ตอนที่ 888
โบยบินไปด้วยตัวเอง!
ทันทีที่สัตว์อสูรสีขาวชรามองเห็นเมิ่งฮ่าว ปรากฏตัวกลับออกมาในด่านที่สอง มันก็มีท่าทางประหลาดใจ
“เมื่อดูจากพื้นฐานฝึกตนของเจ้าแล้ว เจ้าน่าจะล้มเหลว” มันกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ดังก้องไปมา “แต่ทำไมถึงยังไม่ตายไปในที่แห่งนั้น…” มันมองมายังเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้ง และเมื่อสังเกตเห็นเสื้อผ้าที่ไหม้เกรียมฉีกขาดรุ่งริ่งของเขา ความสงสัยของมันก็แทบจะหายไปหมดสิ้น
เมิ่งฮ่าวฝืนยิ้มออกมา และส่ายหน้า จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ
“ผู้อาวุโส ข้าใจร้อนวู่วามเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าด้วยพื้นฐานฝึกตนที่แตกต่างไปจากเดิม จะทำให้ข้าผ่านด่านได้สำเร็จ ไม่เคยคิดเลยว่าจะล้มเหลวเหมือนที่ท่านได้กล่าวไว้…โชคดีที่ข้าไม่ได้เข้าไปใกล้มากเกินไป มิเช่นนั้นข้าก็คงต้องจบลงด้วยความตายและถูกฝังอยู่ในนั้น”
สัตว์อสูรชราพยักหน้า เมิ่งฮ่าวประสานมือและโค้งตัวลง สัตว์อสูรชราไม่ทำอะไรที่จะไปยับยั้งไม่ให้เมิ่งฮ่าวหายตัวไปในประตูเคลื่อนย้ายทางไกล
สำหรับลู่ปั๋ว มันมองเมิ่งฮ่าวจากไปอย่างเงียบๆ
ตรงอาณาเขตที่ด้านนอกของทะเลสาบเต๋าโบราณ แสงระยิบระยับพุ่งขึ้นไปขณะที่เมิ่งฮ่าวถูกเคลื่อนย้ายทางไกลออกมาจากโลกใต้พื้นดิน สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อเอามือลูบไปที่ถุงสมบัติ และสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ
“ข้าสามารถใช้วิญญาณเปลวไฟนั่นเป็นไพ่ไม้ตายได้ ภายในอาณาเขตหนึ่งพันจ้าง ถ้าข้าต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย ที่เกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ในขั้นสูงสุดของอาณาจักรเซียน น่าเสียดายที่เปลวไฟนั้นไม่คงอยู่ตลอดไป ข้าสามารถใช้มันได้กี่ครั้งกันแน่? แต่มั่นใจได้เลยว่าคงไม่มากนัก” ด้วยเช่นนั้นเมิ่งฮ่าวก็หายตัวไป
ไม่กี่วันต่อมาเมิ่งฮ่าวได้ปรากฏกายขึ้นในหลายสถานที่ทั่วทั้งดินแดนด้านใต้ เขาไปยังสถานที่ที่คุ้นเคยหลายแห่ง รวมทั้งดินแดนสีดำเพื่อไปเยี่ยมเยียนสหายเก่ามากมาย
ทะเลทรายตะวันตกยังคงสงบเงียบ พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยทะเลม่วง ไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ
หลังจากอำลาสหายที่อยู่ในดินแดนสีดำ เมิ่งฮ่าวก็ไปยังสถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยได้เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่เคยต่อสู้กับสวรรค์แห่งจี้มา เมื่อเขาไปถึงที่นั่น ก็ไม่มีร่องรอยใดๆ หลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย
หลังจากนั้นเมิ่งฮ่าวก็ไปยังทะเลเทียนเหอ ทุกสิ่งทุกอย่างในที่แห่งนั้นเงียบสงบ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงจากครั้งหนึ่งที่มันเคยเป็นมา วงแหวนด้านในของทะเลเทียนเหอเป็นสถานที่ที่เขาเคยเห็นเรือโบราณ และทำให้เขารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเป็นอย่างมาก เป็นเรือโบราณเดียวกับที่เขาเคยเห็นในเศษซากเซียนด้วยเช่นกัน
หลังจากที่วนเวียนไปทั่วในทะเลเทียนเหอ เขาก็กลับไปยังดินแดนตะวันออก ในที่สุดก็ต้องถอนหายใจยาวออกมา เมื่อตระหนักว่าถึงเวลาที่จะต้องจากไปแล้วจริงๆ
“ตอนนี้เจ้าอ้วนไปอยู่ที่กู่เซียนหลิง (สุสานเซียนโบราณ) ศิษย์พี่เฉินไปยังอีเจี้ยนเก๋อ (ศาลากระบี่เดียวดาย) และหวังโหย่วฉายก็เข้าสังกัดเยี่ยหู (ทะเลสาบจันทรา)…แม้แต่ผู้ถูกเลือกจากตระกูลจี้ทั้งหมดที่ข้ารู้จักก็ยังจากไปด้วยเช่นกัน” เรื่องทั้งหมดนี้บิดาเมิ่งฮ่าวได้บอกมาเมื่อเร็วๆ นี้
ผู้ถูกเลือกทั้งหมดที่เขารู้จักจากดินแดนด้านใต้ถ้าไม่ตาย ก็จากไป หรือไม่ก็อยู่ห่างไกลจากเขามากในแง่ของพลังความแข็งแกร่ง ส่วนใหญ่แล้วไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่ในสายตาเขาด้วยซ้ำ
“ถึงเวลาที่ต้องจากไปแล้วจริงๆ” เมิ่งฮ่าวคิดพร้อมกับถอนหายใจออกมา ตอนนี้เขากำลังเดินทางเข้ามาในดินแดนตะวันออก ผ่านเทือกเขาและที่ราบต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าความทรงจำของดินแดนแห่งดาวหนานเทียนจะประทับลึกลงไปในจิตใจ ในวันหนึ่งเมื่อพบว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ชายฝั่งของแม่น้ำใหญ่ในดินแดนตะวันออก จู่ๆ เขาก็หยุดชะงักนิ่งไป
เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย ถึงแม้ว่ามันจะเจือจางอย่างน่าเหลือเชื่อ ถ้าเขาไม่ได้เดินผ่านบริเวณนี้มา ก็คงไม่มีทางจะสังเกตถึงมันได้
“กลิ่นอายนี้…” เมิ่งฮ่าวมองไปยังแม่น้ำที่เบื้องหน้า ซึ่งถือได้ว่าเป็นแม่น้ำหลักในดินแดนตะวันออก มันได้ตัดแบ่งดินแดนแห่งนี้ออกไปครึ่งหนึ่ง และจริงๆ แล้วก็ไหลมาจากทะเลเทียนเหอ
สิ่งที่แปลกประหลาดมากที่สุดก็คือว่า กลิ่นอายนี้ไม่เพียงแต่จะคุ้นเคยเท่านั้น มันยังคุ้นเคยอย่างน่าเหลือเชื่ออีกด้วย มันคือ…กลิ่นอายของเขาเอง!
เมิ่งฮ่าวพึมพำกับตัวเอง ติดตามร่องรอยของกลิ่นอายนั้นไป จนกระทั่งพบว่าตัวเองกำลังอยู่ห่างออกไปจากเขตชายฝั่งของแม่น้ำจนไกล ไม่มีผู้คนอยู่ใกล้ๆ บริเวณแถบนั้น มองเห็นแต่พวกสัตว์ป่าเท่านั้น
ในช่วงหนึ่งจู่ๆ เขาก็มองเห็นสิ่งของบางอย่างอยู่บนชายฝั่งที่ตื้นของแม่น้ำใกล้ๆ นั้น ซึ่งทำให้ต้องหยุดชะงักนิ่งในทันที และจ้องมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ฉับพลันนั้นดูเหมือนว่าเวลาได้หยุดนิ่งไป ทั้งโลกนี้ดูเหมือนจะหยุดการโคจรหมุนเวียน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าวหายไป ยกเว้นของสิ่งนั้น ที่กำลังลอยอยู่ที่นั่นในแม่น้ำ ราวกับว่ามันคือสิ่งที่เป็นนิรันดร์ เป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาสามารถมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว
มันคือขวดน้ำเต้า
มันติดอยู่ระหว่างก้อนศิลาสองก้อน ถูกทำลายไปจนพื้นผิวเริ่มเสียหาย เปียกชุ่มอยู่ในน้ำมาเป็นเวลาหลายปีจนนับไม่ถ้วน ดูชำรุดทรุดโทรมจนแทบจะเน่าเปื่อยกลายเป็นชิ้นๆ ไปโดยสิ้นเชิง ลอยอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ราวกับว่ากำลังรอคอยให้ใครบางคนมาเก็บมันขึ้นไป
บางทีถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าศิลาทั้งสองก้อนนี้ทำให้มันติดอยู่ในที่แห่งนี้ ขวดน้ำเต้าก็คงจะลอยจากไปนานแล้ว บางที…มันอาจจะไปถึงต้าถังแล้วก็ได้
เมิ่งฮ่าวเริ่มสั่นสะท้าน ขวดน้ำเต้านี้ดูเหมือนขวดน้ำเต้าปกติทั่วไป แต่เป็นบางสิ่งที่เขาไม่มีทางจะลืมเลือนมันไปได้
ย้อนกลับไปในตอนที่เขายังเป็นนักศึกษาเยาว์วัย เขาได้สอบตกที่จะสมัครเข้าเป็นขุนนางอีกครั้ง จากนั้นก็ไปยืนอยู่ที่จุดบนสุดของภูเขาต้าชิง เขาได้เขียนอะไรบางอย่างลงไปบนกระดาษแผ่นน้อย ใส่มันเข้าไปในขวดน้ำเต้าและโยนมันลงไปในแม่น้ำที่อยู่ตรงด้านล่างของภูเขา
กล่าวกันว่าแม่น้ำนั้นได้ไหลไปจนถึงดินแดนตะวันออก แต่เมิ่งฮ่าวก็รู้มานานแล้วว่า มันไม่ได้เชื่อมต่อกับดินแดนตะวันออก แต่ไหลไปยังทะเลเทียนเหอ
ราวกับว่าหลายปีที่ผ่านมา มีพลังบางอย่างได้นำทางให้ขวดน้ำเต้าข้ามทะเลเทียนเหอ และมุ่งหน้ามายังดินแดนตะวันออก มาติดอยู่ที่แม่น้ำสายนี้
เมิ่งฮ่าวจ้องมองไปยังขวดน้ำเต้าพร้อมกับกลิ่นอายที่คุ้นเคยของมัน เขาไม่เคยคาดคิดว่าในวันหนึ่งจะได้เห็นขวดน้ำเต้านี้อีกครั้ง เขาคิดว่ามันได้จมลงไปในแม่น้ำหรือทะเล หรืออาจจะมีใครบางคนหยิบมันขึ้นมานานแล้ว
“ข้าโยนขวดน้ำเต้านี้ลงไปในแม่น้ำ ก่อนที่จะเริ่มฝึกตน ตอนนี้เมื่อข้ากำลังจะจากไป ก็ต้องมาพบกับมันอีกครั้ง…” เมิ่งฮ่าวเดินไปยังขวดน้ำเต้าอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ก้มลงไปหยิบมันขึ้นมา
มันกำลังเริ่มเน่าเปื่อย ขณะที่ถืออยู่ในมือ ก็รู้สึกราวกับว่าไม่จำเป็นต้องออกแรงใดๆ ก็ทำให้มันเปิดออกได้
“แต่…มันจะอยู่มานานนับร้อยปีได้อย่างไร…? มันเป็นแค่ขวดน้ำเต้าธรรมดาเท่านั้น มันน่าจะแตกสลายไปเมื่อนานมาแล้ว” หลังจากที่มองไปยังขวดน้ำเต้านานชั่วครู่ เขาก็เปิดฝามันออก ที่ด้านในมีความชื้นอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่มีน้ำขังอยู่ เมิ่งฮ่าวคว่ำมันลง และม้วนกระดาษเล็กๆ ก็ตกลงมา
เมื่อเขามองเห็นกระดาษ สีหน้าหวนรำลึกก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า คิดย้อนกลับไปในตอนที่ยังเยาว์วัย กำลังยืนอยู่บนภูเขาต้าชิง และความรู้สึกโกรธตัวเองหลังจากที่สอบตกการเป็นขุนนางครั้งแล้วครั้งเล่า
เขายังคิดไปถึงชีวิตในเมืองหยุนเจี๋ยด้วยเช่นกัน รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในที่แห่งนั้น
เมิ่งฮ่าวคลี่ม้วนกระดาษออกมาอย่างระมัดระวัง ถึงแม้ว่าตัวอักษรเหล่านั้นจะค่อนข้างเลือนลาง แต่เขาก็ยังสามารถสัมผัสได้อย่างคลุมเครือถึงความใฝ่ฝันที่เขาได้เขียนลงไปเมื่อปีนั้น…
เมิ่งฮ่าวมองไปยังม้วนกระดาษ และขณะที่ยิ้มออกมาก็ดูราวกับว่า ขวดน้ำเต้าไม่ได้แบกรับความปรารถนาของเขาไว้อีกต่อไป และมันก็กลายเป็นเถ้าธุลีไป ม้วนกระดาษแตกกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปอย่างช้าๆ หล่นผ่านนิ้วเขาลงไป ปลิวหายลับไปในสายลม
จากนั้นกลิ่นอายที่เมิ่งฮ่าวคุ้นเคยนั้นก็จางหายไป
เขายืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ อยู่ชั่วขณะ ไม่กล่าวอะไรออกมา ในที่สุดก็หลับตาลง เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า จนกระทั่งหนึ่งสัปดาห์ได้ผ่านไป แม่น้ำไหลริน ตะวันและจันทราหมุนเวียนผันเปลี่ยนขึ้นลง วิหคและสัตว์ป่ากระโดดโลดเต้นไปมาอยู่ข้างชายฝั่งแม่น้ำ
เจ็ดวันต่อมา เมิ่งฮ่าวลืมตาขึ้นมา และดวงตาทั้งคู่ก็สาดประกายด้วยความรู้แจ้ง
“ในโลกแห่งนี้มีพลังอันลี้ลับอยู่อย่างหนึ่ง…” เขาพึมพำ
“นั่นก็คือความตั้งใจ”
“ขวดน้ำเต้าธรรมดานั่นสามารถคงอยู่มาได้จนถึงวันนี้ เพราะว่ามันประกอบไปด้วยความตั้งใจของข้า ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตน ความตั้งใจในตอนนั้นของข้าเริ่มแข็งแกร่งมากขึ้น ในขณะที่ข้าแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ไกลเกินกว่าที่ข้าจะตระหนักถึงได้”
“มันคือกลิ่นอายที่คุ้นเคยของข้า ได้ช่วยให้ขวดน้ำเต้านี้…ยังคงอยู่มาจนถึงตอนนี้”
“หลังจากที่หยิบมันขึ้นมา ความตั้งใจที่รวมตัวกันอยู่ในขวดน้ำเต้าและกระดาษแผ่นนั้นได้จางหายไป และกลับเข้ามาอยู่ในมือข้า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมมันถึงได้หายเข้าไปในฟ้าดิน”
“เช่นเดียวกับสิ่งที่เซี่ยอีเซียนแห่งเซียงหั่วเต้า (เต๋าธูปเผาไหม้) ได้กล่าวไว้ในช่วงของการต่อสู้ ธูปเผาไหม้…คือการรวบรวมความตั้งใจของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดไว้ และการฝึกฝนความตั้งใจนั้นคือธูปเผาไหม้”
“ข้าไม่เคยจะคิดเลยว่าสิ่งที่ข้ารู้แจ้งมาในที่แห่งนี้ จะเกี่ยวข้องกับพลังของธูปเผาไหม้” หลังจากที่มองลงไปยังฝ่ามืออยู่ชั่วครู่ เขาก็โบกสะบัดมือขึ้น
ดูเหมือนว่าเวลาจะเคลื่อนที่ไหลย้อนกลับ ขณะที่เศษชิ้นส่วนของเถ้าธุลีที่ลอยออกไปจากเมื่อเจ็ดวันก่อนจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นใหม่ พวกมันกลายเป็นม้วนกระดาษ รวมทั้งขวดน้ำเต้าก่อนที่จะแตกกระจายไป
สีหน้าเมิ่งฮ่าวสงบนิ่ง ขณะที่ใส่ม้วนกระดาษนั้นเข้าไปในขวดน้ำเต้า และโยนมันลงไปในแม่น้ำอีกครั้ง ขณะที่แม่น้ำไหลไป ขวดน้ำเต้าก็ขยับขึ้นลง ลอยออกไปในที่ห่างไกล
“ข้ายังไม่บรรลุถึงความตั้งใจนั้น แล้วข้าจะปล่อยให้ขวดน้ำเต้าแตกกระจายไปได้อย่างไรกัน…? บางทีอีกหลายปีนับจากนี้ไป มีใครบางคนมาพบขวดน้ำเต้านี้และเปิดมันออกเพื่อได้เห็นถึงความตั้งใจ…และกลิ่นอายของข้า…” ขณะที่เขามองขวดน้ำเต้าหายลับตาไปในที่ห่างไกล รอยยิ้มน้อยๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ถึงเวลาที่ต้องไปแล้ว” เมิ่งฮ่าวกล่าว สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ หันหลังด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เดินเนิบนาบออกไปยังที่ห่างไกล ในที่สุดเขาก็ไปปรากฏตัวขึ้นในท้องฟ้า กลายเป็นลำแสงหายลับตาไป
หนึ่งวันต่อมา
ในตระกูลฟางแห่งดินแดนตะวันออก ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลขนาดใหญ่ได้ถูกจัดตั้งขึ้นตรงด้านหลังของลานบ้าน แสงระยิบระยับพุ่งออกมาจากประตู ด้านข้างยืนไว้ด้วยเมิ่งฮ่าว บิดามารดา และบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง
บุรุษวัยกลางคนนั้นปฏิบัติต่อฟางซิ่วเฟิงและเมิ่งลี่ด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อมันมองมายังเมิ่งฮ่าว แววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและความรักก็มองเห็นได้
“ฮ่าวเอ๋อร์ นี่คือสือจิ่วซู (อาที่สิบเก้า) ของเจ้า เป็นตี้ตี่ (น้องชาย) ของเว่ยฟู่ (บิดา)” ฟางซิ่วเฟิงกล่าว
เมิ่งฮ่าวประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ
สือจิ่วซู (อาสิบเก้า) หัวเราะเป็นเสียงดังออกมา รีบจับตัวเมิ่งฮ่าวให้ยืดตรงขึ้นมาจากการโค้งคำนับ ใบหน้ามีความพึงพอใจมากขึ้นอย่างต่อเนื่องกล่าวว่า
“ช่างเป็นเด็กดีนัก ไม่เลว ไม่เลว เมื่อพวกเรากลับไปยังตระกูล หวังว่าเจ้าจะช่วยดูแลบุตรชายของสือจิ่วซูได้ มันชอบเตร็ดเตร่ไปทั่วตลอดทั้งวัน และมักจะสร้างปัญหาใหญ่ให้ปวดศีรษะอยู่เป็นประจำ”
“ตระกูลฟางอยู่บนดาวตงเซิ่ง ซึ่งห่างออกไปไกลจากดาวหนานเทียน” ฟางซิ่วเฟิงกล่าว มองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ด้วยพื้นฐานฝึกตนของเจ้า ทำให้ไม่อาจจะเดินทางผ่านหมู่ดาวต่างๆ ไปได้โดยตรง เจ้าต้องใช้ประตูเคลื่อนย้ายทางไกลสองครั้งเพื่อไปให้ถึงที่นั่น สือจิ่วซูมาที่นี่เพื่อนำเจ้าไปด้วยตนเอง”
เมิ่งลี่ยืนอยู่ที่ข้างกายฟางซิ่วเฟิง เห็นได้ชัดว่าไม่อยากจะจากเมิ่งฮ่าวไป แต่นางก็รู้ว่าวิถีทางของเมิ่งฮ่าวอยู่ในท่ามกลางหมู่ดาว ไม่ใช่บนดาวหนานเทียนแห่งนี้
สิ่งที่นางสามารถทำได้ทั้งหมดก็คือเริ่มจัดเตรียมกระเป๋าเดินทางให้กับเขา ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะมีถุงสมบัติอยู่แล้ว แต่นางก็ยังเย็บกระเป๋าให้เขาด้วยตัวเอง เมื่อจัดแจงเสื้อผ้าของเขาให้เรียบร้อย นางก็มองไปยังบุตรชาย หยดน้ำตาเอ่อล้นอยู่ในดวงตา
“เหนียง ไม่ต้องกังวลใจ ข้าไม่เป็นไร” เมิ่งฮ่าวกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
“ข้าไม่อาจจะออกไปจากดาวหนานเทียนได้” ฟางซิ่วเฟิงกล่าว “ถ้าเจ้าไปเผชิญหน้ากับอันตรายที่ด้านนอกนั่น ข้าไม่อาจจะปกป้องคุ้มครองเจ้าได้ จระเข้ตัวนี้จะเป็นผู้พิทักษ์เต๋าให้กับเจ้าชั่วคราว แต่สุดท้ายแล้วเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ได้” ท่านโบกสะบัดมือ ทำให้จระเข้โผล่ออกมา หดตัวเล็กลงไปด้วยความเชื่อฟัง ตกลงไปอยู่บนฝ่ามือของเมิ่งฮ่าว จากนั้นก็รีบคลานเข้าไปในชายแขนเสื้อเขา ฟางซิ่วเฟิงกล่าวต่อไปอย่างเงียบๆ “ถ้าเจ้าตายไป…”
“เว่ยฟู่จะล้างแค้นให้กับเจ้า!”
เมิ่งฮ่าวและสือจิ่วซู ยืนอยู่ในประตูเคลื่อนย้ายทางไกล แสงอันนุ่มนวลส่องประกายระยิบระยับออกมา ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังบิดามารดาที่กำลังยืนอยู่ที่ด้านนอกของประตู ทันใดนั้นดวงตาก็เริ่มเปียกชื้น และคุกเข่าลงไปโขกศีรษะให้กับบิดามารดาสามครั้ง
“เตีย, เหนียง ข้าจะไปแล้ว…พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรือกังวลใจใดๆ ข้าจะกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ”
ตูม!
แสงจากประตูเคลื่อนย้ายทางไกลพุ่งขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่เขาจะหายตัวไปโดยสมบูรณ์ เมิ่งฮ่าวก็โบกมือให้กับบิดามารดา
เมิ่งลี่ไม่อาจจะกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป ขณะที่มองดูเมิ่งฮ่าวหายตัวไป จิตใจเต็มไปด้วยความกังวล และในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นนางก็แก่ชราลงไปมากขึ้นกว่าเดิม
ดูจากภายนอกฟางซิ่วเฟิงเหมือนจะเข้มแข็ง แต่ดวงตาท่านก็ยังต้องเริ่มเลือนลางไป
“เด็กๆ ได้เติบโตขึ้นแล้ว พวกเราคงต้องปล่อยให้พวกมันโบยบินไปด้วยตัวเอง”