ตอนที่ 729
ขั้นเส้นลมปราณ!
ตูม!!
โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปากเมิ่งฮ่าว เขารับรู้ได้ว่าหมัดของสัตว์อสูรศีรษะวัว ประกอบด้วยพลังของกายเนื้ออันน่าเหลือเชื่อ พลังเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ตนเองไม่อาจจะต้านทานได้
อย่างไรก็ตามก่อนที่หมัดนั้นจะกระแทกลงมา ปราณและโลหิตก็ถูกดูดซับเข้าไปโดยพลังแรงดึงดูดในมือของเขา ซึ่งทำให้รู้สึกแปลกประหลาดใจกว่าก่อนหน้านี้ ทันทีที่ดูดซับพลังนั้นเข้าไปได้ ก็ทำให้ร่างกายเขาแข็งแกร่งขึ้น
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายเจิดจ้า
สัตว์อสูรศีรษะวัวจ้องมองมาด้วยความตกตะลึงและประหลาดใจ
“วิธีนี้ใช้ได้!!” เมิ่งฮ่าวคิด “เวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิต ไม่เพียงแต่จะใช้กับภายนอกร่างกายได้เท่านั้น ข้ายังสามารถใช้ออกด้วยวิธีอื่นอีกด้วย เช่นการหลอมรวมมันเข้าไปในร่างกายของข้า!” เมิ่งฮ่าวหัวเราะออกมาเป็นเสียงดัง ดวงตาสาดประกายด้วยความต้องการต่อสู้ แต่แทนที่เขาจะรีบโจมตีออกไป เขากลับถอยไปที่ด้านหลังเหมือนกับครั้งก่อนหน้านี้
ทุกครั้งที่เขาหลบเลี่ยงการโจมตีของมัน ก็จะค้นหาวิธีที่จะเข้าไปใกล้สัตว์อสูรศีรษะวัว เพื่อใช้ฝ่ามือแตะไปที่ตัวมัน
“บัดซบ! ยังกับโดนยุงกัด!” สัตว์อสูรศีรษะวัวแผดร้องออกมา “เจ้ากล้ามาต่อสู้แบบตรงๆ กับข้าหรือไม่?” เมิ่งฮ่าวไม่โต้ตอบแม้แต่คำเดียว แต่ดวงตาก็เริ่มเปล่งประกายเจิดจ้ามากขึ้น ทุกครั้งที่เขาแตะไปโดนตัวสัตว์อสูรศีรษะวัว เขาก็จะดูดซับปราณและโลหิตของมันเข้าไปได้เล็กน้อย อย่างช้าๆ พลังของกายเนื้อได้เพิ่มขึ้น ทำให้เขามีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิม
หลังจากธูปไหม้หมดหนึ่งดอกผ่านไป ร่างเมิ่งฮ่าวก็สั่นสะท้าน ในทันทีที่เขาแตะสัมผัสไปโดนตัวมันอีกครั้ง กายเนื้อเขาก็พุ่งทะยานจากขั้นตัดวิญญาณไปสู่ขั้นค้นหาเต๋า
“ต้องการสู้? ถ้าเช่นนั้นก็มาสู้กัน!” ขณะที่เขาพูด ก็หยุดการหลบหลีก และต่อยหมัดตรงไปยังสัตว์อสูรศีรษะวัว ซึ่งมีปฏิกิริยาเชื่องช้าอยู่เล็กน้อย
ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรศีรษะวัวกำลังรู้สึกดีใจ และหัวเราะเป็นเสียงดังออกมา ขณะที่มันพุ่งตรงเข้ามา
ตูมมมมมม!!
เมิ่งฮ่าวและสัตว์อสูรศีรษะวัว ต่อสู้กันไปมาในกลางอากาศ แต่ละครั้ง เมิ่งฮ่าวก็จะจบลงด้วยการลอยละลิ่วปลิวไปทางด้านหลัง แต่ในเวลาเดียวกันนั้น กายเนื้อเขาก็เริ่มแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่กลับกัน สัตว์อสูรศีรษะวัวเริ่มตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อยๆ ความแข็งแกร่งของมันค่อยๆ ลดน้อยลงไป ร่างกายที่แข็งแรงใหญ่โตก่อนหน้านี้ของมัน กำลังแห้งเหี่ยวลงไปอย่างช้าๆ
“เจ้าแข็งแกร่งจริงๆ!” มันร้องอุทานออกมา “เป็นไปได้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าแสร้งทำเป็นสู้ข้าไม่ได้?”
“บัดซบ เจ้าบังอาจมาล้อข้าเล่น!!” ตอนนี้เมื่อมันตระหนักว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น มันก็เริ่มกราดเกรี้ยวเดือดดาล พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าวอย่างไม่ลดละ
หลังจากที่ธูปอีกหนึ่งดอกได้เผาไหม้หมดไป…เมิ่งฮ่าวและสัตว์อสูรศีรษะวัวก็ต่อสู้กันต่อไป สัตว์อสูรศีรษะวัวไม่ยอมจะหลบเลี่ยง โทสะของมันพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงต่อเนื่อง
แต่หลังจากที่ธูปได้เผาไหม้หมดไปอีกหนึ่งดอก…
“เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าช่างแข็งแกร่งนัก! เป็นไปได้อย่างไรกัน!?!?” ตอนนี้สัตว์อสูรศีรษะวัวกำลังล่าถอยออกไป และมีท่าทางงุนงงกับความดุร้ายที่เมิ่งฮ่าวได้แสดงออกมา มันต่อยและต่อยออกไปเรื่อยๆ แต่ผลลัพธ์ก็คือทำให้มันอ่อนแอลงไปมากขึ้นกว่าเดิม
หลังจากที่ธูปไหม้หมดสามดอกผ่านไป เสียงระเบิดก็ดังออกมา และร่างของสัตว์อสูรศีรษะวัวก็สั่นสะท้านเท้าชี้ฟ้าลอยละลิ่วปลิวไปทางด้านหลัง กระแทกเข้าไปบนพื้นผิวของแท่นบูชาอย่างรุนแรง ร่างกายมันเหี่ยวแห้งและอ่อนแอลงอย่างน่าเหลือเชื่อ เมื่อเทียบกับรูปร่างที่กำยำแข็งแรงของมันก่อนหน้านี้ ก็เห็นได้ชัดว่ามันได้อ่อนแอลงไปมาก แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังแข็งแกร่งกว่าบุคคลอื่นโดยทั่วไป
“ข้า…ทำไมข้าถึงได้ผอมลงเช่นนี้?”
“อ๊ากกกกก ข้าผอมลง!!” สัตว์อสูรศีรษะวัวมองเห็นเมิ่งฮ่าวใกล้เข้ามาอีกครั้ง เพื่อที่จะโจมตีอีก ทันใดนั้นมันก็เริ่มตัวสั่น “เวทอสูร! เจ้าเด็กน้อยกำลังใช้เวทอสูร!!”
“ข้ายอมแพ้! บัดซบ! การทดสอบจบลงแล้ว! เจ้าชนะ ผ่านด่านนี้ไปได้!”
สัตว์อสูรศีรษะวัวกล่าวขึ้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย พยายามจะไม่แสดงโทสะออกมาบนใบหน้า
เมิ่งฮ่าวหยุดชะงักลง อันที่จริงเขารู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย ต้องขอบคุณสัตว์อสูรศีรษะวัวผู้นี้ ที่ช่วยให้เขามีความเข้าใจใหม่ๆ ต่อวิธีการใช้เวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิต วิธีใหม่นี้ทำให้เวทอสูรโลหิตมีประโยชน์มากยิ่งขึ้น
“ขอบคุณมาก ผู้อาวุโส” เขากล่าว ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ
สัตว์อสูรศีรษะวัวแค่นเสียงเย็นชา และไม่สนใจเมิ่งฮ่าว มันมองลงไปยังร่างกายของตนเองและบ่นพึมพำด้วยความหงุดหงิดและทุกข์ทรมานออกมา “ข้าผอมลง…ผอมลงมาก…ข้าจบสิ้นแล้ว จบสิ้น! เมื่อข้ากลับบ้านไป หวังว่าอีแก่ที่บ้านคงไม่สังหารข้าไปหรอกนะ แต่ถ้า…ถ้านางทำเช่นนั้นจริงๆ ข้าควรจะทำอย่างไรดี?”
เมิ่งฮ่าวรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีกในตอนนี้ กระแอมไอออกมา รู้ดีว่าต่อให้อธิบายออกมาก็ไม่อาจจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เขาจึงรีบมุ่งหน้าตรงไปยังชั้นที่สามอย่างรวดเร็ว
บนชั้นที่สาม เขาพบว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับกระจกที่ส่องแสงแวววาวขนาดใหญ่ มีบุคคลโผล่ออกมาจากภายในกระจก ที่ดูเหมือนกับเมิ่งฮ่าวในทุกแง่มุม มันมองลงไปยังร่างกายของตนเอง จากนั้นก็ยิ้มอย่างเขินอายออกมา และมองกลับไปยังเมิ่งฮ่าว
ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบขึ้น และจากนั้นก็คิดย้อนกลับไปยังคำเตือนของลู่ปั๋ว
“ต่อสู้กับตนเอง? ไข่มุกดำขาวและขุนเขาที่เก้า!”
“ไข่มุกดำขาวและขุนเขาที่เก้า!” คนทั้งสองโจมตีออกไปโดยพร้อมเพรียงกัน และทันใดนั้น เสียงระเบิดอย่างน่าตกใจก็ดังก้องออกมา ที่ด้านนอกแท่นบูชา ลู่ปั๋วเงยหน้าขึ้นและมองตรงขึ้นไปยังชั้นที่สาม ดวงตามันสาดประกาย
เมิ่งฮ่าวล่าถอยออกไป เช่นเดียวกับร่างเลียนแบบของเขา
“เวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิต!”
“เวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิต!”
ตูม!
คนทั้งสองโจมตีด้วยความสามารถศักดิ์สิทธิ์และวิชาเวทเดียวกัน หลังจากที่ต่อสู้กันไปสองชั่วยาม ร่างเลียนแบบของเมิ่งฮ่าวก็เปลี่ยนกลยุทธ์ในทันที มันไม่ได้กระทำเช่นเดียวกับเมิ่งฮ่าวอีกต่อไป แต่ใช้วิชาเวทต่างๆ ของเขา โจมตีมาด้วยวิธีการของมันเอง
เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองเห็นใบหน้าเซียนโลหิตขนาดใหญ่ ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า ตามมาด้วยกระแสน้ำวนสีโลหิต ซึ่งเริ่มหมุนวนอยู่รอบๆ ร่างเขา สีหน้าเมิ่งฮ่าวน่าเกลียดขึ้นอย่างถึงที่สุด เจ้าร่างเลียนแบบนี้ช่างน่ารำคาญอย่างน่าเหลือเชื่อ ช่างน่าปวดหัวอย่างแท้จริง
ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักว่ามันคงต้องเหมือนกับคนอื่นๆ ที่มาต่อสู้กับเขา…นั่นก็คือความรู้สึก! โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาคิดไปถึง…เวทผนึกอสูรรุ่นแปด จริงๆ แล้วร่างเลียนแบบของเขาก็ใช้วิชานี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเมิ่งฮ่าวก็ต้องยอมรับว่าคู่ต่อสู้ของเขานี้…ยังทำได้ดีกว่าเขาซะอีก
ทุกครั้งที่ร่างเลียนแบบโจมตีมา มันก็จะใช้เวทผนึกอสูรรุ่นแปดในเวลาที่เหมาะสม จนเมิ่งฮ่าวอยากจะแผดร้องออกมาด้วยโทสะ
“เมื่อเจ้าสามารถใช้วิชาเวทเช่นนั้น!” เขาคิด ในท่ามกลางความรู้สึกรำคาญ เขาก็เริ่มลอกเลียนแบบวิธีการใช้เวทต่อสู้จากร่างเลียนแบบนั้น
เวทผนึกอสูรรุ่นแปดที่ยอดเยี่ยม!
เสียงระเบิดอันน่าเหลือเชื่อดังก้องออกมา ขณะที่คนทั้งสองกระแทกเข้าหากันและกัน ตอนนี้พวกเขาได้ต่อสู้กันมาเกือบจะหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว ทุกครั้งที่เมิ่งฮ่าวใช้เวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิต เพื่อดูดซับปราณและโลหิตของคู่ต่อสู้ มันก็เกิดขึ้นกับเขาเช่นเดียวกัน
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากที่แต่ละฝ่ายจะเอาชนะกันได้ แต่เมิ่งฮ่าวก็ได้เรียนรู้เพิ่มมากขึ้น ในช่วงของการต่อสู้นี้
“ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ คงยากที่จะรู้ผลแพ้ชนะ!!” เมิ่งฮ่าวเริ่มรู้สึกวิตกกังวล ในตอนนี้เองที่ผู้นำสีขาวซึ่งอยู่สูงขึ้นไปในกลางอากาศ จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา
“ในแต่ละชั้นเจ้าไม่อาจจะต่อสู้นานเกินหนึ่งวัน เจ้ายังมีเวลาเหลืออยู่แค่ธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก หลังจากนั้น ถ้าการต่อสู้นี้ยังไม่อาจจะรู้ผล…ก็จะถือว่าเจ้าพ่ายแพ้!”
“ทำไม?!” เมิ่งฮ่าวถาม มองขึ้นไปยังผู้นำสีขาว
“การเอาชนะผู้อื่นเป็นเรื่องง่ายดาย ในขณะที่การเอาชนะตนเองเป็นเรื่องที่ยากเย็น…ถ้าเจ้าไม่มีวิธีการเอาชนะตนเองได้ แล้วจิตแห่งเต๋าของเจ้าจะเสถียรมั่นคงได้อย่างไร? เจ้าจะไปเผชิญหน้ากับทัณฑ์เซียนในวันข้างหน้าได้อย่างไร?!”
“ในสมัยบรรพกาล คนแปลกหน้าใดๆ ก็ตามที่มายังที่แห่งนี้ต้องตายไป แต่เจตจำนงโบราณได้มาถึง และชนเผ่าของข้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำตามข้อตกลง นอกจากนั้น สถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นพื้นที่สำหรับการกลั่นสกัดอย่างเข้มข้น อันเนื่องมาจากข้อตกลงนั้น จุดประสงค์ของมันก็คือฝึกฝนการกลายเป็นเซียนแท้!”
“ยกตัวอย่างเช่น ในด่านแรกเป็นการทดสอบความสามารถมีชีวิตอยู่ของเจ้า ถ้าเจ้ากลายเป็นเซียนแท้ เจ้าก็ต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์เซียนมากมาย เจ้าต้องมีพลังที่จะปกป้องดูแลตนเองได้!”
“ด่านที่สองนี้เป็นการทดสอบพลังการรับรู้และความเข้าใจของเจ้า ถ้าเจ้ารู้สึกได้พอ ก็สามารถจะรู้แจ้งได้เองจากเวทต่างๆ ที่ติดขัดอยู่ในตอนนี้ จิตแห่งเต๋าเป็นเพียงแค่แง่มุมหนึ่งเท่านั้น”
“ทำให้ตนเองพ่ายแพ้ ทำให้จิตแห่งเต๋าเข้มแข็ง นั่นก็คือก้าวแรกที่จะกลายเป็นเซียนแท้ ถ้าเจ้าไม่อาจจะผ่านก้าวแรกนี้ ก็ถือว่าเจ้าล้มเหลว!”
จิตใจเมิ่งฮ่าวหมุนคว้าง
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้เจ้าก็ยังไม่พบว่า สถานที่แห่งนี้แตกต่างไปจากด้านนอก?!” ผู้นำสีขาวกล่าวต่อไป
“ช่างมันเถอะ เจ้าอยู่แค่ขั้นตัดวิญญาณเท่านั้น ไม่อาจจะมองเห็นความพิเศษไม่ธรรมดาของสถานที่แห่งนี้ได้ ให้ข้าบอกกับเจ้าเถอะ เด็กน้อย…ไม่มีกฎธรรมชาติอยู่ในที่แห่งนี้!”
“ด่านที่สองเป็นสถานที่ที่ไร้กฎเกณฑ์ใดๆ ทุกสิ่งทุกอย่างคือความว่างเปล่า!”
“ดังนั้น เจ้าจึงมีโอกาสที่จะได้รับความรู้แจ้งเกี่ยวกับวิชาเวท หรือแม้แต่เต๋าของเจ้าได้มากขึ้นกว่าเดิม ทำความเข้าใจถึงความสามารถศักดิ์สิทธิ์และเส้นทางแห่งความรู้แจ้งของเจ้า เพราะว่า สถานที่แห่งนี้…ไร้กฎเกณฑ์ที่จะไปแทรกแซงหรือบิดเบือนจิตใจที่แท้จริงของเจ้าได้!”
เมิ่งฮ่าวจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้คิดมากนักว่าทำไมสถานที่แห่งนี้ ถึงได้ดูแปลกๆ สิ่งทั้งหมดที่เขารู้ก็คือว่า เขารู้สึกค่อนข้างเป็นอิสระมากกว่า และจิตใจก็แจ่มชัดมากขึ้นกว่าเดิม
เขาไม่เคยจะคาดคิดว่าสถานที่แห่งนี้…จะไร้กฎธรรมชาติ?!
“เจ้ามีเวลาเพียงแค่ธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก ถ้าไม่อาจจะเอาชนะตนเองได้ทันเวลา เจ้าก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้!”
ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกาย เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่ร่างเลียนแบบใกล้เข้ามา คนทั้งสองเริ่มต่อสู้กันไปมาอีกครั้ง เวลาผ่านไป และในที่สุด เวลาธูปไหม้หมดครึ่งดอกก็ผ่านไป
“ข้าควรทำอย่างไรดี?” เมิ่งฮ่าวคิด “ข้าควรทำอย่างไรดี?! ถ้าข้าพ่ายแพ้ในครั้งแรกนี้ ครั้งที่สองก็คงจะยากกว่านี้แน่!”
“ถ้าข้าได้รับความรู้แจ้งในระดับสามของเวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิต และฝึกฝนมันได้สำเร็จ ข้าก็อาจจะสังหารร่างเลียนแบบนี้ไปได้!”
“ความเป็นไปได้อีกอย่างก็น่าจะรู้แจ้งจนบรรลุถึงการตัดวิญญาณครั้งที่สามของข้า หรือบางทีถ้าข้าเข้าใจวิธีการใช้ตัวอักษรของเต๋าเดิมแท้เวทอสูรไฟมอดไหม้ได้มากขึ้น!”
“ถ้าข้าสามารถใช้วิญญาณเซียนแท้เพื่อสร้างเป็นร่างจริงร่างที่สองของข้าได้ มันก็คงจะน่ากลัวอย่างถึงที่สุดเป็นแน่!”
“ทางเลือกอื่นก็คือผนึกร่างวิเศษสวรรค์ชั้นเก้า!”
น่าเสียดายที่เขาไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับเรื่องราวเหล่านั้น เขามีเวลาเพียงแค่ธูปไหม้หมดไปครึ่งดอกเท่านั้น!
ดวงตาเมิ่งฮ่าวแดงก่ำเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ขณะที่ทำการหลบหนีไปด้านหลัง ทันใดนั้น ร่างเลียนแบบของเขาก็ใช้เวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิต ดังนั้นเมิ่งฮ่าวก็กระทำเช่นเดียวกัน
ทันใดนั้น ร่างกายของร่างเลียนแบบก็เริ่มแห้งเหี่ยวลงไป แต่ในเวลาเดียวกันนั้น มันก็ดูดซับปราณและโลหิตของเมิ่งฮ่าวเข้าไปเติมเต็มร่างของมัน เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงการต่อสู้ของคนทั้งสอง
“ระดับสามของเวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิต, ขั้นเส้นลมปราณ! ผู้ฝึกตนทุกคนต่างก็มีเส้นลมปราณอยู่ในร่างกาย เส้นลมปราณเช่นนั้นเป็นแก่นแท้ของพื้นฐานฝึกตน เป้าหมายของเวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิตก็คือ การไปจัดการกับเส้นลมปราณนั่น เป็นวิธีเดียวกันกับการขุดแร่ ซึ่งเส้นลมปราณจะถูกขุดขึ้นมาและกลืนกินลงไป!”
“แต่ข้าจะดูดกลืนเส้นลมปราณนั้นลงไปได้อย่างไร?!”
เวลากำลังจะหมดลงแล้ว!
เมิ่งฮ่าวและร่างเลียนแบบของเขา หยุดการใช้เวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิต และเริ่มใช้ความสามารถศักดิ์สิทธิ์อื่น จิตใจเมิ่งฮ่าวเต้นรัวขณะที่เขาพยายามจะคิดหาวิธีออกมาให้ได้ นี่เป็นโลกที่ไร้กฎธรรมชาติ และจิตใจเขาก็แจ่มใสขึ้นอย่างถึงที่สุด ในตอนนั้นเองที่ทันใดนั้นเขาก็คิดไปถึง…ปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง!
เขารำลึกนึกย้อนไปถึงภาพที่ปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง กำลังดูดกลืนพื้นฐานเต๋าสมบูรณ์ของเขา
เมื่อเมิ่งฮ่าวคิดย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น ก็จำได้ถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย พื้นฐานฝึกตนของเขาโคจรหมุนเวียนย้อนกลับ และจากนั้นก็แตกกระจายไป กลายเป็นพลังที่ถูกดูดออกไปจากร่าง ความรู้สึกที่รำลึกขึ้นมาได้นี้ ทันใดนั้นก็ทำให้แรงสั่นสะเทือนวิ่งผ่านไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าว
“หมุนย้อนกลับ ข้าเข้าใจแล้ว! กุญแจสำคัญของระดับสามก็คือการย้อนกลับ! เมื่อกระแสน้ำวนของระดับสองบรรลุถึงการหมุนวนขั้นสูงสุด ข้าก็สามารถจะย้อนกลับกระแสการหมุนของมันได้ในทันที ซึ่งจะช่วยให้มีการปลดปล่อยพลังอันน่าเหลือเชื่อออกมา!”
ดวงตาเขาสาดประกายด้วยแสงเจิดจ้า
ตูม!
ในช่วงของการรู้แจ้งนี้ เขาได้ใช้เวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิตออกมา จากนั้นก็ผลักดันให้มันพุ่งทะยานจากระดับสอง…ไปยังระดับสามในทันที!
เมื่อเขาผ่านเข้าไปในระดับสาม พลังงานก็ระเบิดออกมาอยู่รอบๆ ร่าง แสงแปลกๆ สาดประกายอยู่ในดวงตา และเขาก็ยกมือขึ้นมา ชี้ตรงไปยังร่างเลียนแบบ ทันใดนั้น กระแสน้ำวนสีทองก็ปรากฏขึ้นอยู่รอบๆ ร่างเลียนแบบ ทำให้มันแค่นเสียงเย็นชาออกมา ยกมือขึ้นและชี้นิ้วตรงมายังเมิ่งฮ่าว ขณะที่ใช้เวทยิ่งใหญ่อสูรโลหิตออกมาอีกครั้งด้วยเช่นกัน
แต่ในตอนนี้ เมื่อกระแสน้ำวนสีทองกำลังหมุนวนด้วยความรวดเร็วอย่างเต็มที่ จู่ๆ เมิ่งฮ่าวก็ยื่นมือออกไป และจากนั้นก็พลิกกลับด้าน
ทันใดนั้น กระแสน้ำวนที่กำลังห้อมล้อมอยู่รอบๆ กายร่างเลียนแบบก็หมุนย้อนกลับ สีหน้าร่างเลียนแบบเปลี่ยนไป ขณะที่พื้นฐานฝึกตนของมันพังทลายลงไปในทันที เกินกว่าที่มันจะสามารถควบคุมได้ พุ่งออกมาจากดวงตา, หู, จมูก และปากของร่างเลียนแบบ และพุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว
ในเวลาเดียวกันนั้น ร่างของร่างเลียนแบบก็พังทลายลงไป และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ด้านหลังก็คือกระจกที่กำลังส่องแสงวาววับ
“ในความพยายามครั้งแรก เจ้าเอาชนะตนเองได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน” ผู้นำสีขาวกล่าว มองไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้ง “ด้วยเช่นนั้น จึงไม่จำเป็นที่เจ้าจะไปฝ่าด่านในชั้นอื่นๆ อีก ตรงไปยังชั้นที่เก้าได้เลย ถ้าเจ้าสามารถผ่านชั้นที่เก้า เจ้าก็สามารถออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้! นอกจากนั้น เจ้าก็ยังจะได้ครอบครองหนึ่งในของวิเศษอันล้ำค่าของชนเผ่าพวกข้า!”