ตอนที่ 763
ความรู้สึกอันลึกล้ำ
ปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังกลายเป็นคนบ้าไปแล้ว แต่ในตอนนี้มันได้จมลงไปในความบ้าคลั่งมากกว่าเดิม มันบ้าคลั่งแต่ก็มีสติแจ่มใสพร้อมกันไปด้วย ไม่อาจจะควบคุมร่างกาย หรือสติสัมปชัญญะของมันได้ มีเพียงสิ่งเดียวที่มันสามารถทำได้ก็คือ มีชีวิตอยู่กับการทำลายล้างตระกูลหวังไปอย่างต่อเนื่อง
ในตอนนี้ มันไม่อาจจะลืมเลือนในสิ่งที่มันต้องการจะลืมได้อีกต่อไป
จากวิธีการที่เมิ่งฮ่าวใช้ ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เขารู้สึกเกลียดชังมันอย่างลึกล้ำมากแค่ไหน
หลังจากที่กระทำเสร็จสิ้น สิ่งที่เมิ่งฮ่าวได้รับ ไม่ใช่ความรู้สึกที่มีความสุข แต่กลับรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่ลึกๆ เกิดขึ้นมาจากในจิตใจ ทำให้เขาต้องถอนหายใจยาวออกมา
เมิ่งฮ่าวหันหลังและจากไป เขาต้องการจะไปให้ไกลจากสถานที่แห่งนี้ เขาไม่ต้องการจะเห็นปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังอีกต่อไป ถึงจะดำเนินการแก้แค้นต่อไปก็ไร้ความหมาย สวี่ชิงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยปี ก่อนที่นางต้องเดินทางไปยังปรโลกเพื่อถือกำเนิดขึ้นมาใหม่
เมิ่งฮ่าวรู้สึกจิตใจว่างเปล่า เขากำลังจะหมุนตัวจากไป แต่หวังเถิงเฟย ซึ่งมีดวงตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ยิ้มอย่างขมขื่นออกมา และสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ฉับพลันนั้นมันก็บินตรงไปยังปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง ซึ่งกำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ เอามือกุมศีรษะไว้ หยดน้ำตาไหลลงมานองหน้า
“เซียนอมตะ…ฆ่า…ฆ่า…” มันจมอยู่ในความทรงจำแห่งการสังหารคนในตระกูลของมันไปโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าวิญญาณของมันจะถูกจองจำอยู่ในวันนั้น ตกอยู่ในเคราะห์กรรมที่มันได้กระทำไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดกาล
“ท่านปรมาจารย์!” หวังเถิงเฟยร้องตะโกนขึ้น ทันทีที่มันเข้าไปใกล้ ดวงตาของปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังก็สาดประกายด้วยความโหดเหี้ยม
“วิญญาณ…วิญญาณ…วิญญาณของข้า…” มันกล่าว จ้องนิ่งไปยังหวังเถิงเฟย สำหรับมันแล้ววิญญาณของคนในตระกูล เป็นสิ่งที่เย้ายวนใจจนไม่อาจจะต่อต้านได้ มันถูกดึงดูดใจด้วยวิญญาณเหล่านั้นจนถึงระดับที่กลายเป็นสัญชาตญาณ จนมันเชื่อว่าวิญญาณเหล่านั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะใช้ในการซ่อมแซมวิญญาณของตัวเอง
เป็นสัญชาตญาณที่มันไม่อาจจะควบคุมได้ ร่างกายมันแวบขึ้น ขณะที่พุ่งตรงไปยังหวังเถิงเฟย พร้อมกันนั้นมือของมันก็ยื่นออกไปวางบนศีรษะของหวังเถิงเฟย
หวังเถิงเฟยไม่ทำอะไรเพื่อหลบเลี่ยงมัน ปล่อยให้ปรมาจารย์รุ่นสิบเข้ามาใกล้ ปล่อยให้มือของมันวางมาบนศีรษะ แม้แต่เสียงแตกร้าวก็ยังได้ยินออกมา ขณะที่นิ้วของปรมาจารย์รุ่นสิบแทงเข้าไปในกระโหลกศีรษะมัน
สำหรับหวังเถิงเฟยแล้ว ความเจ็บปวดทางกายอย่างรุนแรงไม่นับว่าเป็นอย่างไร
ดวงตาของปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังสาดประกายด้วยความโลภและบ้าคลั่ง ขณะที่มันเตรียมตัวจะดึงเอาวิญญาณของหวังเถิงเฟยออกมา และพยายามใช้วิญญาณนั้นช่วยซ่อมแซมวิญญาณของมันเอง
จิตใจเมิ่งฮ่าวหมุนคว้าง เขาหมุนตัวกลับไป ดวงตาสาดประกาย ยกมือขวาขึ้นมา และร่างจริงที่สองก็พุ่งตรงไปยังหวังเถิงเฟยในทันที
“เมิ่งฮ่าว!!” หวังเถิงเฟยร้องตะโกนขึ้น ใบหน้าบิดเบี้ยวและซีดขาว ร่างกายมันสั่นสะท้านขณะที่เริ่มแห้งเหี่ยวลงไป เห็นได้ชัดว่า แก่นแท้แห่งพลังชีวิตทั้งหมดของมันกำลังถูกดูดออกไป ขณะที่วิญญาณถูกดึงออกไป “นี่เป็นสิ่งที่ข้าเลือก! นี่คือเหตุผลทั้งหมดที่ข้าค้นหาท่านปรมาจารย์!”
“อย่าได้สอดมือเข้ามา! นี่คือทางเลือกของหวังเถิงเฟย!” ร่างกายมันสั่นสะท้าน ขณะที่ขาสองข้างถูกดูดจนแห้งเหี่ยวไป ดวงตาปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังสาดประกายด้วยแสงแปลกๆ และมือขวาของมันก็กดลงไปแน่นมากขึ้น
“ชีวิตข้าไม่มีความหมาย ข้าควรจะตายไปด้วยเงื้อมมือของท่านปรมาจารย์ ดีกว่าจะถูกสังหารไปโดยคนอื่น ปล่อยให้วิญญาณข้าช่วยฟื้นฟูวิญญาณของท่าน!”
“เมิ่งฮ่าว ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาช่วย ไม่จำเป็น! ปล่อยข้า…ให้ตายไปอย่างมีความหมายเช่นนี้!”
“ข้าคิดว่านี่คือสิ่งที่มีความหมายมากที่สุด ที่ข้าเคยกระทำมาชั่วชีวิต ครอบครัวข้า, บิดามารดาข้า, พี่ชายข้า คนในตระกูลข้าทั้งหมด…พวกมันได้มอบวิญญาณออกไปแล้ว มีข้าเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่…และตอนนี้…ก็ถึงเวลาของข้าแล้ว!”
“ข้าไม่อาจจะเลือกมีชีวิตอยู่ได้ เมิ่งฮ่าว, แต่ข้าสามารถเลือกที่จะตายไปได้…ปล่อยข้าไป อย่าได้ช่วยข้า นี่คือเรื่องของตระกูลหวัง ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเจ้า!” หวังเถิงเฟยสั่นสะท้าน ขณะที่ร่างกายส่วนที่เหลือของมันแห้งเหี่ยวลงไป พลังชีวิตของมันกำลังไหลเข้าไปในวิญญาณของปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง ทำให้เส้นใยแห่งกลุ่มหมอกสีขาวพุ่งขึ้นมาจากนิ้วที่แทงเข้าไปในศีรษะมัน
มองเห็นสีหน้าขัดขืนดิ้นรนอยู่บนใบหน้าของปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง แต่สัญชาตญาณที่จะดูดซับวิญญาณของคนในตระกูลไม่ได้จางหายไป มันยังคงดูดซับพลังชีวิตต่อไป ร่างกายหวังเถิงเฟยเริ่มจะแยกออกเป็นชิ้นๆ กลุ่มหมอกสีขาวมากมายที่พุ่งขึ้นมาจากศีรษะมัน คือวิญญาณของมันนั่นเอง
ดวงตามันมืดเลือนลางไป ดูเหมือนว่ามันจะแก่ชราลงไป ราวกับว่ามันได้บรรลุถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต มันไม่ได้หล่อเหลาเยาว์วัยสมบูรณ์แบบเหมือนที่เมิ่งฮ่าวจำได้อีกต่อไป มันดูน่ากลัว กลายเป็นผิวหนังที่ติดกับโครงกระดูก
“เมิ่งฮ่าว, เมื่อคิดย้อนกลับไป…ทั้งหมดนั้นเป็นความผิดของข้าเอง…แต่เมื่อข้าคิดได้ก็สายเกินไปแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าตระกูลของข้าถูกทำลายล้างไป ข้าก็คงไม่ตระหนักว่า…ข้าได้ทำให้คนทั้งหมดไม่พอใจมามากมายเพียงใด”
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมอวี้เยียนถึงได้จากข้าไป…นางทำถูกแล้ว…เมิ่งฮ่าว ความเกลียดชังที่ข้ามีต่อเจ้าจริงๆ แล้วก็เป็นแค่ความอิจฉาเท่านั้น เรื่องทั้งหมดที่ข้ากล่าวขึ้นหลังจากที่เจ้าช่วยข้าไว้ก่อนหน้านี้…อันที่จริง ข้าไม่อยากจะยอมรับว่า หลังจากที่ข้าพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้น เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่ปฏิบัติต่อข้าดีกว่าก่อนหน้านี้…”
“เมิ่งฮ่าว…” หวังเถิงเฟยมองมายังเมิ่งฮ่าว และดูเหมือนว่ามันไม่เต็มใจที่ต้องจากโลกนี้ไป แววตามันเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานเหมือนก่อนหน้านี้ และมีความภาคภูมิใจเหมือนเช่นเคย
“เมิ่งฮ่าว ข้า…มีเรื่องขอร้องครั้งสุดท้าย ได้โปรด…ปฏิบัติต่อฉู่อวี้เยียนด้วยดี ได้หรือไม่?!?!”
“นางเป็นหญิงสาวที่ดี และข้าก็ไม่คู่ควรกับนาง ดูเหมือนว่านางจะเข้มแข็ง แต่ภายในใจ นางอ่อนแอเป็นอย่างมาก…”
“เมิ่งฮ่าว เมื่อเจ้ามีมรดกวิเศษของข้า เมื่อเจ้าเอาโชควาสนาของข้าไป เจ้า…ก็ต้อง…มุ่งหน้าต่อไป! ไปให้ถึงจุดสูงสุด! ออกจากดาวหนานเทียน และปีนป่ายขึ้นไปให้สูงมากที่สุด…”
“นั่นคือความฝันของข้า เจ้าต้อง…ทำมันต่อไป!” หวังเถิงเฟยหัวเราะขึ้นมาเบาๆ ขณะที่มันตระหนักว่าจริงๆ แล้ว มันไม่ได้เกลียดชังเมิ่งฮ่าว พร้อมกับเสียงหัวเราะของมัน ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่ามันจะผ่อนคลายลงไป เห็นได้ชัดว่า มันได้เข้าไปในห้วงภวังค์ของช่วงเวลาที่มีความสุขเมื่อในอดีต เป็นช่วงเวลาที่เรียบง่ายสมบูรณ์ของสำนักเอกะเทวะ
มันยิ้มออกมา ศีรษะห้อยตกลงไป และชีวิตของมันก็สิ้นสุดลง…
วิญญาณของมันถูกปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังดึงออกไปโดยสิ้นเชิง จากนั้นก็ใส่เข้าไปในปาก หยดน้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าของปรมาจารย์รุ่นสิบมากยิ่งขึ้น ขณะที่มันเคี้ยวลงไปที่วิญญาณอย่างรุนแรงและกลืนลงไป จากนั้นมันก็เงยหน้าขึ้น ส่งเสียงแผดร้องออกมา
“เซียนอมตะ…เซียนอมตะ…ฆ่า…ฆ่า…” พร้อมกับเสียงแผดร้อง มันพุ่งออกไปยังที่ห่างไกล ร้องไห้พร้อมกับส่งเสียงแผดร้องอย่างโหยหวนออกมา
เมิ่งฮ่าวยืนอ้าปากค้างอยู่ที่นั่น หลังจากที่เรื่องทั้งหมดจบไป เขาก็หลับตาลงเป็นเวลานาน เมื่อลืมตาขึ้นมาใหม่ ก็มองเห็นความเหนื่อยล้าอยู่ในแววตา หลังจากที่มองเห็นความมุ่งมั่นอยู่ในแววตาของหวังเถิงเฟย เขาก็เข้าใจ ถึงแม้ว่าเขาและหวังเถิงเฟยไม่ได้มาพบกันในวันนี้ เมื่อไหร่ที่หวังเถิงเฟยได้พบกับปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง มันก็ยังคงจะกระทำในสิ่งเดียวกันนี้อยู่ดี
เพราะโลหิตของตระกูลหวังไหลผ่านเส้นเลือดของมัน ปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังยังคงจะกระโจนเข้าใส่มัน และดูดวิญญาณมันออกไปโดยสัญชาตญาณ ไม่มีใครสามารถทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ สำหรับเมิ่งฮ่าว สิ่งที่เขาทำได้ทั้งหมดก็คือ บังคับให้ปรมาจารย์รุ่นสิบมีสติขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้มันรู้สึกเสียใจต่อการกระทำของมันไปตลอดกาลนาน
สุดท้าย ใครกันที่เป็นคนผิดอย่างแท้จริง…?
ใช่ว่าเป็นเมิ่งฮ่าว? เขาก็ตกเป็นเหยื่อด้วยเช่นเดียวกัน ใช่ว่าเป็นปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง? บางทีมันอาจจะมีความเจ็บปวดมากกว่าใครๆ ทั้งหมด
สมาชิกตระกูลหวังเป็นผู้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง สำหรับหวังเถิงเฟย การตัดสินใจของมันช่างน่าสะเทือนใจและถือว่าเป็นโศกนาฏกรรม
ใครเป็นคนผิด…? เป็นคำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบหมุนวนเป็นวงกลม ถ้าจะตำหนิอย่างแท้จริงก็อาจจะพูดได้ว่า…ความโลภก็คือคำตอบ
ถ้าปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวังไม่ได้กระหายอยากได้พื้นฐานเต๋าสมบูรณ์ของเมิ่งฮ่าว…บางทีเรื่องเหล่านี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น
“วัฏจักรแห่งกรรมเป็นเรื่องที่ซับซ้อน…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจถึงสาเหตุและผลกระทบของกรรมได้อย่างลึกล้ำมากขึ้น แต่ความเข้าใจนี้ก็มาพร้อมกับค่าตอบแทนอันน่ากลัว
เมิ่งฮ่าวถอนหายใจอย่างเซื่องซึม จากนั้นก็ค่อยๆ หันร่าง เดินทางจากไปยังที่ห่างไกล
การตัดสินใจสุดท้ายของหวังเถิงเฟย เป็นสิ่งที่เมิ่งฮ่าวไม่เคยจะคาดคิดมาก่อน ขณะที่เขาบินฝ่าอากาศไป ทันใดนั้นก็หวนรำลึกไปถึงครั้งแรกที่เขาได้เห็นหวังเถิงเฟยในสำนักเอกะเทวะ
เขาคิดย้อนไปเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งแรกของคนทั้งสอง และมรดกมังกรปีกวารี จากนั้นก็เป็นการคัดเลือกเพื่อเข้าไปเป็นศิษย์สายใน รวมทั้งเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในดินแดนด้านใต้ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ตอนนี้เมิ่งฮ่าวรู้แล้วว่า…ความทรงจำอันลึกล้ำมากที่สุดของหวังเถิงเฟย ก็คือคำพูดที่มันได้พูดออกมาก่อนที่จะตายไป รวมทั้งสีหน้าของมันด้วย
“และนั่นก็คือหวังเถิงเฟย!” เขาพึมพำเสียงแผ่วเบา
ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็กลับไปถึงสำนักเซี่ยเยา ด้วยความเหนื่อยล้า, จมอยู่ในความรู้แจ้งเกี่ยวกับกรรม และด้วยสองมือที่แปดเปื้อนไปด้วยโลหิต สถานที่แห่งแรกที่เขาไปก็คือหุบเขาเจ้าสำนักน้อย
เขาพบกับสวี่ชิง และจากนั้นก็โอบกอดไปรอบๆ ตัวนางเป็นเวลานาน นานมากๆ เขาฝังศีรษะลงไปในเส้นผมที่หอมกรุ่นของนางและไม่พูดอันใด
สวี่ชิงดูเหมือนจะเข้าใจ นางโอบกอดเขาไว้ ตบไปที่แผ่นหลังเขาอย่างแผ่วเบา
เขารู้สึกเหนื่อยล้า ตอนแรกก็เป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของเฉินฝาน จากนั้นก็เป็นข่าวคราวเกี่ยวกับมารดา ในที่สุด…ก็เป็นหวังเถิงเฟย และปรมาจารย์รุ่นสิบตระกูลหวัง รวมทั้งความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับความสำคัญของกรรม
“สวี่ชิง ข้าอยากหลับสักครู่” เขากล่าวเสียงแผ่วเบา
“เช่นนั้นก็หลับไป” นางกล่าวตอบด้วยเสียงอ่อนโยน “ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน…”
เขาหลับตาลง
สวี่ชิงโอบกอดเขาไว้ นั่งลงไปที่ด้านนอกของกระท่อมไม้ในหุบเขาเจ้าสำนักน้อย และเมิ่งฮ่าวก็นอนหนุนตักนางและหลับไป
สวี่ชิงมองลงไปที่เขา ม้วนพันเส้นผมของเขาไปรอบๆ นิ้วของนาง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสารและความรักอันลึกล้ำ
เมิ่งฮ่าวหลับไปเป็นเวลาสองวัน ในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นมาในยามราตรี ด้านบนขึ้นไปมีแต่ความมืดมิด ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวกระพริบแสงระยิบระยับ แต่ก็ไม่อาจจะเทียบได้กับดวงตาที่งดงามของสวี่ชิง ดวงดาวไม่ได้ดูอบอุ่นและแวววาวเหมือนกับดวงตาของนาง ทั้งไม่ได้อ่อนโยนและมีความสุขเช่นเดียวกับสีหน้าของนาง
เมิ่งฮ่าวมองเข้าไปในดวงตาของนาง และนางก็มองกลับมา
ทันใดนั้น ก็ดูเหมือนว่ามีบางสิ่งแวบขึ้นมาในจิตใจเมิ่งฮ่าว
“ความรู้สึกอันลึกล้ำของความรัก ก็เพียงแค่ได้อยู่กับใครบางคน…” เขาพึมพำ ฉับพลันนั้นก็เข้าใจว่าทำไมศิษย์พี่เฉินฝานถึงได้เลือกที่จะเฝ้าอยู่ที่ก้อนศิลา แทนที่จะจากไปเพื่อฝึกฝนตนเอง สำหรับเฉินฝานแล้ว การได้อยู่กับคนรักก็คือการแสดงออกถึงความรัก
เมิ่งฮ่าวยังเข้าใจอีกด้วยว่าทำไมหวังเถิงเฟยถึงเลือกที่จะตายไป สำหรับมันแล้ว สิ่งที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือการที่ได้อยู่ร่วมกับคนในตระกูล และปรมาจารย์ของมัน นั่นก็คือ…การแสดงออกถึงความรัก
ไม่ว่าจะกล่าวถึงความรักในแง่ของสหาย, ความรักในแง่ของครอบครัว หรือความรักของหนุ่มสาว…การแสดงออกถึงความรักอย่างลึกล้ำ ก็เพียงแค่อยู่ร่วมกับใครบางคนเท่านั้น
ท่านอยู่ร่วมกับข้า ข้าก็อยู่ร่วมกับท่าน…นั่นก็คือความรัก
สำหรับตัวเขาแล้ว การที่สวี่ชิงเลือกที่จะอยู่กับเขา ทำให้เขาตระหนักถึงสิ่งที่เป็นความหมายที่แท้จริงของความรัก
“สวี่ชิง” เขากล่าว มองไปยังนางด้วยความจริงจัง “พวกเรา…มาประกอบพิธีวิวาห์กันเถอะ”
แรงสั่นสะเทือนวิ่งผ่านสวี่ชิงไปทั้งร่าง ขนตานางสั่นพริ้ว และจิตใจก็เริ่มเต้นรัว สำหรับหญิงสาวใดๆ งานวิวาห์คือโอกาสที่สำคัญมากที่สุดในชีวิต แก้มสวี่ชิงแดงเรื่อ แต่นางก็ไม่ได้หลบเลี่ยงสายตาของเมิ่งฮ่าว นางมองกลับไปและจากนั้นก็พยักหน้าอย่างช้าๆ