บทที่ 963 รัชทายาทรัฐม่วงครามและสวี่ชิง
ตอนนี้เวลานี้ ในเมืองหลวง ณ จวนของหนิงเหยียน ในเรือนพักอาศัยที่สร้างเพื่อจื่อเสวียนโดยเฉพาะ
จื่อเสวียนกำลังดิ้นรน
นางขัดสมาธินั่งอยู่ตรงนั้น บนพื้นรอบๆ มีตราประทับซับซ้อนลอยอยู่ สร้างเป็นตราผนึก พันธนาการร่างของนางเอาไว้
ตราประทับนั่นประกอบขึ้นมาจากไหมวิญญาณ
ไหมวิญญาณนี้เกิดขึ้นในเสี้ยวพริบตาที่จักรพรรดิมนุษย์เซ่นไหว้บรรพชนปะทุขึ้นมา ทำให้จื่อเสวียนไม่อาจออกไปได้
และในบ้านคนทั่วไปแห่งหนึ่งที่ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกลนัก เอ้อร์หนิวก็นั่งขัดสมาธิอยู่เช่นกัน กำลังดิ้นรนเช่นกัน บนใบหน้ามีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา ในดวงตามีเส้นเลือด
รอบๆ ตัวเขามีตราผนึกเช่นกัน
ไม่ใช่ไหมวิญญาณ แต่เป็นการจัดการวางแผนของนายท่านเจ็ด
“ตาแก่ ตาแก่หนังเหนียวเคี้ยวยากตายยาก วางแผนข้าอย่างนั้นหรือ ผนึกข้าเอาไว้ที่นี่ ข้าจะกบฏอาจารย์!!”
เอ้อร์หนิวคำรามเสียงต่ำ ดิ้นรนสุดกำลัง
ส่วนโลกภายนอก ตอนนี้ลมที่มาจากปรโลก พัดผ่านเมืองหลวงเผ่ามนุษย์
ท้องฟ้าในเสี้ยวพริบตาหนึ่งเหมือนว่าขุ่นมัว การเปิดออกของประตูยมโลก สุดท้ายก็ไม่อาจเก็บซ่อนได้อีกต่อไป ปรากฏขึ้นในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
นั่นจะอย่างไรก็เป็นการฟื้นคืนของรัฐโบราณ อีกทั้งความแปลกประหลาดของพิธีก็พูดได้ว่าสุดยอด
แต่…ไม่เหมือนกับจักรพรรดินีสำเร็จเทพ
สำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่แผ่นดินใหญ่กลืนนภา ตอนนี้ไม่มีเผ่าพันธุ์ใด และไม่มีเทพองค์ใด มุ่งหน้าไปขัดขวาง
ต่างเมินเฉยไม่รู้ไม่เห็น
เหมือนว่าที่นั่นมีสิ่งต้องห้ามอยู่
เพราะนี่เป็นการเซ่นไหว้เทพเจ้า และซ่างฮวงก็พึงพอใจ
เมืองหลวงเผ่ามนุษย์ จักรพรรดินีเงยหน้า สีหน้าในเสี้ยวขณะนี้ฉายแววซับซ้อนขึ้นมา แต่สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นความสงบนิ่ง
การแลกเปลี่ยนขององค์ท่านกับท่านนั้น ตอนนี้จบสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว
ทั้ง 2 ฝ่ายต่างได้รับผลลัพธ์ที่อยากได้
ในอนาคตทุกอย่างมีเผ่าพันธุ์เป็นหลัก
ส่วนเผ่ามนุษย์กับแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์แตกหัก มหาจักรพรรดิแตกดับ นับจากนี้เผ่ามนุษย์แห่งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ จะเป็นลมฝนสาดกระหน่ำ จะผงาดขึ้นได้โดยสมบูรณ์ ล้วนอยู่บนบ่าตัวเอง แบกไว้ตลอดชั่วนิรันดร์
เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้องค์ท่านพูดเอาไว้ กรรมเวรทุกอย่างองค์ท่านขอแบกรับเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว!
ในใจของจัรพรรดินีสงบนิ่ง ดึงสายตากลับมา มองไปทางเผ่ามนุษย์ กวาดไปยังประชาชนในเมืองหลวง สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นฮึกเหิมของพวกเขา กวาดไปยังขุนนางที่อยู่ที่นี่ สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นอารมณ์ของพวกเขา
และมององค์ชายองค์หญิงทุกพระองค์ สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของพวกเขา
จวบจน จักรพรรดินีมองไปทางสวี่ชิง
“น้องชายชาตินี้ของท่านนั้น ผู้แบกกระบี่ที่มหาจักรพรรดิเลือก…”
ในสายตาขององค์ท่าน สวี่ชิงในตอนนี้ยืนอยู่บนกลองศึกเผ่ามนุษย์ ใบหน้ายังมองเห็นถึงความโศกเศร้าที่ยังไม่เก็บซ่อนลงไป และหลังจากที่สัมผัสได้ถึงการจ้องมาของตน อีกฝ่ายก็มองมาที่ตน
โค้งคารวะตน
จักรพรรดินีพยักหน้าเบาๆ สุดท้ายก็มองไปยังดวงตะวันกล้าที่ปลายขอบฟ้า เสียงทรงอำนาจดังกึกก้องฟ้าดิน
“ส่งราชโองการไปยังบูรพาทิศแห่งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ แผ่นดินใหญ่ทุกหนแห่ง”
“นับจากวันนี้ ให้จัดการหาที่อยู่อาศัยอย่างเหมาะสมให้เผ่าข้าทุกคนในแผ่นดินใหญ่นั้นๆ เผ่ามนุษย์นอกแผ่นดินใหญ่ห้ามมิให้ตายอย่างผิดธรรมชาติอีก”
“อ๋องเจิ้นเหยียน อ๋องเป่ยเหอ อ๋องอวิ๋นหลัน…อ๋องสวรรค์ทั้ง 17 คน ควบคุมกองทัพ 17 กอง มุ่งหน้าไปยังแผ่นดินใหญ่ต่างเผ่าต่างๆ ทางบูรพาทิศแห่งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ นำประชาชนลูกหลานของเรา…กลับบ้าน”
คำพูดนี้ดังออกมา ในใจคนทั้งหลายต่างเกิดระลอกคลื่นอารมณ์แผ่มา
นับจากจักรพรรดิมนุษย์ตงเซิ่ง ประชาชนที่ร่อนเร่พเนจรมีมากมายนัก จักรพรรดิมนุษย์ทุกรุ่นไม่ใช่ไม่อยากรับพวกเขากลับมา แต่ไร้ซึ่งกำลังความสามารถ
จวบจนกระทั่งตอนนี้ จวบจนกระทั่งวันนี้ จักรพรรดินีที่สำเร็จเทพแล้ว ร่วมกับความแข็งแกร่งของแท่นเทวะ บูรพาทิศแห่งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ เสียงขององค์ท่านในวันนี้คือเสียงแห่งสวรรค์
อ๋องเจิ้นเหยียนและอ๋องสวรรค์คนอื่นๆ ต่างพุ่งทะยานออกมาทันที โค้งคารวะไปยังจักรพรรดินีที่อยู่บนท้องฟ้า ตอบรับคำบัญชาเสียงต่ำทุ้ม
“ขุนนางที่เหลือ องค์ชาย และคนอื่นๆ 7 วันให้หลัง ณ ตำหนักใหญ่วังหลวง เปลี่ยนศักราช เปิดท้องพระโรง!”
เสียงของจักรพรรดินีดังสะท้อนก้องอีกครั้ง ขุนนางทั้งหลายต่างโค้งคำนับ
“การเซ่นไหว้เสร็จสิ้น แยกย้ายกันไปเถิด สิบเอ็ด เจ้าตามข้ามา”
ดาวจักรพรรดิโบราณส่งเสียงดังกึกก้อง ค่อยๆ จมดิ่งลงไป กลับไปยังตำแหน่งเดิม ม่านฟ้าฟื้นคืนสู่ปกติ พลังชะตาเผ่ามนุษย์เก็บซ่อนลงไป ไม่แผ่ระลอกคลื่นอีก
ผู้บำเพ็ญในดาวโบราณต่างถูกเคลื่อนย้ายออกไป มาปรากฏอยู่กลางอากาศ
พิธียิ่งใหญ่ครั้งนี้ ปิดฉากลง ณ บัดนี้
และเหล่าขุนนางตอนนี้ก็มองออกว่าจักรพรรดินีแม่ลูกเห็นได้ว่ามีเรื่องที่จะต้องพูดคุยกัน ดังนั้นจึงไม่รบกวน หลังจากที่ต่างโค้งคารวะ ก็ไปจากวังหลวงอย่างเงียบเชียบพร้อมกับความคิดมากมายของพิธีเซ่นไหว้ครั้งนี้
มีเพียงสิบเอ็ดที่ในใจทั้งตื่นเต้นทั้งพะวักพะวน เหมือนเด็กที่ทำอะไรผิด ก้มหน้าเดินไปทางจักรพรรดินี
ยืนอยู่ข้างหลังจักรพรรดินี เขาอ้าปากอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยออกมาอย่างไร
ส่วนทางจักรพรรดินี สายตากลับไม่ได้มองไปยังองค์ชายสิบเอ็ด
องค์ท่านมองไปบนฟ้า หลังจากที่กลองศึกเผ่ามนุษย์หายไป หลังจากที่ขุนนางทั้งหลายจากไป สวี่ชิงยังคงยืนอยู่ตรงนั้น
“อ๋องเจิ้นชาง” จักรพรรดินีเอ่ยสงบนิ่ง
สวี่ชิงที่อยู่กลางท้องฟ้า มองมาทางจักรพรรดินีก็โค้งคารวะ
“ฝ่าบาท กระหม่อมกำลังรอคนคนหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าเขาน่าจะมาอย่างแน่นอน” สวี่ชิงตอบเสียงแผ่วเบา
สายตาของจักรพรรดินีล้ำลึก จ้องมองสวี่ชิงอยู่ครู่หนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก หมุนตัวเดินไปทางวังหลวง
องค์ชายสิบเอ็ดสูดลมหายใจลึก เดินตาม ตามติดไป
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฟ้าดินนิ่งสงบ
เทียบกับพิธียิ่งใหญ่ที่นี่ก่อนหน้านี้ ความเงียบสงัดที่พลันเกิดขึ้นที่นี่เกิดเป็นความกดดันอย่างน่าแปลกประหลาด
ความกดดันที่นี่ ในท้องฟ้า มีเพียงสวี่ชิงคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่กลางอากาศ รอบๆ ไม่มีเงาร่างใดปรากฏขึ้นทั้งสิ้น
มีแค่เขาที่มองท้องฟ้าพลางรออย่างสงบนิ่ง
ความอดทนของเขามีมากเพียงพอ เพราะวันนี้ เขารอมานานมากนัก
เขาเชื่อ อีกฝ่ายจะต้องมาอย่างแน่นอน
นี่คือลางสังหรณ์ที่ความรู้สึกของเขานำมา
พูดให้ถูกต้องคือ ในตอนที่มาถึงเมืองหลวงเผ่ามนุษย์ตอนนั้น ทันทีที่ได้เห็นเงาร่างนั่นสวมชุดฐานะของราชครูในวังหลวง เขาก็รู้ว่า ช่วงเวลาที่จะได้เผชิญหน้ากันอยู่ห่างอีกไม่ไกลแล้ว
เช่นนี้เอง เวลาค่อยๆ ไหลไป
ดวงตะวันยามรุ่งอรุณบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ ลอยขึ้น แสงและความร้อนก็ค่อยๆ สาดมาในโลกมากขึ้น จวบจนกระทั่ง…เที่ยงวัน
แสงอาทิตย์อันร้อนแรง ลบความมืดมิดในโลกไป หลอมละลายฝุ่นธุลี ส่องมาในดวงตา เจิดจ้าพร่างพรายจนทำให้คนเหมือนมองท้องฟ้าไม่ชัด
ดวงอาทิตย์เช่นนี้ สวี่ชิงเคยเห็นมามากมายนัก
หนึ่งในนั้นมีครั้งหนึ่ง อยู่ในความทรงจำของเขา สลักลึกไปในวิญญาณ ไม่อาจลืมเลือนไปได้ชั่วกาลนาน
นั่นก็คือเที่ยงวันสุดท้ายของเมืองเป็นเอก
ดวงอาทิตย์วันนั้นก็เจิดจ้าเช่นนี้ จวบจนกระทั่งในนั้นมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้น เมืองเป็นเอกก็เกิดฝนเลือดตกลงมา…
และวันนี้ เงาร่างนั้น ก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งในสายตาของสวี่ชิง ในแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันนั่น
สีม่วงรุกรานแสง สกัดกั้นความร้อน รวมตัวอยู่กลางผืนนภา พุ่งมาจากท้องฟ้า
ทีละก้าวๆ เดินมายังโลกมนุษย์
สุดท้ายก็แทนที่แสงอาทิตย์ แทนที่ท้องฟ้า เหยียบย่างเข้ามาในสายตาของสวี่ชิง บดบังโลกของเขา บดบังทุกสิ่งในครรลองสายตาของเขา
รัชทายาทรัฐม่วงคราม!
รูปโฉมของเขางดงาม รอยยิ้มของเขาอ่อนโยน สายตาของเขาสงบนิ่ง ฝีเท้าของเขาแผ่วเบา
ยืนอยู่กลางท้องฟ้า เอ่ยเสียงแผ่วเบาไปทางวังหลวง “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทที่สร้างแท่นเทวะสำเร็จในที่สุด”
ในวังหลวง มีเสียงสงบนิ่งดังสะท้อนมา “เจ้าในตอนนี้ควรจะอยู่ในแผ่นดินใหญ่ของเจ้า มิใช่ในเผ่าของข้า”
รัชทายาทรัฐม่วงครามได้ยินก็แย้มยิ้ม พยักหน้า “องค์จักรพรรดินีตรัสได้ถูกต้อง หลังจากที่ข้าเอาตุ๊กตาผ้าไป ก็จะจากไปแล้ว”
พูดจบ รัชทายาทรัฐม่วงครามก็หันไปมองสวี่ชิง
สายตายังคงอ่อนโยนเหมือนดั่งวันวาน เหมือนกับตอนที่อยู่ที่เมืองเป็นเอก “น้องพี่ เจ้ารอพี่อยู่ตลอดเลยหรือ”
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ พยักหน้า
“ท่าทางจะโตขึ้นแล้วจริงๆ” รัชทายาทรัฐม่วงครามยิ้ม มือขวายกขึ้น คว้าไปทางสวี่ชิงทางนั้นเบาๆ “เช่นนั้นพวกเราไปกันเถิด ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน”
ภายใต้การคว้านี้ ท้องฟ้าหมุนกลับตาลปัตรทันที แผ่นดินก็ส่งเสียงคำรามลั่น พลังน่าหวาดกลัวกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นบนโลก ตัดเฉือนห้วงเวลาจากทั่วทุกสารทิศ ตัดเฉือนโชคชะตาของที่นี่และแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
ทำให้รอบๆ สวี่ชิงกลายเป็นมิติที่เป็นเอกเทศจากแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
ไม่อาจต้านทาน ไม่อาจขัดขวาง มือนี้…ประดุจโชคชะตา
กระทั่งว่าไม่รู้ว่าเป็นภาพหลอนหรือไม่ ในลายมือของมือข้างนี้ สวี่ชิงเหมือนมองเห็นเมืองเป็นเอก มองเห็นฝนเลือด มองเห็นตัวเองที่กอดตุ๊กตาร้องไห้อย่างไร้ที่พึ่ง
แต่ในตอนนี้เอง เสียงแค่นขึ้นจมูกเสียงหนึ่งก็พลันดังมาจากในวังหลวง
ยิ่งมีกลิ่นอายของเทพเจ้าทั้ง 5 ปะทุมาจากในชะตาเผ่ามนุษย์ พุ่งลงมาให้ฟ้าดิน จับเป้าหมายสวี่ชิงเอาไว้
เพียงพริบตา ฟ้าดินที่พลิกหมุนถูกวางให้ตรง แผ่นดินที่ส่งเสียงสะเเทือนเลื่อนลั่นถูกควบคุม
มือของรัชทายาทรัฐม่วงครามหยุดชะงักกลางท้องฟ้า มองไปทางวังหลวง เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท นี่เป็นเรื่องในบ้านของน้องชายกระหม่อมและตัวกระหม่อม”
“ขุนนางสวี่เป็นขุนนางของข้า อ๋องเจิ้นชางของเผ่า อาจารย์ของเหล่าองค์ชาย” ในวังหลวง เสียงของจักรพรรดินีสงบนิ่ง แฝงด้วยความเด็ดขาดที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“อ้อ” รัชทายาทจื่อชิงเหมือนได้ยินคำพูดที่น่าสนใจอะไร รอยยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม ในดวงตาค่อยๆ เผยแววตาที่นอกเหนือจากความอ่อนโยนออกมา ดูเหมือนระยิบระยับพร่างพราย แต่กลับแฝงความเก่าแก่โบราณผ่านห้วงกาลเวลามาเนิ่นนาน
แม้แต่เสียงก็ยังเป็นเช่นนั้นเช่นกัน
“ทางน้องชายกระหม่อมก็เหมือนจะไม่อยากให้ฝ่าบาทสอดมือเข้ามาเหมือนกันนะพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ว่าในเมื่อฝ่าบาทเอ่ยเช่นนี้แล้ว เช่นนั้น…พวกเรามาเล่นสนุกเลือกอะไรสักหน่อยเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทรัฐท่วงครามพูดจบ จากการที่มือซ้ายก็ยกขึ้นแล้วพลิก กลางฝ่ามือก็มีกล่องไม้สีม่วงกล่องหนึ่งปรากฏขึ้นมา
ปลายนิ้วเพียงแตะ กล่องก็เปิดออก
แสงทางหนึ่ง..พลันสาดออกมาจากในกล่องไม้!
แสงนั้นไร้สี ไร้รูป มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ ทันทีที่ปรากฏออกมา ท้องฟ้าแผ่ระลอกคลื่น แผ่นดินส่งเสียงคำรามเลื่อนลั่น ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์อับแสง!
ทุกคนในเมืองหลวง ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญ หรือไม่ว่าจะเป็นเหล่าขุนนาง ในเสี้ยวพริบตานี้ต่างสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล
เพราะแสงทางนั้น…
คือแสงสายตาที่พุ่งออกมาหลังจากที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้าลืมตาขึ้น!
ครั้งแรกที่องค์ท่านปรากฏตัวขึ้นก็คือที่สำนัก 7 เนตรโลหิตในตอนนั้น ปลดปล่อยออกมาจากในมือของนกเขาราตรีข้างกายรัชทายาทรัฐม่วงคราม
และหลังจากนั้น สวี่ชิงก็ได้เห็นจากในร่างทดสอบเทพเจ้าเหมือนกัน
แต่ตอนนี้ แสงที่ปรากฏออกมาจากกล่องในมือรัชทายาทรัฐม่วงคราม เข้มข้นกว่าในตอนที่อยู่สำนัก 7 เนตรโลหิตเมื่อตอนนั้นมากมายมหาศาลนัก!
ทันทีที่ปรากฏขึ้นในฟ้าดิน ไม่ว่าจะเป็นผู้วิเศษพลังบำเพ็ญระดับใด ไม่ว่าพลังวิเศษวิชาเต๋าของพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนฟ้าผลัดแผ่นดินได้หรือไม่ แต่ในเสี้ยวขณะนี้…ต่างสั่นสะท้านทั้งสิ้น
เทพเจ้าก็ไม่เป็นที่ยกเว้นเช่นกัน
เพราะนั่นคือการควบคุมของระดับขั้นชีวิต นั่นเป็นอักขระเป็นตายที่อยู่เหนือศีรษะของเผ่าพันธุ์ทั้งหลายทั่วแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
ระดับขั้นตัดสินซึ่งทุกสิ่ง
ตอนนี้จากกล่องไม้ที่ถูกเปิดออก จากการที่สายตาที่ไร้รูป ไร้สี กระทั่งว่าตาเนื้อไม่อาจมองเห็นได้ปลดปล่อยออกมา เมฆหมอกเดือดพล่านรุนแรง คล้ายแปรเปลี่ยนเป็นทะเลพิโรธกำลังโหมซัด
ผืนแผ่นดินเมืองหลวงยิ่งตกอยู่ท่ามกลางความรางเลือนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกสิ่งที่เห็นล้วนมองไม่ชัด
ได้ยินเสียงแว่วๆ คล้ายเสียงรำพันที่ซาบซึ้งต่อเทพ ผี ดังสะท้อนอยู่ในแผ่นดินนี้ ทำให้ร่างของคนยืนอยู่ได้ไม่นิ่ง หมุนวนไปทั่วทุกทิศ ส่งเสียงคำรามบ้าคลั่งโหดเหี้ยมเจ็บปวด
สรรพสิ่งในฟ้าดินต่างรางเลือน ต่างบิดเบี้ยว
แต่เมืองหลวงไม่ใช่สำนัก 7 เนตรโลหิต จักรพรรดินียิ่งเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแท่นเทวะ ดังนั้น เสี้ยวขณะต่อมา ค่ายกลของวังหลวงก็ส่งเสียงดังสะท้านเลื่อนลั่นขึ้นมา พลังชะตาเผ่ามนุษย์พวยพุ่งขึ้นฟ้า เทพเจ้าทั้ง 5 ที่แปลงมาจากจักรพรรดิมนุษย์ทุกรุ่นปรากฏร่างออกมาทันที ลอยต่ำลงมา
ในวังหลวงยิ่งมีกลิ่นอายสั่นสะท้านฟ้าดินหลุ่มหนึ่งพุ่งมาทันที เหมือนแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นวนขนาดมหึมา จะดูดแสงที่นี่ไปให้หมด
แต่…รัชทายาทรัฐม่วงครามในเมื่อมาแล้ว ในเมื่อจะเล่นการละเล่นบางอย่างกับจักรพรรดินี การลงมือของเขาย่อมไม่ได้มีเพียงแค่นี้แน่นอน
ดังนั้นในเสี้ยวขณะต่อมา ในดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิ ในพื้นที่ลึกลับแห่งหนึ่งที่มีกำลังทหารแข็งแกร่งเฝ้าคุ้มกันอยู่ตลอดปี ก็มีแสงสายตาพุ่งสู่ท้องฟ้าเช่นกัน
พื้นที่บริเวณนี้ เป็นบริเวณโชคชะตาประวัติศาสตร์เผ่ามนุษย์ หลายหมื่นปีมา ไม่ว่าจะเป็นเมื่อใดล้วนไม่เคยถูกกระทบมาก่อน
ที่นั่นนอกจากกองกำลังทหารอันแข็งแกร่งเผ่ามนุษย์แล้ว ยังมีสำนักที่พิเศษสำนักหนึ่ง
สำนักนี้แม้จะเป็น 1 ใน 10 สำนักใหญ่เผ่ามนุษย์ แต่แทบจะไม่เคยมีลูกศิษย์ออกมาในยุทธจักรเลย พวกเขาคุ้มกันดูแลอยู่ที่นี่ตลอด!
สำนักนี้ก็คือสำนักวิถีซ่อนดินที่อยู่ใต้หุบเหวลึกรับผิดชอบดูแลภารกิจพิเศษ!
ภารกิจของพวกเขาคือเฝ้าประตูบานใหญ่ เฝ้าประตูบานใหญ่ที่มุ่งไปสู่หุบเหวลึก
กระทั่งว่าสามารถไม่ฟังคำสั่งจักรพรรดิได้
และในหุบเหวลึกนี้คือบ้านเกิดของชื่อหมู่ ซึ่งก็เป็นบ้านเกิดของหลี่จื้อฮว่าด้วยเช่นกัน
นั่นคือ…แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ที่แท้จริง!
เป็นสนามศึกที่เซียนคิมหันต์มาถึงยังพสุธาแดนดินทำศึกสงครามกับเผ่าเทพนภาเจิดจรัสในอดีต
ศึกนั้นเซียนคิมหันต์ชนะ จึงได้ผนึกเผ่าเทพนภาเจิดจรัสและจักรพรรดิเทพของเหล่าองค์ท่านเอาไว้ ยิ่งเปลี่ยนฟ้าแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ในตอนนั้นกลายเป็นแผ่นดิน
ดังนั้นจึงมีแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ในภายหลังขึ้น
และใต้แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ บนพสุธาแดนดิน ในบริเวณที่เผ่าเทพนภาเจิดจรัสถูกผนึกเอาไว้ ภายหลังในวิถีสวรรค์ได้ถูกนิยามเอาไว้ว่าหุบเหวลึก
หุบเหวลึกมีประตูทั้งหมด 9 บาน
ทางเผ่ามนุษย์ควบคุมอยู่ 1 บาน!
ตอนนี้ แสงนี้ปะทุพวยพุ่งขึ้นมาจากประตูในหุบเหวลึก ก่อเป็นพลังอำนาจอันน่าหวาดกลัว เกิดเป็นเสียงขานตอบกับแสงที่อยู่ในเมืองหลวงข้างนอก
เสียงระเบิดดังสะท้านฟ้า
ประตูหุบเหวลึกเกิดรอยแยก 9 ทาง!
เพียงพริบตา แผ่นดินใหญ่เผ่ามนุษย์ส่งเสียงดังเลื่อนลั่น เสียงพึมพำเป็นระลอกๆ จากในหุบเหวลึก เสียงคำรามอย่างไม่ยอมจำนนเป็นระลอกๆ ดังจากในประตูมาสู่โลกมนุษย์
เหล่าองค์ท่านจะกลับคืนมา
เหล่าองค์ท่านถึงจะเป็นเจ้าของแผ่นนดินใหญ่ต้องประสงค์ตัวจริง
เหล่าองค์ท่านคือเผ่าเทพนภาเจิดจรัส!
ดังนั้นระลอกคลื่นพลังแผ่มาอย่างรุนแรง ปกคลุมไปทั่วดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิ ไอพลังประหลาดมหาศาลก็แผ่ออกมาจากในรอยแยกประตูหุบเหวลึกออกมาอย่างบ้าคลั่ง
จากบนพื้น บนเม็ดทราย บนแม่น้ำลำธาร จากในขุนเขา
จากในเมือง จากอิฐทุกก้อนกระเบื้องทุกแผ่น จากอาหารทุกอย่าง ทุกสรรพสิ่ง!
จวบจนกระทั่ง จากในทุกสรรพสิ่งต่างลอยขึ้น ก่อเป็นหมอกเป็นกลุ่มๆ ปกคลุมสะท้านสะเทือนฟ้าดิน
ชั้นเมฆบนท้องฟ้า ภายใต้การผสานของหมอกนี้ สีสันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็กลายเป็นเมฆสีแดงที่น่าพรั่นพรึง สายฟ้าสีแดงเข้มฟาดผ่าเสียงดังครืนครั่น ฝนเลือดเป็นหยดๆ ตกลงมาจากฟ้า
ความหวาดกลัวอย่างมหันต์ที่ไม่อาจจินตนาการ ไม่อาจต่อกรได้ ท่ามกลางการขานตอบของแสง 2 ทางนี้กำลังก่อตัวขึ้น
หากไม่ทำการควบคุมให้ทันท่วงที ทันทีที่ประตูหุบเหวลึกถูกทะลวงออกมา ไม่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่สิ่งที่สามารถยืนยันได้คือเผ่ามนุษย์และแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ละแวกใกล้เคียง จะตกอยู่ในเคราะห์ภัยพิบัติทันที
เพียงพริบตา พลังชะตาเผ่ามนุษย์เดือดพล่าน ฟ้าดินส่งเสียงคำรามต่อไป ทรงพลังไม่อาจต้านทานแล้วสลายไป
รัชทายาทรัฐม่วงครามที่อยู่กลางท้องฟ้า รอยยิ้มอ่อนโยน เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ฝ่าบาท ตอนนี้ท่านและเทพอสุภจักรพรรดิมนุษย์ทั้ง 5 ไปยังหุบเหวลึกสะกดควบคุม 1 ก้านธูป มีโอกาสเป็นอย่างมากที่จะผสานรอยร้าวของประตูหุบเหวลึก”
“ส่วนข้าก็จะใช้เวลาที่ท่านไปสะกดหุบเหวลึกตอนนี้ นำตัวน้องของข้าไป”
“เช่นนั้น การละเล่นเริ่มขึ้นแล้ว”
“ฝ่าบาท ท่านจะเลือกอย่างไร จะเลือกคนคนหนึ่ง หรือจะเลือกเผ่าพันธุ์”
รัชทายาทรัฐม่วงครามมองไปยังวังหลวง
คลื่นวนเหนือวังหลวงส่งเสียงครืนครั่นเลื่อนลั่น ในนั้นเผยดวงตาทั้ง 2 ของจักรพรรดินีออกมา
หลังจากนั้น 3 อึดใจ เทพอสุภจักรพรรดิมนุษย์ทั้ง 5 ที่วนล้อมอยู่รอบกายสวี่ชิงก็พลันลอยขึ้นฟ้า พุ่งตรงไปยังประตูหุบเหวลึก ส่วนคลื่นวนในวังหลวงก็หายไปในทันที
จักรพรรดินีที่อยู่ในนั้น เพียงก้าวเดียว ก็เดินไปทางหุบเหวลึก
องค์ท่านเลือกเผ่าพันธุ์
เห็นเช่นนี้ อารมณ์ของรัชทายาทรัฐม่วงครามก็เกิดระลอกคลื่นอารมณ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในชาตินี้ ยิ้มออกมา
เพียงแต่ยิ้มๆ ไป ในดวงตากลับมีรอยนึกย้อนความทรงจำ
เหมือนนึกถึงว่าในอดีต ก็มีคนคนหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับการเลือกเช่นนี้ ก็เลือกเผ่าพันธุ์เช่นกัน
ดังนั้น เขามองไปทางสวี่ชิง
สีหน้าของสวี่ชิง นับจากต้นจนจบไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น มองทุกอย่างนี้อย่างสงบนิ่ง
“น้องพี่ จักรพรรดินีทอดทิ้งเจ้าแล้ว คนรอบตัวเจ้าก็เหมือนจะทอดทิ้งเจ้าเช่นกัน ทุกคน ในเสี้ยวขณะนี้เหมือนว่าจะไม่มีใครเลือกเจ้าเลย”
“ดังนั้น กลับบ้านกับข้าจะดีกว่า”
รัชทายาทรัฐม่วงครามอ่อนโยน ยกมือขึ้นคว้า เสี้ยวขณะต่อมา มือแห่งโชคชะตาข้างนั้นก็ไม่มีอะไรขัดขวางอีกต่อไป คว้ามาทางสวี่ชิง
กระบี่จักรพรรดิส่งเสียงออกมาจากในร่างสวี่ชิง แต่สวี่ชิงไม่ขานตอบ เขามองรัชทายาทรัฐม่วงคราม ส่งเสียงสงบนิ่งออกมา “พี่ชายของข้า รัชทายาทรัฐม่วงคราม หลายปีมานี้ ข้าค่อยๆ มีคำถามหนึ่งเกิดขึ้นในใจ อยากถามท่านสักหน่อยว่า…ท่านกลัวอะไรอยู่”
เสียงของสวี่ชิงดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ ดังมาในหูของรัชทายาทรัฐม่วงคราม รอยยิ้มของเขายังคงอ่อนโยนเช่นเดิม กำลังจะเอ่ยตอบ
แต่ในตอนนี้เอง เสียงหนึ่งทำให้ท้องฟ้าระเบิดก้อง เสียงคำรามที่ทำให้มิติแหลกละเอียด มาพร้อมด้วยความมุ่งมั่นในการทุ่มเททุกอย่าง มาพร้อมด้วยความบ้าคลั่งที่พลิกกลับตาลปัตรฟ้าดิน ดังมาจากบ้านประชาชนแห่งหนึ่งในเมืองหลวง พวยพุ่งขึ้นมายังท้องฟ้า
“ข้าจะกลืนกินเจ้า!”
ในบ้าน ผนึกที่วนล้อมอยู่รอบตัวเอ้อร์หนิวพลันแตกสลาย ถูกความบ้าคลั่งท่วมฟ้าของเขาบดขยี้แหลกละเอียด ทำให้ความบ้าคลั่งกลุ่มนี้ไม่มีอะไรขัดขวางอีกต่อไป พุ่งทะลวงมายังชั้นเมฆ
ท้องฟ้าในเสี้ยวขณะนี้กลายเป็นสีฟ้า
น้ำแข็งมหาศาลผนึกแผ่นฟ้า แช่แข็งผืนดิน
ส่วนบนม่านฟ้าสีฟ้ามีแขนสีฟ้านับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น มากมายมหาศาลปรากฏออกมาจากท้องฟ้า ยิ่งก่อเป็นคลื่นวนสีฟ้า
ท่ามกลางการหมุนวนเสียงครืนครั่นเลื่อนลั่น กลิ่นอายวัฏสงสาร กลิ่นอายความตาย มาพร้อมด้วยเสียงแตกสลายของผนึกที่ถูกแก้มากมาย ปะทุระเบิดออกมาจากในคลื่นวนลูกนี้
ยิ่งมีเสียงหอบหายใจรุนแรงดังก้องอยู่ในนั้น
เหมือนมีสิ่งน่ากลัวอะไรกำลังดิ้นรนคลานออกมาข้างนอกจากในคลื่นวนลูกนี้
ในขณะเดียวกัน เกล็ดหิมะสีฟ้ามากมายเป็นแผ่นๆ โปรยปรายลงมา
เกล็ดหิมะเหล่านั้นแปลงมาจากหนอนสีฟ้า ปกคลุมไปทั่วโลกหล้า
“ใครบอกว่าอาชิงถูกทอดทิ้ง ข้าไม่ได้ทอดทิ้งเขา” เสียงคำรามดังก้องเมืองหลวง
รัชทายาทรัฐม่วงครามเงยหน้า สายตาจับจ้องไป
สีหน้าของสวี่ชิงหลังจากที่ตัดสินใจรอคอยรัชทายาทรัฐม่วงคราม ตอนนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรก เขาพลันหันหน้ามองไปทางคลื่นวนสีฟ้า สัมผัสได้ถึงความบ้าคลั่งของศิษย์พี่ใหญ่ และสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผนึกที่กำลังถูกทำลาย พลันเอ่ยขึ้นมา “ศิษย์พี่ใหญ่ ใจเย็น อย่าได้ร้อนรนไป!”
ท้องฟ้าหยุดชะงัก จากนั้นก็ส่งเสียงคำรามที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมออกมา “ร้อนบ้าร้อนบออะไร จนถึงตอนนี้แล้ว ข้าสู้ตายแล้ว”
ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง คลื่นวนบนท้องฟ้ายิ่งน่าหวาดกลัว เสียงสะท้านฟ้าสะเทือนดิน แต่เหมือนว่าการฝืนแก้ผนึกเช่นนี้ ระดับความยากของมันจะอยู่เหนือความคาดคิด
ดังนั้น ไม่นานนัก คลื่นวนท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นนี้ ก็พังทลายลง สุดท้ายก็ส่งเสียงดังระเบิดขึ้น มาพร้อมด้วยเสียงคำรามน่าขนลุกอีกทั้งยังไม่ยอมแพ้ ดังลอยมาจากในม่านฟ้า
หิมะหายไป
สีฟ้าบนท้องฟ้ากำลังสลายไป
และไม่นานนัก ในบ้านที่เมืองหลวง กลิ่นอายบ้าคลั่งก็พวยพุ่งขึ้นอีกครั้ง คิดจะลองปะทุพลังอีกครั้ง เสียงระเบิดดังไม่หยุด แต่ก็ยังคงล้มเหลวอยู่ดี
ครั้งแล้วครั้งเล่า
ควมบ้าคลั่งรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง
“ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าเหมือนกำลังแสดงละครอยู่”
รัชทายาทรัฐม่วงครามยิ้ม ยกมือแห่งโชคชะตาขึ้น คว้าตัวสวี่ชิงเอาไว้ได้แล้ว เอามาไว้ข้างหน้า
“ไม่เป็นไร วันนี้ข้าไม่ทำร้ายเขา แต่ว่า คำพูดเมื่อครู่ของเจ้า ข้าค่อนข้างสงสัย”
“และสิ่งที่ข้าสงสัยยิ่งกว่านั้นคือในเมื่อเจ้ารอข้า เช่นนั้น…การเตรียมตัวของเจ้าคืออะไร”
รัชทายาทรัฐม่วงครามสายตาจับจ้องไปยังร่างของสวี่ชิงที่ถูกมือแห่งโชคชะตากำอยู่ เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน
สวี่ชิงยังคงสงบนิ่งเหมือนเดิม “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นการลงมือของท่าน และมั่นใจการวิเคราะห์ในใจ”
รัชทายาทรัฐม่วงครามสีหน้าอ่อนโยน ในดวงตากระทั่งว่าฉายความวาดหวังออกมา เหมือนว่าสนใจในคำพูดของสวี่ชิงต่อจากนี้เป็นอย่างมาก
“ในตอนที่ข้าอยู่ที่เขตปกครองผนึกสมุทรก็ขบคิดคำถามหนึ่ง ข้าต้องใช้วิธีไหนถึงจะฆ่าท่านได้” สวี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่วเบาเช่นกัน
“และข้าก็ไม่รู้กำลังรบที่แท้จริงของท่าน และไม่รู้ความสามารถของท่านเช่นกัน ดังนั้นข้าขบคิดอยู่นานก็ไม่ได้คำตอบ นอกเสียจากข้าจะเปลี่ยนมาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
“แต่สำหรับการขบคิดคำถามนี้ ข้าไม่เคยล้มเลิกมาโดยตลอด”
“จวบจนกระทั่งที่แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ข้าได้มองเห็นโอกาส”
สวี่ชิงมองรัชทายาทรัฐม่วงคราม
“และหลังจากนั้น ที่เผ่านภาคิมหันต์ ข้าก็ทำให้มันเสร็จสมบูรณ์”
“และจากเมื่อคืนวานนี้ จากการลงมือของท่าน ข้าก็ได้เห็นท่านควบคุมห้วงกาลเวลา ตัดเฉือนเวลาของท่านเจ้าของร้านเจ้า และตัดเฉือนเวลาของตัวเอง ยิ่งสามารถเหนี่ยวนำชะตาชีวิตของอีกฝ่ายมาเป็นยาบำรุงของตัวเองได้”
“ดังนั้น สุดท้ายแล้วข้าก็มั่นใจในการวิเคราะห์ในใจของข้า”
เสียงของสวี่ชิงตอนนี้แหบแห้งเล็กน้อย คล้ายว่าเม็ดทรายเสียดสีกับเวลา ลอยมาในความทรงจำ
“ทำไมในตอนก่อนที่ข้าจะตีกลองศึกข้าจึงมีความรู้สึกที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทำไมความทรงจำในเมืองเป็นเอกที่ได้เห็นช่วงหนึ่งตอนที่อยู่แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ถึงไม่เคยปรากฏขึ้นในความทรงจำในสมองของข้า”
“ทำไมในความทรงจำของข้า ฝ่ามือที่ซัดลงมาในตอนนั้นของท่านถึงได้อ่อนโยน”
“แต่ความทรงจำอีกความทรงจำหนึ่ง ฝ่ามือของท่านนั้นโหดเหี้ยมอำมหิต”
“ร่างของข้าแหลกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกเย็บที่ท่านส่งมาในตอนนั้น”
“แต่ทำไมในความทรงจำของข้า ก่อนหน้านี้กลับไม่มีความทรงจำนั่น”
สวี่ชิงถอนหายใจ สายตาประสานกับรัชทายาทรัฐม่วงคราม
“เป็นใครที่ตัดเฉือนห้วงเวลาที่โหดเหี้ยมนั่น เป็นใครที่นำห้วงเวลาอันอบอุ่นอ่อนโยนเข้าแทนที่”
“หากเป็นคนคนเดียวกัน เช่นนั้นเขาที่ตัดเฉือนห้วงเวลาอันโหดเหี้ยมทำไมจึงเย็บมันอีกครั้ง นี่เป็นการกระทำที่ขัดแย้งกันมาก”
รัชทายาทรัฐม่วงครามฟังคำพูดของสวี่ชิงเงียบๆ ระหว่างนั้นไม่ได้เอ่ยขัดใดๆ
จนกระทั่งตอนนี้ เขายิ้มอย่างอ่อนโยน เสียงอ่อนโยนประกอบเป็นคำพูด
“มีความเป็นไปได้ไหมว่า หลังจากที่คนคนนั้นลงมือ เห็นเจ้าที่แหลกละเอียด ในใจก็เกิดความสงสารขึ้นมา”
“ดังนั้นจึงเย็บเจ้าขึ้นอีกครั้ง แล้วมอบความทรงจำอันอบอุ่นให้”
ภายใต้ผืนฟ้า ท่ามกลางท้องฟ้า รัชทายาทรัฐม่วงครามและสวี่ชิงมองหน้ากัน
ลมพัดมาในตอนนี้ พัดเส้นผมของทั้ง 2 ขณะที่ปลิวพริ้ว ก็เหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกเย็บบนธรณีประตูจวนวิญญาณตัวนั้น
ขยับไหวท่ามกลางสายลมเช่นกัน
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)


