ตอนที่ 1445
หนึ่งคำ
เงาร่างอันเลือนรางที่อยู่ด้านหลังเกราะป้องกันที่มองไม่เห็น มีเส้นผมที่ยาวและสวมใส่ชุดยาว แต่มองไม่เห็นใบหน้ายกเว้นดวงตาของมัน
ดวงตาคู่นั้นเย็นชาและดุร้าย ราวกับว่าไร้วี่แววของชีวิตอยู่ภายในนั้น ราวกับว่าพวกมันว่างเปล่า ราวกับว่าเงาร่างนี้ก็คือ…อาวุธ!
เป็นอาวุธชิ้นหนึ่ง!
นี่คือความรู้สึกที่เด่นชัดซึ่งเมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ หลังจากที่มองเห็นเงาร่างซึ่งอยู่ด้านหลังเกราะป้องกันที่มองไม่เห็นนั้น
เวลาเดียวกันนั้นเกราะป้องกันก็ยังคงบดขยี้ลงมาอย่างต่อเนื่อง ลมพายุยังคงพังทลายลงไปอยู่ตลอดเวลา และเหล่าภูตผีนับไม่ถ้วนก็ยังคงกระจัดกระจายหายไปอย่างต่อเนื่อง พื้นดินสั่นสะเทือน เกิดเป็นรอยแยกเปิดออก ภูเขาแม่น้ำส่งเสียงดังกระหึ่ม และทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งแท่นบูชาเริ่มส่งสัญญาณว่ากำลังจะพังทลายลงไปโดยสิ้นเชิง!
กลุ่มคนจากชางหมางพ่ายรู้สึกประหลาดใจมานานแล้ว คนทั้งหมดโคจรหมุนเวียนพลังการฝึกตนเพื่อพยายามต่อต้านสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ แต่ก็ช่วยได้น้อยมาก
ในช่วงวิกฤตนี้เอง ตะเกียงสัมฤทธิ์ที่อยู่ภายในร่างเมิ่งฮ่าวก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา ราวกับว่ามันกำลังสร้างเป็นพลังขึ้นมา เพื่อระเบิดออกไปได้ทุกเมื่อ
แต่ก่อนที่จะเกิดขึ้นเช่นนั้น จู่ๆ…ความผันผวนอันเลือนลางก็เริ่มกระจายออกมาจากดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่เก้าซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป ที่ซึ่งมีเงาร่างขนาดใหญ่นั่งอยู่บนบัลลังก์อันใหญ่โตนั้น
ความผันผวนนั้นเลือนรางเป็นอย่างยิ่ง แต่ขณะที่ปรากฏขึ้น เมิ่งฮ่าวก็ดูเหมือนว่าจะได้ยินเสียงที่ดังก้องออกมาจากดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่เก้า ตอนแรกยากที่จะได้ยิน แต่ในชั่วพริบตาก็ค่อยๆ ดังมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็กลายเป็นเสียงๆ หนึ่ง ดูเหมือนเป็นเสียงเลือนลางของคำว่า…
ไป!
เพียงแค่คำเดียวเท่านั้น เสียงอันเลือนรางนี้ดูเหมือนว่าจะพูดขึ้นมาเช่นนี้
คำเดียวนี้ดังออกมาจากดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่เก้า และขณะที่มันพุ่งผ่านมา ก็ทำให้ดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่แปดสั่นสะเทือน และแสงในที่แห่งนั้นก็เริ่มมืดสลัวลงไป แม้ในขณะที่ดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่แปดตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน เสียงนั้นก็ผ่านดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่เจ็ดไป จากนั้นก็ม้วนกวาดไปยังดินแดนแห่งที่หก ท้องฟ้าสั่นสะท้าน และเสียงกระหึ่มก็ดังก้องออกไปทั่ว ทุกสรรพสิ่งสั่นสะเทือนอย่างน่าประหลาดใจ และเสียงนั้นก็เข้ามาใกล้เมิ่งฮ่าวมากขึ้นเรื่อยๆ…
เมื่อเสียงนั้นมาถึงดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่ห้า
สิ่งที่เมิ่งฮ่าวได้ยินอยู่ในตอนนี้ ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ ไม่ใช่คำว่าไปอีกแล้ว แต่กลายเป็นเสียงอันดุร้ายว่า!
ให้พ้น!
ถึงแม้ว่าจะเป็นเสียงที่ไม่ชัดเจนเช่นนี้ แต่ในที่สุดหนึ่งคำก็กลายเป็นเสียงกรีดร้องสองคำ รวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเสียงกระหึ่มนับไม่ถ้วน พุ่งผ่านดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่ห้า ม้วนกวาดออกไปทั่วทั้งดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สี่ ทำให้ดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สามสั่นสะเทือน ปะทะเข้ากับดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สอง…
เมื่อเสียงนั้นมาถึงดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรก ก็ระเบิดออกมาซึ่งไม่ใช่คำว่าไปหรือคำว่าให้พ้นอีกต่อไป แต่เปลี่ยนเป็นคำเดียวเท่านั้น
“กุ่น!” (ไสหัวไป)
“กุ่น!!”
“กุ่น!!!”
เสียงนั้นดังก้องออกมาอย่างไร้จุดสิ้นสุด ราวกับเป็นพลังระเบิดที่ทำให้สวรรค์ต้องสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง!
อาจจะกล่าวได้ว่าตั้งแต่ตอนแรกก็เป็นแค่คำเดียวเท่านั้น แต่เมื่อดังก้องออกมาจากสถานที่ซึ่งอยู่ห่างไกลเป็นอย่างมาก และเดินทางมาด้วยความรวดเร็วเช่นนั้น เสียงนั้นก็ถูกแยกออกมา แต่ตอนนี้เมื่อมาถึงยังดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรก เสียงนั้นก็ปะทุขึ้นด้วยพลังอันน่าเหลือเชื่อ เป็นพลังที่สามารถจะทำลายสวรรค์หั่นเฉือนปฐพี!
เสียงกระหึ่มอย่างน่าเหลือเชื่อดังก้องไปทั่วทั้งดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรก ภูเขาแม่น้ำสั่นไหวไปมา และสายลมอันบ้าคลั่งก็ม้วนกวาดไปมา สีสันแวบขึ้นไปในฟ้าดิน!
เป็นแค่คำเดียวเท่านั้นแต่ก็มีพลังสะกดข่มจนทำให้ทุกสรรพสิ่งต้องสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!
คำเดียวบดขยี้พลังสวรรค์ คำเดียวทำให้สิ่งมีชีวิตต้องตกตะลึงไปทั่ว คำเดียวทำให้เกราะป้องกันที่มองไม่เห็นเริ่มสั่นสะท้าน และจากนั้นก็เต็มไปด้วยรอยแตกร้าว ชั่วขณะต่อมาก็แตกกระจายไปโดยสิ้นเชิง!
คำเดียวกันนี้ทำให้สวรรค์สั่นสะเทือน ทำให้เงาร่างอันเลือนรางที่อยู่ตรงด้านบนต้องบิดเบี้ยวไปมา ราวกับว่ามันกำลังถูกบดขยี้โดยลมพายุขนาดใหญ่ จากนั้นก็จางหายไป
ภาพอันน่าตกใจอย่างยากที่จะอธิบายออกมาได้นี้ เกิดขึ้นก็เนื่องมาจากคำพูดเพียงคำเดียวเท่านั้น!
คำพูดเพียงคำเดียวที่เปล่งออกมาจากเงาร่างที่อยู่บนบัลลังก์ขนาดใหญ่ ม้วนกวาดออกไปทั่วทั้งสวรรค์และปฐพี บดขยี้ทุกสรรพสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในเขตสุสาน แม้แต่เจตจำนงแห่งหลัวเทียนก็ยังไม่อาจจะคงอยู่ได้ และต้องถูกขับออกไป
ภาพที่เห็นนี้ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องหมุนคว้างไปโดยสิ้นเชิง หันหน้าไปมองยังดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่เก้า จิตใจกำลังส่งเสียงดังกระหึ่มด้วยความตกตะลึง
อย่างไรก็ตาม เสียงนั้น…มีแต่เมิ่งฮ่าวเท่านั้นที่ได้ยิน เจ้าสำนักและคนอื่นๆ ไม่อาจจะรับรู้ได้แม้แต่น้อย แน่นอนว่าพวกมันยังคงสั่นสะท้าน แต่ไม่ใช่จากเสียงนั้นเอง พวกมันเข้าใจผิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นมานี้ก็เนื่องมาจากเมิ่งฮ่าว
เมิ่งฮ่าวมองไปยังดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่เก้า และทันใดนั้นก็มีความต้องการที่จะไปยังที่แห่งนั้นอย่างลึกล้ำ เพื่อไปดูด้วยตาของตนเองว่าเงาร่างที่เพิ่งจะเปล่งเสียงออกมานี้คือใคร?
เห็นได้ชัดว่าเงาร่างอันเลือนรางนั้นกระจายเป็นพลังของเหนือสูงสุดออกมา และคำพูดเพียงคำเดียวก็ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยพลังอย่างไร้ที่สิ้นสุด…บุคคลเช่นนั้น…ต้องเป็นผู้ฝึกตนเหนือสูงสุดอย่างแน่นอน!!
“มันคือปรมาจารย์ชางหมางหรือไม่…?” เมิ่งฮ่าวครุ่นคิด สูดลมหายใจเข้าลึกๆ นี่เป็นการคาดเดาเพียงอย่างเดียวในตอนนี้เท่านั้น หลังจากที่ผ่านไปนานชั่วขณะ
เมิ่งฮ่าวก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อ และดึงพลังการฝึกตนกลับคืนมา
ท้องฟ้าเงียบสงบและพื้นดินก็แน่นิ่ง ก่อนหน้านี้ลมพายุอันน่าตกใจพลุ่งพล่านขึ้นมา แต่ตอนนี้ทุกสรรพสิ่งกลับเป็นปกติเหมือนเดิม แทบจะราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
เมิ่งฮ่าวหลับตาลง และจิตใจก็มีแต่ความสงบนิ่งเยือกเย็นเท่านั้น มีเหตุการณ์น่าตกใจมากมายเกิดขึ้นมา ทำให้อยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่าใครที่เปล่งคำว่า “กุ่น” เมื่อครู่นี้
เขาต้องการรู้ว่าทำไมหลัวเทียนถึงได้หวาดกลัวเซียน และต้องการจะรู้ว่าการมาถึงของอสูรหมายความว่าอย่างไร อสูรมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับหลัวเทียน และทำไม…พวกมันถึงมีแหล่งกำเนิดเดียวกัน!?
ที่มากไปกว่านั้นก็คือว่าเมิ่งฮ่าวต้องการรู้ว่าทำไมอาณาจักรขุนเขาทะเล ถึงมีชะตากรรมที่ต้องถูกทำลายลงไป เบื้องหลังของเรื่องเหล่านี้ต้องมีใครบางคนคอยบงการอยู่ และคนผู้นั้นก็น่าจะเป็น…หลัวเทียน
เมื่อเป็นเช่นนี้นามของหลัวเทียนก็ได้ฝังลึกอยู่ในจิตใจเมิ่งฮ่าวแล้วในตอนนี้ สำหรับเขาแล้วมันคือเบาะแสของเรื่องราวทั้งหมด
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ชั่วขณะ ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมา เมื่อเป็นเช่นนั้นก็มองเห็นผู้ฝึกตนแห่งชางหมางพ่ายกำลังหอบหายใจออกมา เนื่องจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ จึงไม่มีทางที่พวกมันจะสามารถรักษาความสงบเยือกเย็นไว้ได้ ตอนแรกก็เป็นเวลาสิบหกวันที่เขาใช้ในการค้นหาความรู้แจ้ง จากนั้นก็มีกลิ่นอายของเหนือสูงสุดที่ทำให้สวรรค์ต้องสั่นสะท้าน จากนั้นก็ทำให้พลังแห่งสวรรค์บดขยี้ลงมา ทั้งหมดนั้นทำให้กลุ่มคนเหล่านี้รู้สึกหวาดกลัวต่อเมิ่งฮ่าวโดยสิ้นเชิง
ต้องใช้เวลานานสักพักก่อนที่เมิ่งฮ่าวจะสงบจิตใจลงได้ แต่หลังจากนั้นก็หันไปมองยังดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่เก้าอีกครั้ง และดวงตาที่สามก็ปิดลงไปอย่างช้าๆ เมื่อภาพที่เบื้องหน้ากลับคืนเป็นปกติเหมือนเดิม เมิ่งฮ่าวก็ก้าวเดินลงมาจากแท่นบูชา
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เจ้าสำนักก็กระแอมไอ และกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างออกมา แต่ทันใดนั้นเองดินแดนอันกว้างใหญ่ทั้งหมดก็เอียงถลาลงไป ระลอกคลื่นพุ่งกระจายออกไปจนถึงชั้นฟ้า และแสงอันยิ่งใหญ่ก็เริ่มส่องประกายลงมา
แสงนั้นประกอบไปด้วยความร้อนอันไร้ขอบเขตอย่างที่ยากจะอธิบายออกมาได้ ทำให้ความหนาวเย็นที่แช่แข็งดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรกเริ่มจางหายไปในทันที
แต่สิ่งสำคัญรองลงมาก็คือว่า จากการสังเกตของเมิ่งฮ่าว ผู้ฝึกตนทั้งหมดจากชางหมางพ่าย มีต้นหญ้างอกเงยขึ้นมาจากพื้นดินตรงใต้เท้าของพวกมัน ในชั่วพริบตาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ตัวคนทั้งหมดก็กลายเป็นสีเขียวราวกับหยก!
ถ้ามองมาจากที่ห่างไกล ทันใดนั้นซากปรักหักพังก็เลือนลางลงไป ขณะที่ดูเหมือนว่ากาลเวลาจะไหลย้อนกลับ และพวกมันก็เริ่มกลับคืนไปสู่สภาวะดั้งเดิม!
เมืองค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ และบางตำแหน่งตรงที่ห่างไกลออกไป ก็มองเห็นภูเขาและแม่น้ำเกิดขึ้นมา…
ไม่เพียงแค่บริเวณใกล้เคียงของคนทั้งหมดเท่านั้น ทั่วทั้งดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรกกำลังพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าประหลาดใจ
เหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างแปลกๆ นี้ ทำให้สีหน้าของเจ้าสำนักต้องสลดลง
“หมดเวลาแล้ว! พวกเราไม่อาจจะอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป มิเช่นนั้น…พวกเราก็ต้องตายไปทั้งหมด! เมิ่งฮ่าว ถึงแม้ว่าเจ้าจะสามารถสั่งการภูตผีในที่แห่งนี้ได้ ก็ยังคงถูกกำจัดไปอยู่ดี…!”
“ไป ทั้งหมดรีบจากไป เดี๋ยวนี้!!” เจ้าสำนักกลายเป็นริ้วลำแสงพุ่งออกไปยังที่ห่างไกลด้วยความรวดเร็วสูงสุดในทันที
ผู้ยิ่งใหญ่อื่นๆ ดูเหมือนว่าจะตระหนักดีถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ สีหน้าพวกมันเปลี่ยนไป และบินออกไปทั้งหมด รวมทั้งจินหยุนซานและซาจิ่วตง
เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นจากคนทั้งหมด ก็ทำให้แววตาเมิ่งฮ่าวแวบประกายขึ้นมา เวลาเดียวกันนั้นก็รู้สึกได้ว่าเปลวไฟที่อยู่ในตะเกียงสัมฤทธิ์กำลังจะมอดดับลงไปแล้ว และการเชื่อมต่อที่แปลกๆ กับกลุ่มภูตผีก็กำลังจางหายไป
โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เมิ่งฮ่าวบินขึ้นไปในอากาศ เข้าร่วมกับกลุ่มคนเหล่านั้น พุ่งตรงไปยังสะพานเพื่อออกไปจากดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งนี้
ระหว่างที่บินไปเจ้าสำนักก็อธิบายให้เมิ่งฮ่าวเข้าใจ “สุสานเปิดออกด้วยเวลาที่จำกัด ถ้าไม่อาจจะบรรลุถึงดินแดนแห่งแรกได้ภายในสิบวัน สิ่งแปลกๆ ก็จะเกิดขึ้นในเขตรอบนอก เมื่อไหร่ที่พวกเราอยู่เกินช่วงเวลานั้น และ…ซากปรักหักพังที่ด้านนอกของดินแดนอันกว้างใหญ่ย้อนกลับไปสู่ยุคสมัยโบราณของพวกมัน ก็จะมีแม้กระทั่งคนมีชีวิต แต่จากนั้นสิ่งแปลกๆ ก็จะเกิดขึ้น พวกมันจะตายไปทั้งหมด…”
“ในตอนนั้น พวกเราบางคนก็จะตายไปด้วยเช่นกัน…”
“เมื่อไหร่ที่บรรลุถึงดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งแรกก็จะมีเวลาจำกัดอยู่ที่หนึ่งเดือน ถ้าไม่ไปยังดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สองในช่วงเวลานั้น ก็จำเป็นต้องออกไปจากเขตสุสาน!”
“เมื่อคิดว่าจะมีสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้นตรงด้านนอกของดินแดนอันกว้างใหญ่ เมื่อครบกำหนดเวลา เหล่าฟูก็พอจะคาดเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอยู่ภายในดินแดนแห่งนี้”
“คำกล่าวที่ว่าสุสานแห่งนี้คือหนึ่งในสถานที่ที่อันตรายมากที่สุดในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตทั้งหมด ไม่ได้พูดเกินจริงไปแม้แต่น้อย มันเป็นเขตหวงห้ามที่แม้แต่กลุ่มคนที่อยู่ในระดับเก้าแก่นแท้ก็เข้าไปไม่ได้”
“ตอนนี้พวกเราต้องจากไปอย่างไร้ทางเลือก พวกเราจะกลับมาใหม่อย่างเร็วที่สุดก็อีกหนึ่งปี และจากนั้น…ก็หวังว่าพวกเราจะไปถึงดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งที่สอง ถ้าทำได้ พวกเราก็น่าจะอยู่ที่ด้านในได้นานมากขึ้น”
ขณะที่เมิ่งฮ่าวรับฟังคำอธิบายจากเจ้าสำนัก ก็รู้สึกได้ว่าการเชื่อมต่อกับเหล่าภูตผีกำลังจางหายไป ในที่สุดพวกมันก็หายไปจนหมดสิ้น และตะเกียงสัมฤทธิ์ก็แทบจะดับสนิทไปโดยสิ้นเชิง
สีหน้าเมิ่งฮ่าวเปลี่ยนไป ขณะที่หันกลับไปมองยังด้านหลัง
จากนั้นจิตใจก็เริ่มหมุนคว้าง เมื่อมองเห็นว่าซากปรักหักพังทั้งหมดได้ย้อนกลับไปสู่ยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองก่อนหน้านี้ของพวกมัน เมิ่งฮ่าวมองเห็นเมืองมากมายเกิดขึ้นมาราวกับเป็นภาพลวงตาอยู่บนพื้นดิน มองเห็นรูปปั้นจำนวนมากจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา และมองเห็นภูเขาพุ่งสูงขึ้นไปจากตำแหน่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน