บทที่ 243 สู้กันสักตั้งก่อน! (ต้น)
ต่างคนต่างนิ่งงันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น!
โดยเฉพาะแววตาของบรรดาศิษย์ใหม่ที่ต่างมองอาจารย์ใหญ่ด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก……อาจารย์ใหญ่คนนี้เป็นคนเจ้าอารมณ์ทีเดียว!!
ไป๋เจ๋อและโม่อวิ๋นฉีกลับใจเย็นนิ่งเฉย พวกเขาคุ้นชินกับอารมณ์แปรปรวนของเยี่ยฉวน คนผู้นี้เมื่อทำอะไรแล้วก็จะทำชนิดสุดโต่ง ถ้าเป็นมิตรเขาจะใจดียิ่งกว่ามิตร แต่ถ้าเป็นศัตรูเขาจะฆ่าโดยไม่หยุดคิดแม้สักวินาที! สองผู้เฒ่าโม่หยวนและเฟิ่งหลาน จับตามองเยี่ยฉวนแน่วนิ่งไม่เอ่ยวาจาออกมาสักคำ
เยี่ยฉวนเก็บกระบี่แล้วจึงหันไปทางคนที่เหลืออีกสาม ในขณะเดียวกันทั้งสามถอยหลังกรูด สีหน้าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง ถึงตายเลยหรือ? เกิดอะไรขึ้น? ปัญหาของพวกมันคือหัวหน้าถูกสังหารเสียแล้ว… ยามนี้คนทั้งสามจึงหวาดกลัวอย่างที่สุด
เยี่ยฉวนหันไปทางสามคนเบื้องหน้า “ใครมีคำถามอีก?” ความจริงเขาไม่ใช่คนจิตใจโหดเหี้ยม แต่พวกนี้มาด้วยเจตนาร้าย จึงจำเป็นจะต้องชิงลงมือก่อน!
คนที่เหลือทั้งสามจ้องเขม็ง แววตาตื่นตระหนก! พลันเสียงคนใดคนหนึ่งดังขึ้น “พวกเรามาจากแคว้นชู ที่มานี่เพื่ออยากให้แน่ใจ ว่าคนที่สังหารองค์ชายสามของเราที่สถานที่แห่งความลับเป็นเจ้าใช่ไหม?”
องค์ชายแห่งแคว้นชู? เยี่ยฉวนหยุดนิ่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด และในที่สุดเขารำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บุรุษสวมเสื้อเกราะสีเงินคนนั้นสินะ! จึงพยักหน้าตอบรับ “ใช่ ข้าสังหารเขาเองแหละ ทำไม..พวกเจ้ามีปัญหางั้นเหรอ?
ปัญหา?! ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ใบหน้าของคนทั้งสามบิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกภายในใจ พวกเขาต่างไม่เสแสร้งว่าตัวเองแข็งแกร่งหรือใช้วาจาข่มขู่แข็งกร้าวในยามนี้ ซ้ำกลับไม่พูดออกและได้แต่ทำท่าจะหันกลับไป
“เดี๋ยว!” พลันเยี่ยฉวนตวาดเสียงดัง ทันทีที่ได้ยินพลันคนทั้งสามชะงักกึก สีหน้าสลดวูบหันขวับกลับมา ขณะนั้นเยี่ยฉวนชี้มือไปที่ร่างไร้วิญญาณบนพื้นดิน พูดว่า “เอาเจ้านี่กลับไปด้วย!”
คนทั้งสามไม่กล้าโต้แย้ง ตรงเข้าช่วยกันแบกร่างก่อนจะผลุนผลันออกไปอย่างรีบร้อน เมื่อหมดธุระกับคนที่มาเยือน เยี่ยฉวนหันไปยังกลุ่มศิษย์ที่ยืนอยู่ในลาน “เอาล่ะ พวกเจ้าก็จงตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ขยันหมั่นฝึกปรือด้วยล่ะ” จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ
คนทั้งหมดในลานหันมองหน้ากัน ต่างคนต่างพูดไม่ออกได้แต่กรอกตาไปมา อีกทางหนึ่งชายชราผู้มีนามเฟิ่งหลาน สั่นศีรษะขณะพูดว่า “เขาเป็นคนน่ากลัวจริงๆ”
ทว่าลู่จิ้วเก๋อกลับส่ายหน้าเป็นทำนองเห็นต่าง “ผู้อาวุโสเฟิ่ง ท่านเข้าใจผิดแล้ว!” เฟิ่งหลานหันมามองคนพูดสายตาเต็มไปด้วยคำถาม สตรีชุดดำพูดเบาๆ สืบไป “เขาต้องการข่มขวัญศัตรูต่างหาก!”
“ข่มขวัญงั้นหรือ?” ชายชรากลับยิ่งสีหน้างงงุน หัวคิ้วย่นเข้าหากันจนเกือบชิด “ข้าว่าจะก่อศัตรูโดยใช่เหตุเสียมากกว่า!”
ฝ่ายสตรีชุดดำยิ้มในหน้ากล่าวอีกว่า “ถ้าข้าคิดไม่ผิด สำนักอัปสรเมรัยน่าจะรู้เรื่องคนทั้งสี่และส่งข่าวมาล่วงหน้าแล้ว ข้าแค่จะบอกว่าเยี่ยฉวนรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเสียการมาครั้งนี้ไม่มีทางจบลงด้วยดี ในเมื่อจบด้วยดีไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องอ้อมค้อม” เฟิ่งหลานแย้งเสียงแห้ง “คนผู้นี้มีอาจารย์เป็นเซียนกระบี่ หรือคนแคว้นชูจะสติเลอะเลือน?”
ลู่จิ้วเก๋อตอบว่า “เขามีอาจารย์เป็นเซียนกระบี่ไม่ว่าจะเป็นอดีตฮ่องเต้เจียง จ้าวหอชั้นเก้า ดินแดนอันธกาลและสำนักใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางมู่ ทุกคนต่างก็รู้ในข้อนี้……แต่หลายคนที่รู้แล้วเป็นอย่างไร? แทบไม่มีใครเหลือรอด!”
อีกฝ่ายนิ่งเงียบ สตรีชุดดำเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ “ผู้อาวุโส ข้ารู้ว่านับตั่งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมาลัทธิขงจื้อของท่านแทบกล่าวได้ว่าสาบสูญไปจากโลกชิงฉาง ถ้าท่านประสงค์จะรื้อฟื้นความเชื่อนี้ขึ้นมาใหม่ ท่านจะต้องหัดเปลี่ยนมุมมองและวิธีคิดเสียบ้าง อาจารย์ใหญ่เยี่ยนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้” ความจริงนี้ไม่อาจโต้แย้ง ชายชราทั้งสองถึงกับนิ่งอั้น
ลู่จิ้วเก๋อเอนหลังพิงพนักรถเข็น ท่วงท่าผ่อนคลาย “เขามีความตั้งใจจะทำให้สถานศึกษาฉางหลานกลับมาเป็นที่ยอมรับอีกครั้งอย่างแท้จริง และไม่ต้องการให้ศิษย์เอาแต่พัฒนาในด้านพลังกายเพียงอย่างเดียว นี่จึงเป็นโอกาสของท่าน!”
สายตาของโม่หยวนมองสตรีชุดดำบนรถเข็นเขม็ง “แล้วท่านล่ะ? มีแผนการทางกองทัพงั้นหรือ? คงหมายถึงเจียงจิ่วสินะ?” ฝ่ายที่ถูกตั้งคำถามรัวเป็นชุด ไม่ได้ตอบถ้อยวาจาแต่มุมปากมีรอยยิ้มน้อยๆ
ในหอโถงฉางหลาน
เยี่ยฉวนรวมทั้งพวกอีกสามคนนั่งล้อมรอบโต๊ะ ชายหนุ่มนั่งเงียบนิ้วมือข้างขวาเคาะลงบนโต๊ะและท่าทางกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ทุกคนในที่นั้นต่างเงียบงัน เสียงพูดของโม่อวิ๋นฉีดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ “ตาแก่บัณฑิตสองคนนั้นไม่ธรรมดาแน่!”
พลันหันไปทางไป๋เจ๋อที่นั่งข้าง “เจ้าไปพบพวกเขาจากที่ใด? คนถูกถามยิ้มกว้างก่อนตอบให้ว่า” ท่านที่ปรึกษาลู่ช่วยตามหาพวกเขา!”
ที่ปรึกษาลู่! เมื่อได้ฟังคำตอบ โม่อวิ๋นฉีหันไปทางเยี่ยฉวนเหมือนจะถามความเห็น “พี่หัวขโมยเยี่ย เจ้าจะเอายังไงกับพวกเขา?”
ชายหนุ่มไม่ตอบในทันทีเขานิ่งใช้ความคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “พวกเราทำตัวปกติ แค่คอยจับตาดูพวกเขาไว้เท่านั้น” อีกฝ่ายพยักหน้า “คงมีวิธีเดียว”
เยี่ยฉวนถอนใจเบาๆ “นับแต่นี้ไปพวกเราทั้งสี่จะจัดลำดับการฝึกฝนให้แก่ศิษย์ อันซื่อเจ้าช่วยดูแลจัดแบ่งวัสดุที่ใช้ในการฝึกให้พวกเขาด้วย!” หญิงสาวผู้ถูกเอ่ยชื่อพยักหน้ารับคำ
จากนั้นคนพูดชี้ไปทางโม่อวิ๋นฉีและไป๋เจ๋อ “พวกเจ้าสองคน ตอนนี้เป้าหมายของพวกเจ้าคือต้องมีความกล้าแกร่งในพลังขั้นสันโดษให้มั่นคงเสียก่อน จากนั้นก็พยายามบรรลุขั้นผสานเทพให้ได้ พวกเรามีเรื่องต้องจัดการอีกมาก!” โม่อวิ๋นฉีรับคำหนักแน่น “เข้าใจแล้ว”
เยี่ยฉวนผุดลุกขึ้นยืนขณะพูดว่า “อีกครึ่งปีข้าจะไปอาณาจักรต้าอวิ๋น และอีกภายในหนึ่งปีพวกเราทุกคนจะไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อคุกเข่าคำนับต่อท่านปรมาจารย์ของเรา มีอะไรสงสัยอีกไหม?”
โม่อวิ๋นฉีมีท่าทีลังเล ในที่สุดก็โพล่งถาม “จะไปคุกเข่าคำนับ แค่นั้น?” เยี่ยฉวนส่ายหน้า “ข้ายังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น อาจต่อสู้กันสักตั้งจากนั้นจึงค่อยคุกเข่าคำนับละมัง!”
อีกฝ่ายเหยียดมุมปาก “พวกเราจะไปท้าตีกับพวกต้าอวิ๋นและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่ งั้นสินะ?” เยี่ยฉวนค่อยกำหมัดทั้งสองข้างแน่น “คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นโลกจึงจดจำ ดังนั้นพวกเราต้องแข็งแกร่ง!”
โม่อวิ๋นฉีมีอารมณ์ฮึกเหิม เขายกฝ่ามือตบลงบนโต๊ะเปรี้ยงด้วยความโกรธ “ใช่ ต้องแข็งแกร่ง! ไอ้พวกฉิบ*าย สำนักใหญ่ดูถูกเรา ดังนั้นจึงต้องแสดงให้มันรู้เสียบ้างว่าพวกเราแข็งแกร่งแค่ไหน เราจะต้องเอาชนะเพื่อเป็นเกียรติให้กับอาจารย์ใหญ่จี้!” ไป๋เจ๋อใช้มือฟาดโต๊ะปังใหญ่ ทว่าโต๊ะไม้กลับพังโครมลงทันที “……”
โม่อวิ๋นฉีสะดุ้งสุดตัว หันขวับมามองคนตัวใหญ่ ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกพลันถามห้วน “อยากจะพูดอะไร?” ไป๋เจ๋อพูดเสียวห้าวต่ำ “สู้โว้ย! ตีพวกสำนักใหญ่ฉางหลานให้ยับ ถ้าพวกมันไม่สู้เราก็จะขอท้ามัน ไม่ใช่อะไรพวกเราทำเพื่อเกียรติของอาจารย์ใหญ่!”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นจงฝึกกันให้หนัก ข้าหวังว่าพวกเราไม่ว่าจะเป็นใครที่ออกนำหน้าไป คนผู้นั้นจะหันกลับมามองคนอื่นที่ยังอยู่ข้างหลังบ้าง!” กล่าวจบก็หันหลังกลับออกไปทันที
ไป๋เจ๋อผุดลุกขึ้นยืนหลังจากที่เยี่ยฉวนเดินลับกาย และหันไปพูดกับโม่อวิ๋นฉีน้ำเสียงกระตือรือล้น “รีบไปฝึกต่อกันเถอะ ข้าขี้เกียจคอยเก็บชิ้นส่วนของเจ้าทีหลัง!” จากนั้นก็พรวดออกนอกประตูไปอย่างรวดเร็ว
ปล่อยให้โม่อวิ๋นฉีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เสียงกัดฟันกรอด “พูดจาดูถูกข้ายังงี้ได้ไงวะ? คอยเดี๋ยว มาพูดให้รู้เรื่อง พวกตัวแสบ!” จากนั้นเขารีบวิ่งพรวดพราดออกไปอีกคน ทิ้งให้จี้อันซื่อนั่งอยู่คนเดียวลำพังที่โต๊ะ เพราะกำลังแทะน่องไก่อย่างเอร็ดอร่อย……
เมื่อเยี่ยฉวนผละออกจากหอโถงฉางหลาน ทีแรกเขาตั้งใจมุ่งไปที่ป่าต้นไผ่ด้านหลังภูเขาเช่นเคย ทันใดนั้นเขาชะงักฝีเท้ากึกและหันหลังขวับ เด็กหญิงคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ที่นั่น! เยี่ยซิน!
เด็กหญิงจ้องมองเยี่ยฉวนแน่วนิ่ง ท่าทางแสดงว่าขลาดกลัวมิใช่น้อย มือสองข้างกำชายเสื้อเกร็งจนข้อนิ้วมือซีดขาว ท่าทางอ้ำอึ้งกระอึกกระอักจะพูดก็ไม่พูด
“มีอะไร?” เยี่ยฉวนถามเสียงเฉยเมย เยี่ยซินก้าวตรงมาหนึ่งก้าวและค้อมศีรษะลง “ทะ ท่าน ญาติผู้พี่……” อีกฝ่ายส่ายหน้ารีบบอกว่า “เรียกข้าว่าอาจารย์ใหญ่!” เด็กหญิงก้มศีรษะต่ำลงกว่าเดิม พลางบิดตัวไปมาเล็กน้อย
เยี่ยฉวนเอื้อมมือมาแตะบ่าคนตรงหน้าเบาๆ ขณะกล่าวว่า “ที่นี่ข้าคืออาจารย์ใหญ่ และเจ้าคือศิษย์ พวกเรายังเสมือนเป็นคนในครอบครัว!” จากนั้นเขาหันกลับไปทันทีโดยไม่รอฟังคำตอบ
เยี่ยซินเมื่อได้ยินคำพูดนั้นเต็มสองหู นางยืนนิ่งมองตามหลังคนที่เดินจากไปเงียบๆ พลันริมฝีปากคลี่ยิ้ม ครอบครัว! ยังเป็นคนในครอบครัว! แค่นี้ก็นับว่าดีถมไปแล้ว! จากนั้นจึงยกหลังมือปาดเช็ดน้ำตา ความรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเป็นกอง
คนที่เดินห่างออกไป เยี่ยฉวนมุ่งหน้าตรงไปยังป่าไผ่แน่นทึบ ตระกูลเยี่ย? บัดนี้เขาไม่ได้มีความรู้สึกอะไรอีกแล้ว ไม่อาจย้อนกลับไปยังจุดเดิมได้อีกต่อไป
ในป่าไผ่ เยี่ยฉวนทรุดนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นดิน ในไม่ช้าปณิธานกระบี่ได้กระจายออกและแผ่ซ่านอย่างรวดเร็ว ดวงตากระบี่! สิ่งที่เขาปรารถนายิ่งในเวลานี้คือฝึกฝนดวงตากระบี่ให้ถึงที่สุด!
เมื่อเป็นหนึ่งในท่าไม้ตายของเขา! งั้นแล้วต้องฝึกฝนให้หนัก! นอกจากเยี่ยฉวน คนอื่นอีกสามคนต่างก็ฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเช่นเดียวกัน!
— จบตอน —



