลดลงไปครึ่งนึง รอยร้าวเกิดเพิ่มขึ้นบนตัวกระบี่ ลู่หงมองดูด้วยความเจ็บปวด
ก่อนที่มันจะทันมีปฏิกิริยาใดๆ เมิ่งฮ่าวก็ตบไปที่ถุงเก็บสมบัติโดยไม่ลังเลอีกครั้ง และกระบี่บินประกายวาววับอีกสามเล่มก็ปรากฏขึ้น เขาควงหมุนแขน เปลวไฟอสรพิษก็ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง พวกกลุ่มคนที่มุงดูต่างก็รู้สึกตกใจไปตามๆ กัน
“เมิ่งฮ่าว…มัน…มันทำให้ศิษย์พี่ลู่ตกอยู่ในความยากลำบากได้ขนาดนี้ จริงๆแล้ว มันถึงกับอยู่ในระดับขั้นสี่ของการรวบรวมลมปราณ!”
“มันเข้าสังกัดสำนักมาไม่นาน แต่มันก็อยู่ในระดับขั้นสี่ได้แล้ว มันอยู่ที่ขั้นสี่แล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นย่อมทำให้ศิษย์พี่ลู่เป็นเช่นนี้ไม่ได้ แต่มันฝึกได้ยังไงถึงได้ก้าวหน้ารวดเร็วนัก? อะไรที่ศิษย์พี่หญิงสวี่มอบให้มันกันแน่ บัดซบ! ถ้าข้ามีใครสักคนที่จะพึ่งพาได้แบบนั้น บางทีข้าก็จะสามารถก้าวหน้าอย่างรวดเร็วแบบนั้นได้เหมือนกัน” เหล่าฝูงชนที่มุงดูพูดกันเสียงกระหึ่ม ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
สีหน้าลู่หงเปลี่ยนไปอีกครั้ง และถอยหลังไป กัดฟันแน่น นิ้วของประสานเคล็ดอีกครั้ง และก้อนน้ำก็ปรากฏขึ้น มันคิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้ของมันจะมีอาวุธเวทมากมายเช่นนั้น
เสียงดังเกิดขึ้นเมื่อกระบี่บินทั้งสามเล่มของเมิ่งฮ่าวแตกหักกลายเป็นชิ้นเล็กๆ ตามด้วยเปลวไฟอสรพิษที่สลายร่างไป ประกายรังสีของกระบี่ประกายม่วง ยิ่งมืดลงตามไปด้วย แต่ที่สร้างความตกใจให้กับลู่หงมากที่สุด ก็คือ เมิ่งฮ่าวยังคงมีกระบี่บินเพิ่มขึ้นมาอีกสามเล่ม เสียงดังเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อกระบี่บินทั้งสามเล่มแตกกระจาย กระบี่ประกายม่วงส่งเสียงร้องคร่ำครวญ จากนั้นก็แตกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ลู่หงตาเบิกโพลงกว้าง กระอักโลหิตออกมากองใหญ่ เดินโซเซถอยไปด้านหลัง มันจ้องไปที่เมิ่งฮ่าว
สีหน้าเมิ่งฮ่าวยังคงเรียบเฉยเหมือนเดิม แต่ในใจกลับกังวลมากขึ้น ทุกๆ หนึ่งกระบี่บิน เท่ากับ หนึ่งหินลมปราณ เขาโบกมือขวาอีกครั้ง เปลวไฟอสรพิษก็ปรากฏขึ้น ส่งเสียงคำรามและบิดตัวไปมาในอากาศรอบๆ ตัวเขา พุ่งตรงไปที่ลู่หง
เมิ่งฮ่าวพุ่งตรงไปยังลู่หงที่กำลังกระโดดหลบ ด้วยความเร็วคล้ายสายรุ้ง ตามติดไปด้วยเปลวไฟอสรพิษ และกระบี่บินเล่มใหม่ก็ปรากฏขึ้นดุจสายฟ้า ห่างจากลู่หงไม่เกินหนึ่งจ้าง รังสีของกระบี่บินส่องประกายแห่งความตายออกมา
“เจ้าบังคับให้ข้าทำเองนะ!” ลู่หงร้องตะโกน เส้นผมกระจัดกระจาย เสื้อเปื้อนไปด้วยโลหิต ตั้งแต่วันแรกที่มันเข้าสังกัดสำนักจนกระทั่งถึงตอนนี้ มันไม่เคยพบเจอประสบการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้มาก่อน สายตามันลุกโชน พร้อมเสียงคำราม มันฉีกเสื้อยาวออก เผยให้เห็นขวดน้ำเต้าหยกห้อยอยู่ที่คอ มันแผ่พุ่งพลังลมปราณทั้งหมดที่มีเข้าไปในน้ำเต้าหยกใบนั้น
ขวดน้ำเต้าหยกเริ่มเปล่งแสงเจิดจ้า เสียงกระหึ่มดังกึกก้อง ในอากาศเบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว ปรากฏภาพลวงตาเป็นขวดน้ำเต้ายักษ์ มีขนาดใหญ่มากกว่าขวดน้ำเต้าหยกที่แขวนอยู่ที่คอมันหลายเท่า ขนาดสูงประมาณครึ่งตัวคน
อันที่จริง พลังฝึกตนของลู่หงไม่ได้แข็งแกร่งพอ ที่จะควบคุมน้ำเต้าวิเศษนี้ได้เต็มประสิทธิภาพ ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่ามันพร้อมที่จะหายไปได้ทุกเมื่อ ก่อนที่จะเลือนหายไป ลู่หงพ่นโลหิตออกจากปาก และก้าวถอยหลังไปอีกครั้ง สีหน้ามันซีดขาวราวคนตาย แต่มันก็ยังคงจ้องมองไปที่เมิ่งฮ่าวด้วยความโกรธความอาฆาต
ถึงแม้ว่าขวดน้ำเต้ายังไม่สมบูรณ์ แต่พลังลมปราณที่อยู่ด้านในก็ทำให้สีหน้าของเมิ่งฮ่าวเปลี่ยนไป จากนั้นภาพลวงตาของน้ำเต้าก็ส่งเสียงดังคล้ายสายฟ้า และลำแสงสีเขียวก็พุ่งออกมาจากปากขวด กระแทกไปที่เปลวไฟอสรพิษและกลืนกินตัวเมิ่งฮ่าว
“นี่เป็นของวิเศษที่ศิษย์พี่หวังเถิงเฟยให้ข้ามา คนที่มีระดับขั้นสี่ของการรวบรวมลมปราณขึ้นไปเท่านั้นถึงจะใช้ได้ แต่เจ้าอยากหาที่ตายเอง เมิ่งฮ่าว เจ้าบังคับให้ข้าต้องใช้มันทั้งๆ ที่พลังยังไม่ถึงขั้นสี่ ถึงข้าจะต้องจ่ายค่าตอบแทน แต่เจ้าก็ต้องตายอย่างแน่นอนในครั้งนี้” ลู่หงเริ่มหัวเราะอย่างป่าเถื่อนเสียงดัง แต่เสียงหัวเราะยังไม่ทันจางหาย มันก็ต้องตกใจขึ้นอีกครั้ง เมื่อรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า มันจ้องมองมาด้วยความประหลาดใจ
ลำแสงสีเขียวกระแทกไปที่เมิ่งฮ่าว ทำให้เขากระเด็นไปด้านหลังเกือบสิบจ้าง อย่างไรก็ตามมันถูกป้องกันด้วยเกราะสีชมพู ซึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งร่างของเมิ่งฮ่าว เมื่อลำแสงสีเขียวหายไปพร้อมกับเกราะสีชมพู มันก็เปลี่ยนเป็นจี้หยกสีชมพูอยู่ในมือเมิ่งฮ่าว ผิวหน้าของจี้หยกปรากฏรอยร้าวขึ้นหนึ่งเส้น
เมิ่งฮ่าวถือจี้หยกอยู่ในมือ เหงื่อเย็นๆ ไหลลงไปตามด้านหลัง จิตใจเริ่มมีความหวาดกลัวเกิดขึ้น ถ้าเขาไม่ได้จี้หยกซึ่งศิษย์พี่หญิงสวี่มอบให้เขานี้ เขาคงโดนกำจัดไปโดยพลังที่น่ากลัวของขวดน้ำเต้านั้นไปแล้ว
“นั่นเป็นของวิเศษอะไร!?” เมิ่งฮ่าวมองไปที่ขวดน้ำเต้าหยกซึ่งแขวนอยู่ที่คอของลู่หง เห็นได้ชัดว่ามันกำลังได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง เขากระโดดไปข้างหน้าและคว้าขวดน้ำเต้าที่คอของลู่หงกระชากดึงออกมา จากนั้นก็หยิบใส่ถุงเก็บสมบัติของเขาอย่างรวดเร็ว
“นั่นเป็นของที่ศิษย์พี่หวังเถิงเฟยมอบให้ข้า! ถ้าเจ้ากล้าขโมยมันไป เจ้าต้องได้เจอกับความกริ้วของศิษย์พี่หวังอย่างแน่นอน!” ลู่หงสีหน้าห่อเหี่ยว ร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน มันเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าขวดน้ำเต้าหยกจะไม่มีผลกับเมิ่งฮ่าว
“กฎของสำนักกล่าวไว้ว่า ถ้าเจ้าถือของสิ่งใดอยู่ในมือ ของสิ่งนั้นก็เป็นของเจ้า” เมิ่งฮ่าวกล่าว ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่หลังจากที่คิดว่าน้ำเต้าหยกมีพลังมาก เขาไม่อยากส่งคืนกลับไป ความเป็นศัตรูเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ยากที่จะลบเลือนหายไป ด้วยจิตใจที่มีแต่ความเกลียดชัง เขาจ้องไปที่ลู่หงอย่างเย็นชา
“ที่นี่ไม่ใช่เขตส่วนรวม” ลู่หงพูดขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง เพิ่มเสียงให้ดังขึ้น จนทุกคนในบริเวณนั้นได้ยิน มันกล่าวว่า “ถ้าเจ้ากล้าสังหารข้า ก็จะเป็นการละเมิดกฎของสำนัก!”
“ข้า, เมิ่งฮ่าว จะไม่ละเมิดกฎของสำนัก แต่เมื่อวาน เจ้าบอกว่าจะทำลายพลังการฝึกตนของข้า ดังนั้น วันนี้ข้าก็จะทำเช่นเดียวกันกับเจ้า” เมิ่งฮ่าวที่ดูสงบเยือกเย็น ยกมือขวาขึ้นมา ซัดกระบี่บินไปปักเข้าที่จุดตันเถียนของลู่หง ทำลายพลังลมปราณทั้งหมดของมันไป จากนั้นก็ยืนเด่นอยู่ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอย่างน่าอนาถใจของลู่หง ความหวาดกลัวกระจายออกไปทั่วเนินที่ราบสูงแห่งนั้น